วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

เคหาสน์สีแดง ตอนที่ 5

ตอนที่ 5

รุจมองหน้าเสาวรสอย่างเจ็บปวด บอกเธอว่าไม่คิดว่าธุระของเธอจะเช้าจดเย็น เธออ้างว่าไปหาเพื่อนถามประชดว่าจะให้ตนคอยเขาอยู่ทั้งวี่ทั้งวันรึไง

เมื่อรุจถามว่าเพื่อนของเธอตนรู้จักไหม ก็ถูกย้อนถามว่าเพื่อนหญิงที่โรงเรียนสมัยเด็กๆเขาจะรู้จักไหมล่ะ ทำให้รุจฉุกใจถามว่าทำไมถามตนอย่างนั้น แค่บอกว่าไม่รู้จักก็พอ

เสาวรสตำหนิเขาที่ไม่มีเวลาให้ตน บางทีหายไป 5 วัน 7 วันก็มี รุจบอกว่าตนพร้อมจะให้เวลาที่มีนอกจากเวลาทำงาน รุจย้ำความตั้งใจของตนที่จะแต่งงานกับเธอ แม้จะต้องทำงานก็ไม่เคยคิดเปลี่ยนแปลง ถูกเธอต่อว่าที่เสนอให้แต่งงานทันทีที่กลับจากเมืองนอกเขาก็ไม่ยอม ฉะนั้นอย่ามารื้อฟื้น เรื่องนี้อีกเลย

"เรื่องนั้นจบไปแล้ว ผมได้กระทำการนั้นจบสิ้นไปแล้ว แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือผมตั้งใจจะแต่งงานกับคุณ แต่ตอนนี้ ผมไม่แน่ใจแล้วว่า ผมคือปลาตัวหนึ่งในจำนวนหลายตัวในมือสองมือของคุณรึเปล่า"

เสาวรสหน้าตึงถามว่าเขาหาว่าตนจับปลาหลายมือหรือ หาว่าเขาดูถูก เธอโกรธจนเสียงสั่นแต่รุจยังใจเย็นบอกว่าตนสงสัยก็ถามเป็นคำถามที่ตรงไปตรงมา ถ้าไม่ได้จับปลาหลายมือก็ไม่ต้องโกรธ ให้คำตอบตนและให้ความมั่นใจว่าเธอตอบความจริง

"รุจ...เสาวรสไม่อยากพูดกับรุจแล้ว เชิญรุจกลับไปได้" เธอจ้องหน้าเขาเขม็ง รุจนิ่งไปครู่หนึ่งจึงบอกว่า คิดว่าเรายังพูดกันไม่จบ ตนยังไม่รู้จะคิดอย่างไรต่อ เอาไว้จะโทรศัพท์มาก็แล้วกัน พูดแล้วเดินออกไปทันที

เสาวรสยังหน้าบึ้งตึง มองจนรุจไปพ้นสายตาแล้ว เธอเผยอยิ้มออกมาอย่างสมใจ

ooooooo

ความเจ็บปวดว้าวุ่นสับสน ทำให้รุจเชิญขุนประจญคดีไปนั่งดื่มกันในห้องอาหารโรงแรม สายตาผู้อาวุโสอย่างท่านขุนฯดูออกว่าเขาต้องมีเรื่องผู้หญิงเป็นแน่ จึงได้ชวนมาดื่มเครื่องดื่มมึนเมาอย่างนี้

เมื่อรุจตอบในเชิงรับ ท่านขุนฯพูดถูกคนตรงประเด็นทันทีว่า

"คุณเสาวรสคงไม่ใช่คนที่หนักแน่นมั่นคงนัก ยิ่งเมื่อกลับจากอังกฤษมาสู่สังคมชั้นสูงของพระนคร แตกต่างกับชีวิตนักเรียน เธอจึงเพลิดเพลินไปได้อย่างง่ายดาย"

"ตอนอยู่อังกฤษ ผมเคยจะขอเสาวรสหมั้น แต่คิดว่ากลับมาพูดคุยกับผู้ใหญ่ให้เป็นกิจจะลักษณะ ทำงานให้เข้าที่ก่อน แต่เสาวรสอยากให้จัดงานแต่งงานให้ใหญ่โตทันทีที่มาถึงเมืองไทย แต่ผมรอให้งานของผมแน่นอนก่อน ผมคงทิ้งเขาไว้นานเกินไป"

ท่านขุนฯติงว่าไม่นานเกินไปหรอกถ้าจะรอ เชื่อว่าเธอไม่มีความอดทนพอมากกว่า รุจพูดอย่างเข้าใจอุปนิสัยของเสาวรสดีว่าเธอชอบสังคม ชอบไปปาร์ตี้และอะไรที่หรูหรา แต่ที่สำคัญคือ เธอแทบไม่รู้จักเรื่องที่บ้านตนเลย คงคิดว่าบ้านตนอยู่บ้านนอกไม่น่าสนใจ ท่านขุนฯจึงแนะว่าถ้าจะให้เธอแต่งงานด้วยก็คงต้องพาไปที่บ้านรุจิโรจน์เท่านั้น

"แต่งงานหรือครับ ยังหรอก มันคงเป็นเพียงความผูกพันที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ผมกำลังสงสัยว่าเขาจะเข้ามาในชีวิตผมเหมือนเดิมหรือไม่"

เมื่อรุจพูดเช่นนั้น ท่านขุนฯ เสนอทันทีว่าถ้าหายสงสัยเมื่อไร ยังมีผู้หญิงบางคนที่เขาไม่ควรมองข้าม รุจหน้าตึงทันที เขานิ่งไปไม่คุยต่อ

ooooooo

ตอนเย็นอารยาไปนั่งทานข้าวกับแม่ทั้งสาม แม่พร้อมเห็นเธอก้มหน้าทานเงียบๆ ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อเช้าไม่ลงมาทานข้าวกับ

คุณหนู บอกว่า "คุณหนูคอยนะคะ"

อารยานิ่งไปครู่หนึ่งจึงบอกว่าตนไม่ค่อยสบาย แม่ทั้งสามมองหน้ากันแล้วมองอารยาอย่างสังเกต จนกลางคืนเมื่อเธอกลับมาที่ตึกเข้าห้องรับแขกถอดปลอกหมอนอิง เตรียมจะเอาไปซักวันพรุ่งนี้ แม่พินเตือนว่า

"คุณน้อยไม่ค่อยสบายรีบขึ้นไปนอนเถอะค่ะ คุณรุจกลับบ้านดึกมากนะคะวันนี้ ป้าว่าจะไม่รอแล้ว คุณน้อยจะรอไหมคะ"

"ไม่ค่ะ ไม่รอ" อารยารีบตอบทิ้งปลอกหมอนไว้ตรงนั้นแล้วเดินไปอย่างเร็วเหมือนรีบหนี

ooooooo

รุจกลับมาในสภาพเมาจนเดินเซ นายสุขจะประคองก็บอกว่าไม่เมา แต่เดินแล้วเซจนไม่ตรงทาง พอมาถึงครึ่งบันไดเห็นอารยาเดินมากำลังจะลงบันได เธออยู่ในชุดนอนพริ้วสยายผมสลวย

"อารยา..." รุจพึมพำหยุดกึกทำให้เกือบหัวคะมำ นายสุขรีบประคอง อารยาเองก็ตกใจถามนายสุขว่าคุณรุจเป็นอะไร นายสุขบอกว่าเมา แล้วขอให้เธอมาช่วย

อารยาลังเลจนนายสุขบอกว่าตนท่าจะไม่ไหวแล้ว เธอจึงตัดสินใจเข้าไป เมื่อเห็นทั้งสองพากันเซเกือบล้ม เธอรีบสอดแขนเข้าโอบเอวเขา รุจทิ้งน้ำหนักตัวมาเต็มที่จนเธอตัวเอียง ตัวแนบตัว หน้าเกือบแนบหน้า อารยาตึงเครียดกับความใกล้ชิดกันนี้

เมื่อประคองเข้าไปนอนบนเตียง แม่ละม่อมก็เข้ามาถามนายสุขว่าเมามาหรือ ในขณะที่อารยาเอาผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้เขา

พอรู้สึกสดชื่นขึ้น รุจลืมตามอง เพียงแค่เห็นว่าเป็นอารยาเขาปัดมือเธอจนผ้ากระเด็น อารยาตกใจตะลึงแต่ยังพยายามบอกว่าเขาเมามาก รุจก็ยังยกมือป่ายปัดครางออกมาแบบไม่ได้สติ

"ออกไป...อย่ามาให้เห็น ไปให้พ้น"

อารยาหน้าเสีย ถอยออกไปช้าๆ แม่ละม่อมกับนายสุขเองก็ตกใจ แต่พอหันมาอีกที รุจก็คอพับหลับไม่ได้สติไปแล้ว...

อารยาเสียใจอย่างสุดที่จะบรรยาย ที่แม้แต่ในยามที่รุจเมาจนไม่ได้สติก็ยังรังเกียจตน เดินไปหยิบซอมาสีทั้งน้ำตาด้วยความคิดถึงแม่...

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น รุจเดินมาที่โต๊ะอาหาร มองไปที่นั่งของอารยาแต่ไม่พูดอะไร แม่ละม่อมรู้ใจบอกว่า "คุณหนูไม่ต้องคอยคุณน้อยหรอกค่ะ"

"ทำไมหรือแม่ม่อม เขาโกรธฉันหรือ เรื่องเมื่อคืน" รุจถาม แม่ละม่อมนิ่งไม่ตอบ จนเขาเรียกจึงบอกว่าอารยาไม่ค่อยสบาย รุจพยักหน้านิ่งไปนิดหนึ่งจึงเอ่ยถาม "เขาเป็นอะไรมากรึเปล่า"

อารยาอยู่กับแม่พิน แม่พร้อมที่ห้อง สองแม่หนักใจเพราะจับตัวอารยาดูก็ไม่มีไข้ บ่นกันว่าจะอ้างว่าไม่สบายไม่ได้แล้วจะพาไปโรงหมอ แม่พร้อมเสนอให้หมอรุจตรวจ แม่พินยังบ่นต่ออย่างหงุดหงิดว่า

"ป้าละเสียใจจริงๆ ที่คุณน้อยขัดคำสั่งคุณหนู" แม่พร้อมบ่นผสมโรงว่า "ปล่อยให้คุณหนูนั่งรอมากี่มื้อแล้วคะ" แม่พินถามอย่างไม่ชอบใจว่า "ขัดคำสั่งคุณหนูทำไมหรือคุณน้อย"

สองแม่รุมกันบ่น ตำหนิ และซักถาม แต่อารยาก็ยังนิ่ง จนสุดท้ายพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกตอบแม่ทั้งสองที่ทำหน้าหงุดหงิดว่า

"คุณรุจไม่ชอบน้อย น้อยไม่อยากให้เธอรบกวนจิตใจ"

คำตอบยังไม่ถูกใจ สองแม่ช่วยกันถามรีดอีกว่ารุจทำอะไรให้ไม่สบายใจหรือเปล่า เธอก็ยังบอกว่าเปล่า เขาไม่ได้ทำอะไรตนเลย พูดแล้วก็ต้องเบือนหน้าซ่อนน้ำตาหลบสายตาแม่ละม่อมที่จ้องอยู่

สุดท้ายแม่ละม่อมบอกให้ทุกคนพอได้แล้ว

อารยารู้สึกโดดเดี่ยวมากเพราะนอกจากถูกรุจแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์แล้ว ยังถูกพวกแม่ๆตำหนิติเตียนที่ทำให้คุณหนูของพวกตนหงุดหงิดอีกด้วย จึงไปที่บ้านพนาเวส ที่พักใจแห่งเดียวที่มี

วัฒนาถามอย่างเดาได้ว่ารุจทำอะไรอีกแล้ว นี่ขนาดไม่ค่อยได้อยู่บ้านนะเนี่ย

"คราวนี้รวมถึงป้าๆด้วยค่ะ ใครขัดใจคุณหนูของแม่ๆไม่ได้เลย ในสายตาป้าๆน้อยผิดคนเดียว" พูดแล้วอดน้ำตาคลอไม่ได้ วัฒนาได้แต่มองด้วยความเห็นใจ

เมื่อเข้าครัวช่วยกันทำอาหาร ความใจลอยทำให้เผลอทำมีดบาดมือ คุณนายพนาเวสรีบพาไปทำแผลพันแผลให้

อารยาอยู่ที่นั่นจนเย็น จึงพายเรือเข้าดงบัว เก็บดอกบัวจะเอาไปไหว้พระด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

ooooooo

หิ้วตะกร้าดอกบัวและขนมขึ้นจากเรือจะเดินเข้าบ้าน เจอรุจเข้าอย่างจังราวกับเขามาดักรออยู่ เธอรีบยกมือไหว้แล้วจะเลี่ยงไป เขาเรียกไว้ถามเสียงอ่อนๆว่า "ไม่สบายหายรึยัง"

"ค่ะ" อารยาตอบสั้นที่สุดแล้วทำท่าจะไป เขาถามอีกว่าดอกบัวเยอะแยะเอาไปทำอะไร "ไหว้พระและใส่บาตรค่ะ"

เขาถามอีกว่าซื้อจากแถวนี้หรือ เธอบอกว่าเก็บมาแล้วจะไป เขาก็ยังถามอีกว่าเก็บจากไหน พอเธอบอกว่าจากดอกบัวที่ขึ้น เขาทำหน้าพิกลพลันก็เห็นที่นิ้วมีผ้าพันแผล เลยมีเรื่องถามต่ออีกว่านิ้วไปโดนอะไรมา คราวนี้เธอไม่ตอบก้มหัวจะเดินเลี่ยงไป

"อารยา...จะให้ฉันดูแผลให้หรือไม่"

"ไม่เป็นไรค่ะ" ตอบสั้นๆแล้วเดินเลี่ยงไปทันที รุจได้แต่มองตามตาขุ่นๆ แล้วเดินไป

คืนนี้ รุจไปที่บ้านเสาวรสอีก พระศัลย์ฯบอกว่าท่าทางคืนนี้เธอจะกลับดึก เขาถามว่าเธอกลับดึกอย่างนี้ทุกคืนหรือ พอทราบไหมว่าเธอไปกับเพื่อนกลุ่มไหน เมื่อได้รับคำชี้แจงว่าเสาวรสเป็นคนเด่นดังในสังคม ทุกคนก็อยากเป็นเพื่อนกับ เสาวรสทั้งนั้น รุจก็เดาว่าถ้าเช่นนั้นก็คงไปเจอกันที่สโมสร

พระศัลย์ฯหัวเราะอารมณ์ดีบอกว่า "ผมไม่รู้หรอกหมอ เขาอาจจะพากันไปสังสรรค์ที่คฤหาสน์ของเพื่อน ลูกหลานคหบดีคนไหนก็ได้ เอาเป็นว่าหมอกลับไปก่อนนะ เสาวรสมาผมจะบอกลูกสาวให้ว่าหมอห่วงใยเขามาก"

รุจยิ้มหน้าสลด พระศัลย์ฯปลอบเอาใจว่า "เสาวรสเองเขาก็รู้นะว่าหมอรักเขาเหลือเกิน ผมรู้เขาคงไม่สบายใจนักหรอกที่ต้องปล่อยให้หมอเทียวมาเทียวไปคอยมาหาอยู่อย่างนี้ทุกวัน"

รุจคอตกกลับไป ในขณะที่เสาวรสกำลังเริงร่าเป็นดอกไม้งามล่อหมู่มวลภมรอยู่ในงานกับบรรดาสาวสังคม หนุ่มลูกคหบดีและเศรษฐีทั้งหลายในงานสังสรรค์

ooooooo

เช้าวันต่อมา รุจไปนั่งที่โต๊ะอาหารมองไปที่ประตู อย่างตรึกตรอง เมื่อมณีเข้ามาจะตักข้าวให้ เขายกมือห้ามบอกว่าให้ไปตามอารยามารับข้าวเช้าพร้อมตน มณี รับคำสั่งตกใจนิดๆ เหลือบมองแม่พร้อมแวบหนึ่งแล้วออกไป ครู่เดียวก็กลับมาบอกว่า
"คุณน้อยให้มาเรียนคุณรุจว่ายังไม่หิว ยังไม่ทานค่ะ ให้คุณรุจทานก่อนค่ะ"

รุจนิ่วหน้าคอแข็งขึ้นมาทันที ส่วนแม่พร้อมหน้าตาไม่สบายใจ เหลือบมองคุณหนูหวั่นๆ

จนเมื่อนายสุขขับรถจะไปส่งที่โรงพยาบาล รุจเห็นอารยาเดินเก็บดอกไม้อยู่ สั่งให้นายสุขหยุดรถแล้วให้ไปตามอารยามาหาตน ครู่เดียวนายสุขก็กลับมาบอกว่าอารยาไม่สบาย ปวดศีรษะขอตัวกลับห้อง คราวนี้รุจนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ นายสุขเหลือบมองหวาดๆแล้วขับรถออกไป

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล รุจโทร.ไปที่บ้านเสาวรส พระศัลย์ฯเป็นคนรับสายบอกว่าไม่อยู่ เขาฝากความแล้ววางสาย พระศัลย์ฯวางสายแล้วหันมาถามเสาวรสที่ยืนอยู่ข้างๆว่า แน่ใจหรือว่าจะไม่ติดต่อรุจอีก รุจฝากความไว้ว่าครั้งนี้จะโทร.เป็นครั้งสุดท้าย เขาจะคอยโทรศัพท์จากเธอเท่านั้น

"ก็ให้เขาคอยไปสิคะ" เสาวรสลอยหน้าไม่แยแส

พระศัลย์ฯติงให้คิดว่าแน่ใจแค่ไหนกับภาคินัย ติงว่าของกำนัลบางครั้งเทียบไม่ได้กับจิตใจ ถูกเธอเสียงเขียวใส่ทันทีว่า "คุณพ่ออย่าพูดอะไรเป็นปรัชญาแบบนี้เลย ลูกอยากได้ต่างหู เข็มกลัดเพชร แหวนเพชร และถ้าลูกต้องเอาเงินที่เรามีไปซื้อเพราะลูกอยากได้ ลูกต้องได้ คุณพ่อจะเอาเงินที่ไหนไปสโมสร ไปทานข้าวเหลา ไปแจกสาวๆเด็กเสิร์ฟ หรือแค่จะเติมน้ำมันรถ"

เหตุผลและเสียงเข้มของเสาวรสแค่นี้ก็ทำให้พระศัลย์ฯเสียงอ่อยหน้าจ๋อย บอกว่าแค่เตือนและอยากให้ไปดูบ้านรุจหรือไม่ก็โทร.ถึงเขาหน่อย อย่าเพิ่งตัดขาดกันเลย แต่สุดท้ายตัวเองก็ต้องหน้าจ๋อยไปตามเคย พิศสาวใช้ที่มีอะไรกันอยู่ถามว่าทำไมท่านถึงยอม...ก็ถูกตวาดให้หยุด พิศหยุดพูดแต่เอาตัวเข้าเบียดแทน

ooooooo

ฉลวยพยาบาลสาวที่ทำงานกับรุจมาโดยตลอด เธอชื่นชมและแอบพอใจหมอหนุ่มรูปหล่อทำงานดีอยู่เงียบๆ คอยดูแลอำนวยความสะดวกในการงานอย่างใส่ใจ ถี่ถ้วน

แต่วันนี้ฉลวยถูกตำหนิเมื่อรุจไปตรวจชาญแล้วพบว่าแผลเปิดอยู่ ฉลวยชี้แจงว่าตนคิดว่าปิดดีแล้ว

"คิดว่าปิดดีแล้ว แต่ตอนผมเดินมามันไม่ได้ปิด อย่าทำอะไรพลาดอีก" พูดเสร็จรุจเดินไปทันที ทิ้งฉลวยให้ตาแดงๆอยู่ตรงนั้น

แต่พอคิดได้เขาก็ขอโทษเธอเรื่องเมื่อเช้า ฉลวยยอมรับว่าตนผิดเอง และเมื่อรุจเดินไป เธอมองตามด้วยสายตาลึกซึ้ง ยิ้มน้อยๆกับคำขอโทษของเขา

ooooooo

แม่ละม่อมแม่บ้านใหญ่ที่อยู่บ้านรุจิโรจน์มาตั้งแต่ยังสาว เป็นคนที่รู้ความเป็นมาเป็นไปของบ้านนี้มาแต่ต้น วันนี้เรียกอารยาไปที่ริมน้ำ บอกว่าจะเล่าอะไรให้ฟัง จะเล่าอย่างละเอียด ซึ่งอาจสะเทือนใจเธอ แต่เมื่อฟังจบแล้วไม่ต้องบอกว่าคิดอย่างไร พูดอย่างเมตตาว่า
"ป้าจะเล่าเพราะคิดว่าคุณน้อยควรจะรู้ แต่ไม่อยากรู้ว่าคุณน้อยคิดว่ายังไง เพราะป้ารู้ ป้าเห็นคุณน้อยมาตั้งแต่ขวบหนึ่ง ป้ารู้หัวใจของคุณน้อย"

ทั้งสองมองตากันอย่างอ่านใจครู่หนึ่ง แม่ละม่อมจึงเล่าอดีตเมื่อ 20 ปีก่อนให้ฟังว่า

เมื่อ 20 ปีก่อน พลตรีแสนเสนีณรงค์คุณพ่อของรุจ ได้รับอัมพาและลูกคือตัวเธอมาอยู่บ้านนี้ด้วยเหตุผลว่าอัมพากับลูกเป็นภรรยาและลูกของเพื่อนสนิทที่เสียชีวิตไป จึงต้องดูแลอย่างดี

ครั้งนั้น รุจถูกย้ายไปอยู่ห้องอื่นเพื่อเอาห้องของเขาที่เป็นห้องเล็กให้อารยาอยู่ รุจขอเอาเจ้าเงาะลูกสุนัขขนปุกปุยมาอยู่ด้วยก็ไม่ยอม อ้างว่ารบกวนคนมาอยู่ใหม่

รุจในวัย 10 ขวบ รู้สึกในบัดนั้นว่าตนเองถูกแย่งห้อง แย่งความรักจากพ่อไป เวลานั้นเขาบอกพ่อว่า "หนูไม่ชอบคนที่จะมาอยู่ห้องหนู เขาทนเสียงหมาของหนูไม่ได้ แต่เสียงเด็กของเขาทำไมคุณพ่อถึงทนได้"

สุดท้ายคุณพ่อยอมให้เอาเจ้าเงาะมาอยู่ด้วย แต่รุจไม่ เอาแล้ว บอกพ่อว่าตนโตแล้วต้องอดทน

แม่ละม่อมหยุดนิดหนึ่งเหมือนจะสะกดกลั้นความสะเทือนใจก่อนเล่าต่อไปว่า

"ป้ารู้ว่าวันนั้นคุณหนูเสียใจมาก เธอเตลิดไปเลยอย่างที่เธอทำประจำคือ ไปซุกตัวอยู่ตามพุ่มไม้ตามพื้นดิน ร้องไห้ ไม่ให้ใครเห็น"

"โถ..." อารยาอุทานอย่างสะเทือนใจ แต่ก็ติงว่า "แต่แม่อัมพาของน้อยก็ดีกับเธอนี่คะ"

แม่ละม่อมบอกว่าตอนนั้นรุจเพิ่งจะ 10 ขวบ เคยเป็นที่หนึ่งของบ้าน แต่แล้วจู่ๆก็เหมือนถูกแย่งทุกอย่างไป เวลานั้นก็มีแต่แม่ๆทั้งสามต้องคอยกอดปลอบประโลมใจคุณหนูตัวน้อยด้วยความสงสาร...

หลังจากนั้นรุจก็ไปอยู่โรงเรียนประจำ นานๆถึงจะกลับบ้านทีหนึ่ง จนอายุ 15 ปี ก็ไปเรียนเมืองนอก คราวนี้ไม่ได้ กลับมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว...

แม่ละม่อมเล่าอย่างสะเทือนใจว่า "คุณหนูอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวถึงยี่สิบปี นานเท่าอายุคุณน้อย"

"ในขณะที่น้อยอยู่กับแม่ อยู่กับคุณลุง อยู่กับป้าๆ"

"ใช่ค่ะ คุณน้อยอบอุ่นในรุจิโรจน์ แต่คุณหนูต้องเหน็บหนาวอยู่ห่างไกล" แม่ละม่อมเสียงเศร้าสะเทือนใจ

อารยาเองก็สะเทือนใจไม่น้อย ดังนั้น เมื่อกลับมาเดินผ่านห้องทำงานรุจ ซึ่งเปิดประตูแย้มไว้เพราะเขาขอชาร้อนๆจากแม่พิน อารยามองเข้าไปอย่างเห็นใจความรู้สึกของเขาในวัยเด็ก พอดีมณีถือถ้วยชามา เธอจึงอาสาเอาเข้าไปให้เขา

วางถ้วยชาแล้วอารยาถามว่า "ต้องการขนมหรือผลไม้ ด้วยไหมคะ" รุจจึงเงยหน้าดู อารยารีบบอกว่าตนอาสาเอาน้ำชามาให้เขาเอง รุจพยักหน้าอึ้งๆแล้วก้มอ่านหนังสือต่อ อารยาเดินออกไป ปิดประตูเบาๆ รุจจึงเงยหน้ามองที่ประตูด้วยสายตาอ่อนโยนลง

ooooooo

จากความจริงที่รุจได้สัมผัสกับเสาวรสและที่

อารยาประพฤติปฏิบัติตลอดมา ทำให้รุจเริ่มมีท่าที

เปลี่ยนไป ความรู้สึกต่ออารยาอ่อนโยนลง เช้านี้ก็เป็นฝ่ายบอกแม่พร้อม เมื่อแม่พร้อมบ่นว่าอารยายังไม่ลงมา ว่าเดี๋ยวก็มา แล้วครู่เดียวอารยาก็มาจริงๆทำเอาแม่พร้อมแอบยิ้มดีใจ

บรรยากาศที่เปลี่ยนไปนี้ ยังความปลื้มปีติยินดีแก่แม่ทั้งสามเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือทำให้เคหาสน์สีแดงแห่งนี้มีความรื่นรมย์

ซอที่อารยาตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่อัมพาจากไปว่าจะไม่จับมาสีอีก ก็ถูกจับขึ้นมาสีโดยมีแม่ทั้งสามร้องประสานเสียงกันอย่างเพราะพริ้ง นอกจากนั้น อารยายังชวนแม่ๆทำลูกชุบกันอย่างเพลิดเพลิน

ส่วนรุจที่ยังมีมาดขรึม แต่วันนี้ เมื่อเขาเดินผ่านรูปของอัมพาที่ติดอยู่ เขาหยุดมองด้วยสายตาอ่อนลง ผิดกับแต่ก่อนที่มองแต่ละทีราวกับจะให้เผาไหม้ไปกับสายตาที่ชิงชังคู่นั้น...

ooooooo

วันนี้ ขณะที่อารยากำลังทาสีลูกชุบอยู่กับแม่ทั้งสาม รุจเดินไปบอกเธอว่าอีกสักครู่ตนจะไปไหว้คุณนายพนาเวส แม่พร้อมถามว่าแล้วมาบอกคุณน้อยทำไม เขามองเธออย่างชั่งใจก่อนบอกว่า

"อารยา เธอพาฉันไปได้หรือไม่"

อารยาตอบรับทันทีอย่างเกรงใจ รุจจึงสั่งมณีให้ไปบอกนายสุขให้เตรียมเรือ แต่พอได้เรือเขากลับไปกับอารยาตามลำพัง โดยทำตัวเป็นผู้โดยสารเพราะพายเรือไม่เป็น

ระหว่างทาง อารยาพาเขาไปดูบริเวณที่มีกอบัวมากมาย ดอกบัวกำลังบานสะพรั่ง อารยาเก็บดอกบัว รุจเก็บบ้างแต่เก็บไม่เป็น จับก้านบัวได้ก็ดึงเอา...ดึงเอา จนอารยาต้องสอนวิธีเก็บบัวด้วยการล้วงมือลงไปแล้วหัก พอเขาทำตามก็ยิ้มขำๆ ตัวเองที่ไม่ประสาเอาเสียเลย

แต่พออารยาเล่าว่าชาลีชอบทานเม็ดบัว ถามว่าเขาชอบไหม เขาตอบห้วนๆหน้าตึงทันทีว่า "ฉันไม่ชอบเม็ดบัว"

เมื่ออารยาพายเรือไปถึงบ้านพนาเวส ทั้งคุณนายพนาเวสและวัฒนาตื่นเต้นแปลกใจมากที่รุจมาเยี่ยมเยือน เมื่อเท้าความถึงวัยเด็ก เล่าความซนในวัยนั้นกันแล้ว ก็พากันหัวเราะอย่างรื่นรมย์

คุณนายพนาเวสถามว่าเขาเป็นหมออะไรหรือ เขาบอกว่าแผนกประสาทวิทยา คุณนายชมว่าเก่ง ต้องผ่าตัดบ่อยๆ ใช่ไหม เขาตอบสั้นๆว่าแล้วแต่กรณี จนคุณนายพูดยิ้มๆว่าพูดน้อยเหมือนตอนเด็ก ดูนิ่งสมเป็นหมอจริงๆ

"ครับ เพื่อนๆชอบแซวผมว่าเหมือน..." เขาหยุดนิดหนึ่งเหลือบมองอารยาก่อนพูดว่า "ปริ๊นซ์มัมมี่"

ทั้งวัฒนาและอารยามองหน้ากันสะดุ้งใจกับชื่อที่พวกตนแอบเรียกเขา แต่พอพูดแล้วรุจก็มองหน้าอารยาถามด้วยสายตาว่า "จริงไหมล่ะ"

ooooooo

เมื่อกลับมาถึงบ้านรุจิโรจน์ อารยาถามรุจที่หอบดอกบัวมาเต็มแขนว่าสนุกไหม เขาบอกว่าสนุกมาก เมื่อเข้าบ้าน เจอแม่ละม่อมถามว่าไปเอาดอกบัวมาจากไหน รุจบอกว่าเก็บจากคลองเล็กๆใกล้บ้านเรานี่เอง แม่ละม่อมเห็นอารยาเดินตามมา ถามรุจว่าคุณน้อยพาไปเก็บหรือ เขาพยักหน้าเล่าอีกว่าสนุกมาก ต่อว่าแม่ละม่อมว่าทำไมตอนเด็กๆถึงไม่พาตนไปที่สวยๆอย่างนี้บ้าง

ความเปลี่ยนแปลงของรุจกับอารยา ยังความปลื้มปีติแก่แม่ละม่อมนัก ยิ่งเมื่ออารยาบอกว่าวันนี้คุณหนูของแม่ ละม่อมยิ้มตั้งหลายหน พูดแซวๆว่าสงสัยวันนี้ฝนตกแน่ แม่ละม่อมก็ยิ้มแก้มแทบปริ

ขณะแม่ทั้งสามนั่งฟังอารยาเล่าถึงการพารุจไปเก็บดอกบัวอย่างเพลินใจนั่นเอง มณีก็มาบอกอารยาว่ารุจให้ไปหา แม่พินกระดี๊กระด๊าดีใจ แต่แม่พร้อมที่เอาใจช่วยชาลีอยู่ทำกระฟัดกระเฟียด แม่ละม่อมมองสองแม่นั้นแล้วพูดลอยๆว่า "ฉันไม่เข้าใครออกใคร จะคอยดูเท่านั้น"

รุจเรียกอารยาไปมอบถุงใส่น้ำหอมให้เป็นน้ำใจที่เธอช่วยซ่อมผ้าปักให้ เป็นผ้าปักผืนเดียวกับที่เธอซ่อมให้แล้วถูกด่าว่าอย่างเกรี้ยวกราดนั่นเอง

"ขอบคุณค่ะ" อารยาไหว้รับถุงไปประคองไว้ "ต่อไปคุณรุจไม่จำเป็นต้องให้อะไรหรอกค่ะ เป็นหน้าที่ของน้อยตามที่แม่สั่งไว้ว่าให้ดูแลรับใช้คุณรุจทุกอย่าง แม่สั่งไว้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของน้อยคือต้องดูแลบ้านนี้ ดูแลคุณรุจ"

รุจอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนบอกเธอว่า "เธอดูแลบ้านนี้อย่างที่ทำมานั่นเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่เรื่องดูแลฉัน ขอบใจที่ตั้งใจจะทำ แต่ไม่เป็นไร นายสุขเขาทำได้"

อารยารับคำ แต่แอบไปบอกนายสุขให้ดูแลเขานับแต่ ตื่นนอนจนแต่งตัวไปทำงาน ดังนั้น รุ่งขึ้นรุจแปลกใจที่เห็นในห้องน้ำมีแปรงสีฟันบีบยาไว้พร้อม อาบน้ำเสร็จออกมาก็มีชุดเตรียมไว้ให้แล้ว

เมื่อเขาลงมามองไปที่หน้าบ้านเห็นอารยากำลังพรวนดินอย่างขะมักเขม้น มณีคอยเป็นผู้ช่วยและแม่พร้อมยืนให้กำลังใจอยู่ เขาถามนายสุขว่าเมื่อเช้าเตรียมยาสีฟันกับเครื่องแต่งตัวให้หรือ ใครบอกให้ทำ นายสุขตอบอย่างไร้พิรุธตามคำขอร้องของอารยาว่า "เปล่าขอรับ"

ooooooo

แม้ว่าแม่ละม่อมจะบอกแม่พินว่าตนไม่เข้าใคร ออกใครเรื่องรุจกับอารยา แต่ก็แอบโทร.ไปบอกท่านขุนฯ ท่านตื่นเต้นดีใจมากมาที่บ้านรุจิโรจน์แต่เช้า ถามเป็นนัยว่ามีหวังไหม แม่พินรีบบอกว่ามีหวังแน่ ต่างหัวเราะกันอย่างยินดี แม่พร้อมทำหน้าตึงมองขวางๆ
"ฮื้อ...จะตื่นเต้นอะไรนักหนานะ" แม่ละม่อมทำเสียงรำคาญแล้วลุกเดินออกไป แม่พร้อมเดินสะบัดตามไปอย่างขัดใจ แม่พินถามท่านขุนฯว่ารู้เรื่องนี้จากใคร ท่านตอบขำๆว่า

"ก็คนที่ไม่ตื่นเต้นนั่นแหละ โทร.ไปบอกฉัน" พูดพลางเหล่ไปทางแม่ละม่อมที่เดินตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยไป

รุ่งเช้าแม่พินกับแม่พร้อมเตรียมของใส่บาตร เสร็จก็ยืนรอพระพร้อมกับอารยา รุจผ่านมามองแล้วจะเดินผ่าน แม่พินเดินไปหาชวนมาใส่บาตรด้วยกัน รุจพยักหน้าทันทีแล้วเดินมาที่โต๊ะ อารยาถอยออกไปอย่างสำรวม เขาบอกเธอน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

"อารยาไม่ต้องไป ใส่บาตรด้วยกันก่อน" เธอจึงเดินกลับเข้ามา แม่พินแอบดึงแม่พร้อมให้ถอยออกไป พอพระมาเลยกลายเป็นรุจกับอารยาใส่บาตรคู่กัน

เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า อารยาไปนั่งโต๊ะทานพร้อมกับรุจ ทั้งสองคุยกันเล็กน้อยด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

ooooooo

นับวันภคินีก็ไม่สบายใจที่พี่ชายทุ่มเทปรนเปรอข้าวของราคาแพงและเที่ยวสำราญกับเสาวรสจนลืมงาน ปรับทุกข์กับน้าสังวาลย์ว่าไม่อยากให้พี่ชายอยู่ใกล้ ผู้หญิงคนนี้ อยากกลับเชียงใหม่แล้ว

น้าสังวาลย์เชื่อว่าไม่มีทางที่ภาคินัยจะห่างผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ภคินีมั่นใจว่าคนอย่างเสาวรสก็ไม่มีทางที่จะห่างจากชีวิตเมืองกรุงได้เช่นกัน

คืนหนึ่ง ภาคินัยขอเสาวรสแต่งานและไปอยู่เป็นแม่เลี้ยงที่เชียงใหม่กับตนที่ไร่ของเรา เสาวรสปฏิเสธนิ่มๆว่าต้องปรึกษากับคุณพ่อก่อนว่าจะให้ไปหรือไม่ ภาคินัยยังมีความหวังบอกว่าจะคอยคำตอบ เมื่อเธอบอกพระศัลย์ฯเรื่องนี้และพูดอย่างรังเกียจว่าตนไม่มีวันไปที่นั่น ผู้เป็นพ่อจึงแนะให้ชวนภาคินัยมาอยู่พระนครด้วยกัน หรือไม่ก็ลองกลับไปมองหมอรุจอีกที เพราะสมุทรปราการอยู่ใกล้พระนครกว่าเมืองเหนือ

"คุณพ่อ" เสาวรสเสียงดัง "จะต้องให้ลูกพูดกี่ครั้งว่าบ้านนอกอย่างสมุทรปราการ ลูกก็ทนไม่ได้เหมือนกัน!"

ooooooo

วันแล้ววันเล่าเสาวรสก็ไม่โทร.มาหารุจ เขาเริ่มหงุดหงิด แต่ยังไปทำงานอย่างรับผิดชอบ

ส่วนอารยาเมื่อสบายใจขึ้น เธอพยายามดูแลและใช้

ความรู้ความสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้บ้านดูน่าอยู่ ยิ่งขึ้น วันนี้เธอก็ตั้งอกตั้งใจร้อยดอกพุดเป็นม่านหน้าต่างแซมด้วยดอกรัก-ดอกกล้วยไม้ เสร็จแล้วเอาไปติดที่หน้าต่างห้องนอนรุจ

ตกเย็นเมื่อรุจกลับมา เขาสั่งนายสุขว่าพรุ่งนี้ไปเร็วหน่อยเพราะจะไปบ้านเสาวรสแล้วขึ้นห้องด้วยสีหน้าหม่นหมอง อารยาแอบดูว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรกับม่านหน้าต่างดอกพุด พริบตาเดียวเธอก็ตกใจตะลึงเมื่อเห็นรุจตวัดมือปัดม่านที่ปลิวพันกัน จนดอกไม้หล่นเกลื่อนพื้น เมื่อคิดถึงเสาวรสจนอารุมณ์ขุ่นมัว

อารยาเสียใจมากบอกแม่พินขณะอยู่ในครัวว่าเขาไม่ชอบ ปัดจนดอกไม้หล่นกระจาย แม่พินเห็นนายสุขเดินมาหยิบขันตักน้ำกิน ถามนายสุขว่าวันนี้คุณหนูเป็นอะไร

"ไม่เห็นว่าอะไร นั่งมาเงียบๆ บอกแต่พรุ่งนี้ให้ไปรับเร็วหน่อย จะไป...บ้านเพื่อน"

แม่พินถามว่าเพื่อนคนไหน นายสุขเคยไปไหม นายสุขไม่ยอมบอก วางขันแล้วออกไปเลย แต่อารยาฟังแล้วเดาออก เธอหน้าเศร้า...เศร้ากว่าที่เห็นม่านดอกไม้ถูกทำลายเสียอีก...

เรื่องย่อ ละคร หอหึหึ


ละคร หอ หึ หึ ละครตอนเย็น แนวผีๆ ตลกๆ ทางช่อง 3
ละคร หอ หึหึ ค่าย เมคเกอร์ เค
หอ หึหึ นำแสดงโดย น๊อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์
หอ หึหึ นำแสดงโดย เอ๊ะ อิศริยา สายสนั่น
หอ หึหึ นำแสดงโดย ณัฐรัฐ โมริส เลอกรอง
หอ หึหึ นำแสดงโดย จีจี้ จอมขวัญ ลีละพงศ์ประสุต
หอ หึหึ นำแสดงโดย หนิง ปณิตา

หอ หึหึ เคยเป็นภาพยนตร์ สนุกสนาน เบาสมอง

อ่านเรื่องย่อ หอ หึหึ
ผีสิงออกอาละวาดในสถาบันศึกษาแห่งหนึ่ง และการต่อสู้ระหว่างผีกับหมอผี หนังเน้นฉากวิ่งไล่ล่าจับหมอผีที่ปลุกวิญญาณผีให้ออกมาสร้างความวุ่นวายให้ครูและนักศึกษา

หอ…หึ หึ เป็นเรื่องราวชีวิตวุ่น ๆ ของนายน้ำมนต์ (ณัฐรัฐ) เด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ชอบเรื่องผี ๆ แต่กลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง และสนใจทางไสยศาสตร์ เขาสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติดจึงเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชนในต่างจังหวัด พร้อมกับกลุ่มเพื่อนใหม่ ชีวิตของทุกคนได้เริ่มต้นผูกพันกันมากขึ้นเมื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นน้องใหม่ของรั้วมหาวิทยาลัย และต้องใช้ชีวิตเป็นเด็กหอ โดยไม่รู้ว่าเรื่องราวชวนสยองขวัญจนขนหัวลุกกำลังจะเกิดขึ้นใน หอ หึหึ

วันแรกของการเริ่มต้นชีวิตในมหาลัยฯ น้ำมนต์ ได้เจอกับ สาวิตรี (จอมขวัญ) เด็กสาวหน้าตาน่ารัก และจิตใจดีที่กลายมาเป็นคู่กัดกันตั้งแต่งานต้อนรับน้องใหม่ ที่ต่างคนก็ไม่ยอมลงให้กัน แต่ใจจริงแล้วน้ำมนต์แอบชอบสาวิตรีตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็น จึงแสดงออกตรงกันข้าม ด้วยการพูดจาเหน็บแนมเป็นคู่กัดกันตลอด ทุกคนได้มาอยู่หอพักเดียวกันในมหาลัยฯ และได้มาเจอกับ ชายธง (วรฤทธิ์) รุ่นพี่ปี 7 ที่เรียนไม่จบเสียทีจนเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่าง ลัดดา (อิศริยา) (หญิงสาวที่ชอบใส่แว่นกรอบหนา แต่งตัวเชยเฉิ่ม ที่สำคัญเป็นคนซุ่มซ่ามไร้ที่ติ) ที่หลงรักชายธงมาตั้งแต่ปี 1 และกลับมาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย เพื่อได้มาใกล้ชิดกับชายธง

น้ำมนต์ต้องพักอยู่ห้องเดียวกับ คำพูน (สุรินทร) เด็กบ้านนอกยากจน ซึ่งกลัวผีเป็นชีวิตจิตใจแต่มีญาณพิเศษสัมผัสที่หกมองเห็นผีได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนสาวิตรีก็มีเพื่อนคู่หูอีกสองคนคือ แอนกับจอย ที่ได้มาอยู่ห้องเดียวกัน ส่วน บริบูรณ์ (เฉลิมพล) ลูกคนรวยเอาแต่ใจชอบดูถูก และรังแกคนอื่นเสมอต้องอยู่ห้องเดียวกับ ยินดี (จักรพันธ์) ที่จะคอยดูแลบริบูรณ์ทุกอย่าง เนื่องจากพ่อของบริบูรณ์เป็นคนออกค่าเล่าเรียนพร้อมค่าจ้างให้มาดูแลบริบูรณ์ ยินดีจึงจำเป็นต้องเป็นลูกไล่ให้บริบูรณ์เสมอ

เรื่องราวกุ๊กกิ๊กน่ารักกำลังจะไปด้วยดี ถ้าไม่มี นายประสม (สมชาย) ชายวัยกลางคนที่มารับหน้าที่เป็นภารโรงประจำมหาลัยฯ ดูภายนอกแล้วนายประสมเป็นคนมีบุคลิกดี สุภาพ ขยันขันแข็งน่าไว้วางใจ แต่พิลึกที่ชอบแอบกินหมากจนปากแดง ครั้นพอตกดึกกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน แอบปิดห้องทำพิธีเรียกผีออกมาและมีคาถาอาคมบังคับเหล่าผีร้าย เพื่อให้ยอมรับใช้ตามคำสั่ง จำนวนผีที่ออกมามากมายหลายสิบตน มีทั้ง ผีนางรำ ผีพยาบาล ผีทหาร ผีป๋องซ่าส์ ผีแม่ม่าย ผีปอบ ผีพรายน้ำ ผีเกย์ ผีประเภทสอง ผีเจ้าคุณปู่ ผีเด็ก ผีรุ่นพี่ ผีนางไม้ ผีขนุน ผีน่ารัก ผีดูดเลือด ผีกระสือ ผีกระหัง ผีหัวขาด ผีตายโหง ผีตาโบ๋ ผีทะเล ผีคุณหมอ ผีผู้ป่วย ซึ่งมีมากที่สุด ฯลฯ สร้างความพอใจให้กับประสมอย่างมากเพราะความหลากหลายของผีคงทำให้งานสำเร็จด้วยดี เพราะมันมีจุดประสงค์ที่ต้องการให้เหล่าผีนี้ป่วนนักศึกษาและอาจารย์ให้ทุกคนอยู่ไม่ได้ และต้องออกจากมหาวิทยาลัยกันไปในที่สุด ภารกิจนี้นายประสมได้รับว่าจ้างจากนายทุนคนหนึ่งที่ต้องการให้มหา วิทยาลัยขายที่เพื่อมาทำศูนย์การค้า

ตั้งแต่นั้นเหล่าผีก็ออกทำงาน อาละวาดตามคำสั่งของประสม โดยมีผีโหงพรายที่ประสมเสกขึ้นเพื่อคอยควบคุมผีทุกตัวให้ทำไม่ดี และถ้าผีตนไหนไม่ทำตามคำสั่งของมัน มันจะสะกดวิญญาณไม่ให้ไปผุดไปเกิด แต่ถ้างานสำเร็จแล้วจะทำพิธีส่งไปเกิดเป็นรางวัล ซึ่งก็มีผีที่รู้ดีรู้ชั่วอยู่สี่ตน คือ ผีนางรำ ผีพยาบาล ผีทหารอากาศขาดรัก และผีป๋องซ่าส์ ที่ไม่อยากทำตามคำสั่งของนายประสมเพราะมันเป็นเรื่องที่ผิด และจะเป็นกรรมให้ผุดเกิดในภพที่ไม่ดี แต่ก็ขัดขืนไม่ได้เพราะด้วยอำนาจมหามนต์ที่เหนือกว่าสะกดจนอยู่หมัด

เมื่อเรื่องราวไปถึงท่านอธิการบดีกับ อาจารย์ถมยา (ซึ่งเป็นอาจารย์หญิงวัยใกล้เกษียณเป็นคนที่มีศีลธรรมแต่ ขี้บ่น รักษาแบบแผนแนวปฏิบัติ เวลาเจอผีก็มักจะต้องสั่งสอนผีกันก่อน ทำให้ลูกศิษย์เป็นห่วงว่าผีจะหักคอเสียก่อนจึงต้องเตือนสติพาหนีประจำ) รวมทั้งอาจารย์โซฟี อาจารย์สอนภาษาไทยที่พูดไทยไม่ชัดเอาซะเลย ต่างก็พากันให้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ จนกระทั่งอาจารย์ลัดดาที่เกิดจำขึ้นมาได้ว่าเคยเห็นประสมปีนขึ้นไปเหมือนจะเอาผ้ายันต์สะกดวิญญาณออกจากบานประตู แต่คำพูนบอกว่าเป็นของปลอมเพราะคำพูนมีสัมผัสที่หกเห็นผีเดินผ่านเข้าผ่านออกสบายใจ อธิการบดีจึงเรียกให้ประสมเข้าพบที่ห้องเพื่อต่อว่าทำไมต้องเอาผ้ายันต์ออกไป ประสมไม่ตอบแต่กลับพ่นน้ำหมากเข้าใส่หน้าอธิการเพื่อสะกดให้อยู่ใต้อำนาจ ตั้งแต่นาทีนั้นอธิการก็กลายเป็นสมุนของประสมทันที

น้ำมนต์เริ่มสงสัยประสมและคอยแอบดูพฤติกรรม จนกระทั่งวันหยุดทุกคนกลับบ้านแต่น้ำมนต์กับเพื่อนย้อนกลับมาแอบดูประสม และเป็นจริงอย่างที่น้ำมนต์คิดคือประสมกำลังสะกดคำสั่งให้อธิการไล่นักศึกษาออกให้หมด แต่อธิการไม่ยอม ประสมจึงเรียกผีทหารให้มาหลอกเพราะอธิการจะกลัวผีในเครื่องแบบมาก อาจารย์และนักศึกษาที่ทนความกลัวไม่ไหวต่างขอลาพักชั่วคราว ต่างเก็บข้าวของหิ้วกระเป๋าจากไป อาจารย์หลายคนก็ถอดใจไม่อยากสอน นักศึกษาบางคนไม่อยากเรียนและลาออกจากมหาวิทยาลัย

เป็นครั้งแรกที่ทุกคนสามัคคีและพร้อมใจกันคิดหาทางออก แต่ชายธงกับลัดดากลับถูกลูกน้องของเสน่ห์จับถ่วงน้ำจนเกือบตาย แต่ในขณะเดียวกันกายทิพย์ของชายธงและลัดดาก็หลุดออกจากร่างและคิดว่าตนเองตายแล้วทั้งคู่ ทั้งสองระเหเร่ร่อนจนไปเจอน้ำมนต์กับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่กำลังทำพิธีเรียก ผีนางรำ ผีพยาบาล ผีทหารอากาศ ผีรุ่นพี่ป๋องซ๋าส์ พยายามช่วยกันเพื่อให้กายทิพย์ของชายธงกับลัดดากลับเข้าร่างก่อนที่จะเอาเครื่องช่วยหายใจออกก็จะตายทันที

แต่แล้วทุกคนก็เกือบช็อคเมื่อทั้งคู่ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์แต่ต่างก็ตกใจเพราะคิดว่าเห็นผีวิ่งหนีกันใหญ่ จนทั้งลัดดาและชายธงพิสูจน์ให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ทุกคนจึงดีใจยกใหญ่ ประสมหลังจากถูกเปิดเผยตนเองแล้วก็หนีหลบไปอยู่ห้องลับที่เคยเป็นบังเกอร์หลบระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยการฝึกฌานและอาคมให้เก่งกล้ายิ่งขึ้น

ระหว่างนั้นน้ำมนต์ได้ไปหาสัปเหร่อคงขี้เมาที่จริง ๆ แกเป็นหมอผีมือ ฉมั่งแต่แอบซุกตัวอยู่ที่วัดมาหลายปี โดยสัปเหร่อคงแนะนำให้เอาความดีชนะความชั่ว ให้น้ำมนต์รักษาศีลแปดอย่างเคร่งครัดครบสามอาทิตย์และแผ่ส่วนกุศลให้กับเหล่าผีทั้งหลายด้วยใจบริสุทธิ์ทุกวัน ๆ เพื่อช่วยเหลือเหล่าผีให้มีกำลังบุญต่อต้านความชั่วร้ายของประสม น้ำมนต์จึงกลับมาทำตามที่ท่านแนะนำด้วยการนุ่งขาวห่มขาวและพยายามรักษาศีลอย่างเคร่งครัด

จนกระทั่งน้ำมนต์ได้หาวิธีคลายมนต์สะกดให้ผีดิบหยุดนิ่งด้วยคาถาของพระอาจารย์องค์เดิม และเขาก็ทำได้สำเร็จ และแล้วความสงบสุขของมหาวิทยาลัยก็กลับคืนมาอีกครั้ง นักศึกษาต่างกลับมาเรียนตามปกติ รวมทั้งน้ำมนต์กับกลุ่มเพื่อนด้วยที่กลับมารักและสามัคคีแน่นแฟ้นจนเป็นกลุ่มเพื่อนที่สนิทมากกลุ่มหนึ่ง และทำให้บริบูรณ์ยอมรับในตัวของยินดีเป็นเพื่อนเสมอกันไม่ได้ให้เป็นลูกไล่อีก ส่วนน้ำมนต์กับสาวิตรีก็เริ่มปลูกต้นรักกันใหม่ รวมทั้งชายธงกับ ลัดดาที่ผูกพันกันมากยิ่งขึ้น

ท่านอธิการบดีได้จัดเลี้ยงใหญ่เพื่อขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันปราบผีและกำจัดคนชั่วได้สำเร็จ ซึ่งคืนนั้นคำพูนทิ้งท้ายบอกเพื่อน ๆ ว่า เขาเห็นเพื่อนผี ๆ มาร่วมแสดงความยินดีกับทุกคนด้วยเพื่ออำลาไปผุดไปเกิดกันเสียที แต่ทุกคนก็ขนหัวลุกฮือฮาวงแตกกันอีกครั้ง ต่างบอกว่าไปที่ชอบ ๆ เถิดไม่ต้องมาลาก็ได้จ๊ะพี่ผี …หึ… หึ ติดตามชม ละครหอหึหึ ได้ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 18.30 – 20.00 น. ทางช่อง 3



เคหาสน์สีแดง ตอนที่ 4

ตอนที่ 4

หลังจากเห็นรูปเสาวรสในห้องนอนของรุจแล้ว แม่พินอัดอั้นอยู่นาน จนคืนนี้ทนไม่ได้เลยเล่าให้ แม่พร้อมกับแม่ละม่อมฟังว่าคุณหนูมีคู่รักแล้ว ตนเห็นรูปในห้องนอน คุณน้อยก็เห็นด้วย

"อย่างนี้ คุณชาลีของฉันก็มีหวัง" แม่พร้อมที่เอาใจช่วยชาลีอยู่ยิ้มย่อง

เวลาเดียวกัน ที่ท่าน้ำ ชาลีพายเรือมาส่งอารยา พอขึ้นท่าเธอมองไปที่ตึกทันที ชาลีถามว่ากลัวหรือ เธอบอกว่าไม่ เขาไม่อยู่ไปอยู่เวร ชาลีจึงนัดพรุ่งนี้จะมาใส่บาตรด้วย

รุ่งเช้า ชาลีมาตามนัด ทั้งสองใส่บาตรแล้วคุกเข่าคู่กันไหว้พระรูปสุดท้าย นายสุขขับรถพารุจกลับจากอยู่เวรที่ โรงพยาบาลพอดี ชายหนุ่มมองด้วยสายตาคมกริบ สีหน้าเครียดนิดๆ นายสุขหันมองหน้าอย่างขอความเห็น เมื่อรุจพยักหน้านายสุขจึงขับรถเข้าไป

อารยาเห็นเขากลับมาก็ดึงแขนชาลีพาไปหา แต่นายสุขออกรถแล้ว อารยาพึมพำเบาๆว่า ไม่ทัน...ไปแล้ว แต่ชาลีเชื่อว่าเพราะเขาเห็นเราเลยไป เขาไม่อยากทักตน

"ไม่ใช่ ชาลีอย่ามองเขาในแง่ไม่ดีนะจ๊ะ เขาไม่มีอะไรที่ไม่ชอบชาลีนี่" อารยาพูดอย่างมีจิตใจงามบริสุทธิ์ แต่ชาลีขมวดคิ้วมองตามรถไปไม่วางตา

เมื่อกลับถึงบ้านพนาเวส ชาลีเล่าให้พี่สาวกับแม่ฟังว่า

"เขาหยิ่ง ถือตัว ดูถูกคน มองเราเหมือนเราเป็นเศษดินเศษหินหล่นอยู่ตามถนน" คุณนายมองหน้ากันกับวัฒนาอย่างไม่สบายใจ วัฒนาทักท้วงว่าเขายังไม่ได้พูดกับชาลีเลยไปว่าเขาอย่างนั้นได้ไง "แค่เห็นสายตาก็รู้ สายตาเขาน่ะพี่หนูนา" ชาลีมั่นใจมากกับความรู้สึกของตัวเอง

ooooooo

ถึงเวลาอาหารเช้า รุจนั่งจ้องอารยาจนเธอตัวลีบ เขาพูดขึ้นก่อนว่า "ฉันกำลังรอฟังอยู่" แต่ไม่ทันที่อารยาจะพูดอะไร เสียงแม่พร้อมก็เข้ามาพร้อมชามข้าวต้มกุ้งบอกให้ทานเสีย ทานแล้วอาบน้ำนอนเลยเพราะคุณหนูไม่ได้นอนมาทั้งคืน

พอรุจรับคำ แม่พร้อมก็หันไปทางอารยาบอกว่าชาลีโทร.มาว่าจะชวนไปบางปู สีหน้ารุจเข้มขึ้นทันที แม่พร้อมยังบอกอีกว่า ชาลีให้ถามด้วยว่าคุณน้อยว่างไปกี่โมงให้โทรศัพท์ บอกเขาด้วย

รุจหงุดหงิดขึ้นมาทันทีทะลุกลางปล้องบอกแม่พร้อมว่าข้าวต้มเค็มไปหน่อยเลยต้องหยุดทานกลางคัน ขอโทษแล้วลุกไปเลย อารยาผิดหวังมากลุกตามไปจนถึงบันได เธอเรียกเขา พอเขาหยุดเธอก้าวเข้าไปจนใกล้ รุจหันมาเห็น เขาถอยห่างออกไปด้วยกิริยาที่บ่งบอกถึงความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

อารยาหน้าเสีย ใจสั่นหวิวพูดไม่ออก จนเขาบอกว่ารอฟังอยู่ เธอจึงรวบรวมความกล้าบอกว่า

"เรื่องเงินค่ะ เงินเดือนค่ะ เงินเดือนหนึ่งร้อยบาท คุณรุจไม่ต้องจ่ายเงินนั้นแล้ว ต่อไปนี้ดิฉันไม่ขอรับเงินเดือนนะคะ ขอบพระคุณที่อุปการะดิฉันตลอดมา" อารยายกมือไหว้นอบน้อม

"เพราะอะไรฉันอยากรู้เหตุผล"

"ค่ะ...เหตุผลคือ ครั้งหนึ่ง คุณรุจพูดว่าดิฉันมีเรื่องปิดบังซ่อนเร้น ดิฉันไม่ทราบว่าคุณรุจหมายถึงอะไร พยายามคิดหลายครั้ง ปรึกษากับพี่หนูนา คิดกันเองนะคะว่าคงเป็นเรื่อง...เอ้อ...ทรัพย์..."

อารยาหยุดนิดหนึ่งมองหน้ารุจเห็นจ้องเขม็ง เธอรวบรวมกำลังใจรีบพูดต่อ "ทรัพย์สมบัติ ดิฉันจึงอยากยืนยันกับคุณรุจว่าดิฉันไม่...ไม่...ไม่ได้อยากได้ทรัพย์สินของคุณรุจ"

เธอผ่อนลมหายใจเบาๆอย่างโล่งใจที่พูดได้จนจบ รุจถามห้วนๆว่า จบหรือยัง เธอบอกว่าจบแล้ว เท่านั้นเองเขาก็หันเดินขึ้นบันไดไปเฉยๆ อารยายืนเหวอกับท่าทีเย็นชาของเขา

ooooooo

ความสับสน ว้าวุ่น อัดอั้น ทำให้อารยาหนีไปที่สวน พรวนดินไปร้องไห้ไป แม่พร้อมมาเห็นกลับไปบอกแม่ละม่อมกับแม่พิน คาดว่าเธอเสียใจที่ถูกคุณหนูเอ็ด แต่เอ็ดเรื่องอะไรไม่รู้ แม่พินนึกได้บอกว่า

"ยายจ้วน ฉันรู้ว่าใครที่มาพูดให้คุณหนูเชื่อ จำได้ไหมที่นายสุขบอกว่ายายจ้วนมาคุยกับคุณหนูที่ประตูบ้าน นั่นแหละไม่ผิดหรอก...ยายจ้วน"

จากนั้น นายสุขไปตามหายายจ้วนเจอที่ตลาดกำลังวางเขื่องมาเก็บค่าเช่าจากพวกแม่ค้าอยู่ พอบอกว่าแม่ละม่อมบอกให้ไปพบ ยายจ้วงก็เชิดหน้าจนเหนียงสะบัด บอกว่าถ้าแม่ม่อมอยากเจอให้มาหาตนเอง ตนไม่ลดตัวไปหาหรอก

รุจทานกลางวันเสร็จ มณียกจานผลไม้เข้ามาวางกระซิบบอกว่า คุณน้อยเป็นคนปอกทิ้งไว้ ตัวไปไหนไม่รู้ เขาทำเฉย แต่ครู่หนึ่งก็ลุกไปที่สวนเจออารยาถือเสียมเล็กๆพรวนดินอยู่ อย่างเศร้าสร้อย

ดอกส้มสีทอง ตอนที่ 7

ตอนที่ 7

ณฤดีตื่นนอนลงมาบอกสมปองให้ทำข้าวต้มและกับข้าวสองสามอย่างเตรียมไว้ให้คุณใหญ่ เผื่อเช้านี้เธอจะกลับมาทาน แต่ก้องเกียรติหรือคุณใหญ่ไม่ได้ แวะมา ออกจากบ้านพ่อแม่ก็ตรงไปบริษัททันทีเลย...

เรยาอยู่ที่บ้านตัวเอง กำลังครุ่นคิดตรึกตรองอย่างหนักเรื่องก้องเกียรติ ลำยองยืนเมียงมองอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเดินเข้ามาถามลูกสาวในเรื่องที่ยังคาใจอยากจะถามหลายครั้งแล้วแต่ไม่กล้า

"ฟ้าให้แม่ไปหายาย เพราะฟ้าบอกแม่ว่าฟ้ารักผู้ชายคนหนึ่ง แต่เขาไม่รักฟ้า...ใช่มั้ยลูก"

"ใช่แม่"

"แล้วตอนนี้ฟ้ายังรักเขารึเปล่า"

"ก็ยังรัก"

"ลูกของแม่สวย...ฉลาด ขยันทำงานอย่างนี้ ทำไมผู้ชายถึงมองข้ามไป"

"เขาก็รักนะแม่ แต่รักไม่มาก"

"ถ้าเขาไม่เห็นค่าของเรา ก็ไม่ต้องไปรักเขา ผู้ชายดีๆมีอีกเยอะไปนะลูก"

"ไม่...แม่ ฟ้ารักคนนี้ ฟ้าจะต้องชนะใจเขาให้ได้"

"แต่ฟ้าต้องอย่าให้เขาเอาเปรียบเรานะลูก อย่าชิงสุก ก่อนห่ามเป็นอันขาด"

"เป็นไงแม่ ชิงสุกก่อนห่าม"

"อย่ายอมเสียตัวให้เขาก่อน ผู้หญิงเราไม่มีอะไรสำคัญกว่าความบริสุทธิ์นะลูก ผู้ชายเขาจะภูมิใจมากถ้าเรายังบริสุทธิ์อยู่ในวันส่งตัว"

"แม่ล่ะ แม่ส่งตัวรึเปล่า แม่แต่งงานรึเปล่า แม่ก็ได้กะพ่อเฉยๆไม่ใช่เหรอ"

ลำยองอึ้งไปเล็กน้อยก่อนตอบโดยไม่มีท่าทีโกรธเคืองลูกสักนิด "ใช่...แม่ถึงอยากให้ฟ้าบริสุทธิ์ผุดผ่อง ฟ้าเป็นนางฟ้าไม่ใช่เหรอลูก"

"แม่นี่โบราณจัง"

"เชื่อแม่เถอะลูก ผู้ชายโบราณหรือสมัยใหม่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน เขาอยากเป็นคนแรกของผู้หญิงที่เขารัก ที่เขาอยาก ให้เป็นแม่ของลูกเขาทั้งนั้นแหละลูก"

เรยานิ่งงันไปทันที คำพูดของแม่ทำให้เธอเครียดหนักขึ้นไปอีก

ooooooo

ขณะเดียวกันนั้น ก้องเกียรติกำลังเครียดอยู่ เหมือนกัน ตั้งแต่ออกจากบ้านพ่อแม่มาถึงบริษัท ก็เอาแต่ขบคิดทบทวนเรื่องคำแก้วเป็นบ้าซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากเขากับเรืองยศ...

ก้องเกียรติพยายามสลัดความคิดนั้นทิ้ง ลุกจากโต๊ะทำงานจะออกจากห้อง แต่ต้องชะงักกับเสียงมือถือที่ดังขึ้นมา พอรับสายปรากฏว่าเป็นเรยา เขาตกใจถึงกับอึกอัก พูดอะไรไม่ออก เรยาบอกว่าที่โทร.มาเพราะคิดถึง ไม่ได้ ต้องการอะไร พอก้องเกียรติพูดน้อยคำเหมือนไม่เต็มใจ เรยาก็เริ่มเสียงเครือๆ

"เท่านี้นะคะคุณใหญ่ ฟ้าโทร.มาแค่นี้จริงๆ คิดถึงจริงๆ อีกนานกว่าฟ้าจะลืมคุณใหญ่ได้ เพราะถึงยังไง คุณใหญ่ ก็เป็นคนแรกของฟ้า...สวัสดีค่ะ"

เรยาวางสายไปด้วยความเสียใจ ซบหน้ากับหมอนร้องไห้กระซิก แน่ใจว่าผู้ชายคนนี้มั่นคงในศีลธรรม แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปดี

ฝ่ายก้องเกียรติที่เหมือนคนใจร้ายใจดำ เขากลุ้มหนักคิดหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอ ที่สุดก็ตัดสินใจนัดพบโจกับเต้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วเล่าปัญหาหนักอกที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสนิทฟังอย่างละเอียด

แรกๆโจกับเต้ค่อนข้างตกใจ แต่พอฟังจนจบก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร โดยเฉพาะโจนั้นวิเคราะห์ว่ามันก็แค่ อุบัติเหตุทางกาย แต่เต้ค้านว่าไม่น่าใช่ เพราะผู้หญิงที่ยังบริสุทธิ์ อยู่ไม่น่าเกิดอุบัติเหตุทางกายกับใครง่ายๆ โดยเฉพาะหญิงในวัยทำงาน ถ้ายังไม่เคยกับใครก็ต้องระวังตัวสุดๆ พอโจท้วงว่าเขาไม่สบาย เต้ก็หักล้างด้วยเหตุผลอีกว่า

"ไม่สบายแล้วใครจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ ที่จริงเขาควรหายากิน ไม่เห็นต้องเรียกนายใหญ่ไปหากลางดึกเลย"

"วะ ก็เขาไม่สบาย ไปเที่ยวกันมาทั้งวัน เขาจะเรียกใครล่ะ"

เห็นเต้เริ่มมีอารมณ์ใส่โจ ก้องเกียรติเลยต้องห้าม

"โจ เต้...อย่าเถียงกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าฉันไม่ทำอะไรเขา มันก็ไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าเขาจงใจจะให้มันเกิดแค่ไหน ถ้าฉันไม่ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันก็ผิดครึ่งหนึ่ง"

"สุภาพบุรุษ" เต้ประชดเบาๆ แต่ก้องเกียรติตอบหนักแน่นว่า

"ใช่ เราต้องเป็นสุภาพบุรุษ ใครจะเถียงฉันว่าถ้าเราผู้ชายรู้จักยับยั้งชั่งใจ อะไรก็ไม่เกิด ฉันไม่ห้ามใจเอง ฉันผิด โดยเฉพาะเขากำลังไม่สบาย เขาอาจไม่รู้ตัว"

เมื่อโจเอ่ยปากอยากรู้ว่าก้องเกียรติจะทำยังไงต่อไป เต้กลับชิงตอบเสียเองว่า

"ไม่เห็นต้องยังไง ถ้าเขาคิดอย่างนายว่า เขาเองก็ผิดครึ่งหนึ่ง มันก็แปะเอี้ย หลงจ๊งกันไป"

ก้องเกียรติหนักใจ แต่ก็ประกาศชัดว่าตนจะไม่มีเมียน้อยเป็นอันขาดในชีวิตนี้ แต่จะรับผิดชอบสิ่งที่ตนทำไป แม้ต้องทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบเลยก็ตาม

"อะไร?" โจกับเต้ประสานเสียง

"ฉันจะให้เงินเขาจำนวนหนึ่ง...เท่าที่เขาจะพอใจ จะมากแค่ไหนฉันก็ยอม ฉันไม่อยากทำอย่างนี้เลย...โจ เต้ นี่มันคือเอาเงินแก้ปัญหา ซึ่งมันผิด มันไม่ถูกต้องเลย เหมือนดูถูกเขา ที่สำคัญถ้าเขาไม่เอาขึ้นมา ฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต แกก็ได้ยินแล้วใช่มั้ยที่ฉันบอกว่า เขาสาบานไว้ว่าจะมีสามีคนเดียว"

พูดไปแล้วก้องเกียรติก็นั่งซึม ความทุกข์เกาะกินใจจนไม่มีแรงจะกลับไปทำงาน

ooooooo

บ่ายวันเดียวกัน เรยากำลังจะแวะเข้ามาที่ร้านคุณมน แต่ตาไวเห็นเด่นจันทร์กับณฤดีอยู่ในร้านนั้นเสียก่อน เรยารู้สึกหมั่นไส้พวกผู้ดีมีเงินขึ้นมาทันที เธอแกล้งยืนคุยโทรศัพท์หน้าร้านทำเสียงหวานเรียกคุณใหญ่หลายครั้งเพื่อให้เด่นจันทร์กับณฤดีได้ยิน

แน่นอนว่าสองคนนี้ได้ยินชัดเจน ณฤดีถึงกับหน้าถอดสี แต่เด่นจันทร์รีบดึงณฤดีออกไปนอกร้านแล้วพิสูจน์ด้วยการโทร.หาก้องเกียรติ เพื่อเช็กว่าเขาคุยโทรศัพท์อยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าก้องเกียรติยังอยู่กับโจและเต้ที่ร้านอาหาร เขารับสายทันทีที่เด่นจันทร์โทร.เข้ามา
หลังจากเด่นจันทร์เช็กจนแน่ใจแล้วว่าคุณใหญ่ที่เรยา เอ่ยถึงไม่ใช่ก้องเกียรติ ณฤดีโล่งใจและยิ้มออก

"ยายนี่คงกำลังกิ๊กผู้ชายที่ซวยหมายเลขสองรองจากคนชื่อสินธร แล้วก็บังเอิญชื่อคุณใหญ่ เอาเถอะดี๋ เธอน่ะแค่ชื่อ เดียวกัน ฉันน่ะสามีเดียวกันไปแล้ว...นานแค่ไหนก็ไม่รู้ กว่าจะเอากลับมาได้"

"รู้แต่ว่าแพง"

"นั่นสิ ยี่สิบล้าน แพงมากสำหรับผู้หญิงไร้สติอย่างยายคนนี้ ฉันเล่าให้คุณมนฟังแล้วด้วย"

"จริงเหรอเด่น ทำไมล่ะ"

"เรื่องจริงของชีวิต...ไม่อายหรอก เป็นบทเรียน สามีคุณมนเขาก็เจ้าชู้ มีแต่คุณใหญ่ของเธอเท่านั้นแหละดี๋ ที่เธอจะนอนตายตาหลับ อยากรู้คุณมนจะทำยังไง แต่ถ้ายอมขายของให้ล่ะก็ ไม่ต้องเจอฉันอีกเลยชาตินี้"

เด่นจันทร์สีหน้าจงเกลียดจงชังเรยาสุดๆ แล้วดึงแขนณฤดีกลับเข้าไปในร้านคุณมนอีก เพราะตอนนี้เรยากำลังเลือกกระเป๋าอยู่ แต่ไม่ทันที่เรยาจะระบุว่าเอาใบไหน คุณมนก็เดินมาพูดโพล่งว่าไม่ขาย

"ทำไม" เรยาเสียงแข็ง

"มีคนซื้อแล้ว"

"ไม่จริง ถ้ามีคนซื้อแล้ว ทำไมของยังวางอยู่ล่ะ"

"คุณไปเสียเถอะ มีคนที่มีเงินมากกว่าคุณร้อยเท่าเขาซื้อไปหมดแล้ว คุณมีแค่ยี่สิบล้านน่ะมันไม่พอหรอก"

เรยาจ้องคุณมนอย่างโกรธจัด คุณมนไม่สนใจ หันไปสั่งพนักงานว่า ผู้หญิงคนนี้ออกไปแล้วปิดร้านเลย...เรยาแทบเต้น ขู่ฟ่อว่าจะแจ้งความ

"ก็เอาสิ" คุณมนท้าทาย พลางมองไปที่เด่นจันทร์กับณฤดี "คุณเด่นคะ ของที่ซื้อไว้หมดร้านเนี่ย จะเอาไปหรือยังคะ"

คุณมนทั้งพูดทั้งขยิบตาส่งซิกมา เด่นจันทร์จึงเดินเฉียดมาทางเรยา

"ยัง...เอาไว้ล่อพวกผู้หญิงที่ไม่มีปัญญาหา...อย่างนี้แหละ คุณมน"

เรยาหน้าชา กัดฟันแน่นแล้วเดินพรวดออกไปแทบชนณฤดี เรยาจ้องณฤดีตาวาวอย่างชิงชัง แต่ณฤดีไม่รู้และไม่เข้าใจ ยิ้มบางๆให้อย่างมีมารยาท

"เพื่อนคุณเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจมาก คุณคบได้ไง"

เรยากระชากเสียงใส่ ณฤดีไม่ตอบหรือโต้ใดๆ เพียงแค่มองหน้าแล้วเดินหลีกไปอีกทาง นั่นยิ่งทำให้เรยาฉุนจัดถึงกับอาฆาตมาดร้าย "อย่าหยิ่งนักเลย ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ!"

ooooooo

กลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เรยาจอดรถพรืดแล้วเดินฉับๆเข้ามาต่อว่าแม่ที่กำลังรีดผ้างกๆ ว่าทำไมไม่ออกไปเปิดประตู ทั้งที่ตนกดแตรเรียกแล้ว

"ขอโทษลูก แม่คงรีดผ้าเพลินไปหน่อย ไม่ได้ยินจริงๆ"

"คราวหน้าถ้าเป็นอย่างนี้อีก ฟ้าจะจอดรถทิ้งไว้หน้าบ้าน ให้แม่ขับเข้ามาเอง"

"แม่ขับเป็นที่ไหนล่ะฟ้า"

"ขับไม่เป็นก็ต้องคอยเปิดประตูให้สิ เห็นใจมั่งว่าคนออกไปข้างนอกมันเหนื่อย"

"จ้ะๆ แม่ขอโทษลูก...เอ่อ...แล้วเย็นนี้ฟ้าอยากทานอะไรล่ะ"

"กิน...อยากกินอะไร ไม่ต้องมาทงมาทานกับฟ้า ฟ้าไม่ใช่ผู้ดีเหมือนคนอื่น ฮึ เกลียดที่สุดไอ้พวกผู้ดีตีนแดง วันนึงฉันจะทำให้แกน้ำตาตกแบบเช็ดไม่ทันเลย คอยดู"

"ฟ้า...ฟ้าพูดอะไร ทำไมรุนแรงแบบนั้น"

"แรงก็ไม่ต้องฟัง ไปเลยแม่ รีบไปปิดประตูหน้าบ้านเลย"

ลำยองหน้าเสีย เรยาสะบัดพรืดจะขึ้นข้างบน ลำยองนึกได้รีบจับแขนรั้งไว้

"เดี๋ยวฟ้า...แหม่มโทร.มา ให้บอกฟ้าว่า..."

"ไม่ฟัง...ไม่ต้องพูดอะไร ฟ้าไม่ฟังอะไรของอีแหม่มนี่อีกแล้ว ไม่ต้องมาพูดให้ฟังนะ ถ้าได้ยินชื่ออีแหม่มนี่อีกคำเดียว ฟ้าจะออกจากบ้านไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย"

เรยาตวาดแว้ดๆ จนลำยองอึ้งพูดไม่ออก

"จำไว้นะแม่ ฟ้าไม่อยากได้ยินชื่อเจ้านายของแม่อีก" พูดจบเรยาเดินฉับๆขึ้นข้างบน ทิ้งลำยองยืนหน้าสลด ทุกข์ใจที่ลูกคิดกับผู้มีพระคุณอย่างนายแหม่มแบบนี้

ส่วนที่บ้านนายแหม่ม นัทแวะมาหาเรยาแล้วไม่เจอ เหตุนี้เองนายแหม่มจึงโทร.ไปหาลำยองฝากให้บอกเรยาด้วย และก่อนที่นัทจะกลับออกมาจากบ้านนายแหม่ม เขาก็ได้รู้ความจริงจากนายแหม่มด้วยว่าแม่ของเรยาเป็นแม่บ้าน ไม่ได้เป็นอาจารย์อย่างที่เรยาเคยบอกเขาไว้

เมื่อไม่มีการติดต่อกลับมาของเรยา นัทจึงโทร.เข้ามือถือของเธอ...เรยากำลังอารมณ์ไม่ดี พอได้ยินนัทบอกว่าเขาอยู่หน้าบ้านนายแหม่ม เธอตกใจตวาดเสียงแหลม

"ทำไม ทำไมต้องไปบ้านนั้นฮะ"

"ฟ้า...ไม่เป็นไรหรอก ถึงฟ้าจะเป็นยังไง ฟ้าก็คือเพื่อนเรา ไม่สบายรึเปล่า เราโทร.ตั้งหลายหน แต่..."

"นี่นัท เราบอกนัทแล้วไงว่าเราจะโทร.หาเอง ทำไมพูดแค่นี้ไม่รู้เรื่องเหรอ"

"รู้เรื่อง แต่เป็นห่วง ไม่รู้ว่าฟ้าเป็นอะไรหรือเปล่า โทร. หลายหนแล้วฟ้าอารมณ์ไม่ดี มีเรื่องอะไร เราช่วยได้มั้ย"

"ไม่ได้ ไม่มีใครช่วยได้"

"ไม่คิดจะเล่าหน่อยเหรอ"

"ไม่เล่า...นัท...พูดไม่รู้เรื่องนะ อย่าโทร.หาเราอีกนะ คราวนี้เราโกรธจริงๆ แล้วจะไม่ยอมเจอนัทอีกจนตายเลย"

เรยาวางสายแล้วปิดเครื่องทันที จากนั้นลุกพรวดเดินหน้าตาเอาเรื่องลงมาข้างล่าง พลางตะโกนเรียกแม่ด้วยอารมณ์อัดอั้น จนลำยองที่กำลังรีดผ้าอยู่สะดุ้งตกใจ

"แม่...ทำไมแม่ต้องเป็นคนใช้ฮะ! ทำไม"

"อะไรลูก"

"ทำไมแม่ไม่ไปทำงานอะไรที่ดีๆกว่านี้ ทำไมไม่เป็นครู ทำไมไม่เป็นพยาบาล เป็นเสมียนก็ได้ เอ้า ทำไมต้องเป็นคนใช้เค้า ทำไมแม่ไม่ทำงานอะไรที่ลูกจะได้ไม่ต้องอาย"

ลำยองช็อก นิ่งงันไปกับความรู้สึกนึกคิดของลูกสาว

"ทำไมแม่ไม่เลือกคนที่เป็นพ่อฟ้าให้มันดีๆหน่อย ฟ้าจะได้ไม่อายเขาเวลาคนถามถึงพ่อ ทำไมเลือกแขกยาม ฟ้าไม่อยากมีพ่อเป็นแขกยาม เวลาคนถามพ่อทำงานอะไร แม่รู้มั้ยว่าฟ้าไม่อยากจะตอบ...มันอาย แม่เข้าใจมั้ย"

"ฟ้า...ทำไมว่าแม่อย่างนี้ลูก"

"แม่เคยนึกมั่งมั้ยว่าลูกจะอายขนาดไหน มีพ่อเป็นแขกยาม มีแม่เป็นคนใช้"

ลำยองน้ำตาทะลักทะลาย ร้องไห้ตัวสั่นไปหมด หันหลังซมซานเดินหนีลูกเข้าไปในครัว เรยายังปึงปังไม่เลิก พอได้ยินเสียงร้องไห้ของแม่ ก็ยิ่งฉุนเฉียวโวยวาย

"แม่...หยุดร้องไห้ซะทีได้มั้ย รำคาญ"

ลำยองกลั้นสะอื้นสุดแรงเกิด ปิดปากแน่นพยายามไม่ให้เสียงเล็ดรอด ขณะที่เรยาเองตอนนี้ก็เริ่มร่ำไห้ด้วยความคับแค้นใจ

"ทำไมไม่เหมือนคนอื่น ทำไมต้องจน ทำไมต้องเกิดมาต่ำต้อย"

เรยาวิ่งโครมครามกลับขึ้นไปบนห้องนอน ทึ้งหมอนแทบกระจุย

ooooooo

เย็นนั้น โจกับเต้ติดตามก้องเกียรติมากินข้าวเย็นที่บ้านด้วย แล้วสองหนุ่มก็หาช่องทางพูดเรื่องกิ๊กเรื่องเมียน้อยเพื่อจับความรู้สึกของณฤดี ปรากฏว่าณฤดีไม่ได้รู้สึกอะไร และไม่อยากคิดด้วย เพราะเชื่อมั่นในความรักของก้องเกียรติที่มีต่อเธอ

คำพูดของณฤดีกระแทกใจก้องเกียรติอย่างแรง รุ่งขึ้นเขาจึงตัดสินใจโทร.ไปนัดพบเรยา เรยาไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่ก็ดีใจสุดๆ แต่งตัวเสร็จยิ้มแย้มลงมากอดหอมแม่ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อวาน

"ฟ้าหายโกรธแม่แล้วเหรอลูก"

"หายโกรธ...หายได้ไง ในเมื่อฟ้าไม่ได้โกรธแม่ซะหน่อย"

ลำยองดีใจสวมกอดลูกสาวแน่น "แล้วนี่ฟ้าจะไปไหน"

"ฟ้าจะไป...พบใครคนหนึ่ง"

"ใครคนหนี่ง ใครเหรอลูก"

"ยังบอกไม่ได้"

"เขาทำให้ฟ้ามีความสุขได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ"

"จ้ะแม่"

"อย่าลืมคำที่แม่บอกนะฟ้า อย่าชิงสุกก่อนห่าม"

เรยายิ้มบางๆ เดินออกไปขึ้นรถแล้วรำพึงกับตัวเอง

"อย่าชิงสุกก่อนห่ามเหรอแม่...มาพูดอะไรป่านนี้ มันสุกไปแล้วนะแม่"

สถานที่นัดพบของก้องเกียรติกับเรยาคือร้านอาหารที่ค่อนข้างเงียบสงบ ก้องเกียรติเป็นฝ่ายมารอเรยา อยู่ก่อน เมื่อเธอมาถึงเขาทำท่าจะสั่งอาหาร แต่เรยารีบเบรกเอาไว้

"ฟ้าไม่หิวค่ะ อิ่ม...อิ่มใจที่ได้พบคุณใหญ่อีก ฟ้าคิดถึงคุณใหญ่ตลอดเวลา ทุกนาที ทุกวินาที"

ก้องเกียรตินิ่งอึ้งมาก คำพูดที่เตรียมมาติดอยู่แค่ลำคอ

"ขอโทษค่ะที่ฟ้าพูดตรงอย่างนี้ เป็นเพราะมันอยู่ในใจฟ้าตลอดเวลา ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ มันจะมากขึ้น...มากขึ้น"

"สั่งอาหารนะครับ"

"คุณใหญ่บอกมีอะไรจะพูดกับฟ้า พูดก่อนเถอะค่ะ ยังไม่ต้องสั่งอาหาร ฟ้าใจร้อนอยากทราบ"

"ฟ้าครับ...เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ผมต้องขอโทษอีกครั้ง ขอให้ฟ้ารู้ว่าผมรู้สึกผิดมาก เสียใจมาก ผมไม่สบายใจตลอดเวลา"

เรยาเริ่มหน้าเสียนิดๆ คาดคะเนได้ว่าเขาจะพูดอะไรอีก

"ผมรับว่าผมเป็นคนผิด ถ้าผมยั้งใจได้ มันก็ไม่เกิดขึ้น ผมไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ แต่ต่อจากนี้ไปผมอยากทำอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกผิดน้อยลง"

"อะไรคะ"

"ฟ้าครับ ผมไม่อยากทำอย่างนี้เลย ขอให้ฟ้ารู้ไว้ด้วยว่าผมลำบากใจมาก สิ่งที่ผมจะพูด ถ้าฟ้าโกรธ ผมจะไม่ว่าอะไรเลย"

"คุณใหญ่...พูดเร็วๆเถอะค่ะ อะไรคะ"

"ผม...จะให้เงินฟ้าจำนวนหนึ่ง มากเท่าไหร่ก็ได้ที่ฟ้าพอใจ"

"เอาเงินฟาดหัว"

"ฟ้า...อย่าพูดอย่างนั้น มันไม่ใช่นะครับ"

"แล้วคืออะไรล่ะคะ"

"ผมเพียงแต่ไม่อยากที่จะไม่ทำอะไรเลย ไม่อยากให้เรื่องผ่านไปเฉยๆ เพราะมันไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับผม ผมเห็นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องสูญเสีย เอ่อ...โดยผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ผูกพันกัน ผมเป็นผู้ชาย ผมเสียใจ แต่ผมเห็นใจผู้หญิงที่เสียมากกว่านั้น...ฟ้า...ผมขอโทษจริงๆ ผมอยากจะทำอะไรที่ไม่ใช่แค่ เอาเงินให้ฟ้า แต่ผมไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ"

"ถ้าคุณใหญ่ไม่มี...ภรรยา"

"ถ้าผมยังไม่แต่งงาน และถ้าฟ้าคิดว่าเราควรจะแต่งงานกัน...ผมจะไม่ขัดข้องเลย ถึงแม้เราจะไม่ได้รักกันมาก่อน"

"คุณใหญ่...อย่าพูดคำว่าไม่ได้รักกันอีกนะคะ"

"ทำไมครับ"

"เพราะฟ้ารักคุณใหญ่...ได้ยินมั้ยคะ ฟ้ารักคุณใหญ่"

"ฟ้า...ความรักเป็นเรื่องต้องใช้เวลา มันไม่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนหรอกครับ ฟ้าคิดว่าคือความรัก...แต่ไม่ใช่หรอก"

"ใช่ค่ะ...มันใช่"

ก้องเกียรตินิ่งไม่ต่อล้อต่อเถียงเพราะเรยาเริ่มสะอื้นน้ำตาคลอ แต่จำใจต้องตัดบทด้วยการหยิบเช็คออกจากกระเป๋าเสื้อ บอกว่าเขายินดีจะให้อีกถ้ามันน้อยไป แต่เรยายืนยันว่าไม่ต้องการเงิน เธอขอแค่วันเดียว ให้เธอได้พบเขาอาทิตย์ละวัน แค่ได้เห็นหน้า เขาไม่ต้องให้อะไรเธอ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น

เรยาทำให้ก้องเกียรติหนักใจและลำบากใจอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเลือกเดินหน้าแม้จะทำร้ายความรู้สึกของเธอก็ตาม

"เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เราจะอยู่ในสถานะอะไร ถ้าผมจะทำอย่างที่ฟ้าต้องการ ผมต้องหย่ากับภรรยาผมก่อน ผมถึงจะทำ ผมได้บอกฟ้าแล้วว่าผมมีครอบครัวแล้ว และผมจะไม่ยอมมีคนอื่นนอกจากภรรยาผม เขาเป็นคนดี ไม่ได้ทำอะไรผิด ผมจะบอกเขาได้ยังไงว่าผมขอหย่า...ฟ้ารับเงินไว้นะครับ ผมขอร้อง"

"ไม่ต้องหย่าไม่ได้หรือคะ แค่เราพบกันวันเดียวเท่านั้น ขอให้ฟ้าได้มีวันที่ไม่ตกนรกเพราะคิดถึงคุณใหญ่แค่วันเดียว...นะคะ"

"แต่มันจะยิ่งกว่าตกนรกสำหรับผม เพราะเรากำลังทำผิดศีล...ศีลข้อสาม"

เรยาน้ำตาร่วงพรู สะอื้นตัวโยน ก้องเกียรติยิ่งหน้าเสีย

"ต่อจากนี้ไปขอให้คุณใหญ่รู้ว่า เวลาที่คุณใหญ่มีความสุขในครอบครัวกับภรรยาคุณใหญ่ มีผู้หญิงคนหนึ่งที่คุณใหญ่มาทำให้รักกำลังทรมานเพราะคิดถึงคุณใหญ่ เพราะยิ่งคุณใหญ่พูดทุกอย่างกับฟ้าวันนี้ ฟ้ายิ่งรักคุณใหญ่ ได้อยู่กับคุณใหญ่แค่อาทิตย์ละวัน ชีวิตฟ้าไม่ขออะไรมากกว่านี้แล้ว มันสมบูรณ์แล้ว เกิดมาชาติหนึ่งได้พบผู้ชายอย่างคุณใหญ่ ได้รู้จัก ได้รัก ได้เป็นเมีย...แม้จะแค่คืนเดียว"

ก้องเกียรตินิ่งอึ้ง และคาดไม่ถึงว่าเรยาจะลุกมาคุกเข่ากราบลงที่ตักของตนก่อนบอกลาแล้วเดินจากไปทั้งน้ำตานองหน้า

เรยากลับออกมานั่งร้องไห้ในรถ สักครู่ก็เห็นก้องเกียรติออกมาขึ้นรถขับออกไป เรยาเสียใจจนทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติได้ก็โทร.หานัท ก่อนจะพาตัวเองไปยังคอนโดฯของนัทในเวลาต่อมา ตอนแรกที่นัทเห็นเรยาร้องไห้ตาแดงช้ำก็ปลุกปลอบด้วยความสงสาร แต่พอฟังเรื่องราวจากปากเธอแล้วนัทรับไม่ได้ เสียความรู้สึกมากถึงกับออกปากให้เธอกลับไป เขาไม่มีอะไรจะพูดกับเธออีกแล้ว

"อะไรกันเนี่ยนัท ทำไม พูดกันอยู่ดีๆ แกเป็นบ้าอะไรขึ้นมา"

"เออ ฉันเป็นบ้า เพราะฉันไม่อยากมีเพื่อนที่ชอบแย่งผัวชาวบ้าน คนที่แล้วของแกก็มีเมียแล้ว แกก็ปล่อยตัวไปกับเขาจนถึงไหนถึงไหน คนนี้ล่ะ แกนอนกับเขารึยัง"

"แล้ว" เรยาตอบทันควัน

นัทจ้องเรยา สะเทือนใจจนน้ำตาแทบไหล แต่แล้วกลืนเก็บอย่างรวดเร็ว หันหลังให้เดินออกไปทันที

"จะไปไหน พูดกันให้รู้เรื่องก่อน" เรยาลุกพรวดคว้าไหล่นัทให้หันกลับมา

"แกมันโง่ เห็นชัดๆว่าผู้ชายมันหลอกฟันแก มีเมียแล้วยังมายุ่งกับแก แล้วพอแกบอกว่ารักมัน มันก็ไม่ยอม อ้างศีลอ้างธรรม ที่แท้แกก็เสียมันไปฟรีๆ แกกับมัน...เลวพอกัน"

เรยาโกรธจี๊ดฟาดฝ่ามือเข้าหน้านัทเต็มๆ "แกไม่มีสิทธิ์ว่าเขา เขาเป็นคนดี"

"โอเค...ฉันว่าแกคนเดียวก็ได้ แกมันเลว รู้ก็รู้ว่าเขามีเมียแล้วยังไปยอมเป็นเมียน้อยเขา...ทุเรศ!"

ฝ่ามือเรยากระแทกหน้านัทอีกเปรี้ยง นัทถึงกับหน้าสั่นแต่ไม่ตอบโต้ด้วยคำพูดใดๆอีก เดินปึงปังออกจากห้องไปด้วยความผิดหวังรุนแรง ส่วนเรยาทรุดลงร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน

ooooooo

ด้วยอารมณ์ที่ยังแปรปรวนฉุนเฉียว ระหว่างทางขับรถออกจากคอนโดฯนัทเพื่อกลับบ้าน เรยา เร่งความเร็วจนเบรกไม่อยู่ไปชนท้ายคันหน้าเข้าอย่างจัง โชคดีที่เรยาไม่เป็นอะไรมาก แต่ถึงกระนั้น ก็ต้องเข้าไปเช็กร่างกายในโรงพยาบาล หลังจากเรียกบริษัทประกันภัยมาเคลียร์เรียบร้อยแล้ว

ด้านลำยองได้รับการติดต่อจากเรยาก็รีบร้อนมาโรงพยาบาล สอบถามหมอที่ตรวจอาการลูกสาวแล้วค่อยเบาใจ

"คุณเรยาปลอดภัยดี ไม่เป็นอะไรมากครับ"

"แล้วทำไมต้องนอนล่ะคะ กลับบ้านไม่ได้หรือคะ"

"คุณเรยาอยากเช็กร่างกายด้วยครับ เธอรู้สึกว่าตัวเธอกระแทกกับพวงมาลัยรถค่อนข้างแรง ก็เลยจะเช็กหลายๆอย่าง เป็นการตรวจเช็กร่างกายไปเลยครับ"

ลำยองรับทราบแล้วเข้าไปหาลูกสาวในห้อง พอดีเรยาจะเข้าห้องน้ำเพื่อเอาปัสสาวะไว้ให้พยาบาล ลำยองจึงประคองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง

เรียบร้อยแล้วเรยากลับมาขึ้นเตียงนอน หยิบมือถือมากดข้อความไปบอกก้องเกียรติให้รู้ว่าตัวเองเกิดอุบัติเหตุรถชน ระบุโรงพยาบาลและห้องชัดเจน ด้วยหวังว่าเขาจะมาเยี่ยม แต่เปล่าเลย เขาเงียบกริบ ไม่มาและไม่ติดต่อ พอเธอเป็นฝ่ายโทร.เข้ามือถือของเขา ปรากฏว่าณฤดีรับสาย เรยาเลยไม่กล้าพูด

ก้องเกียรติกำลังคุยโทรศัพท์บ้านกับอาม้า พอวางสายนั้นแล้วเขารีบมารับโทรศัพท์มือถือจากณฤดี แต่ ณฤดีบอกว่าไม่มีเสียงพูด ไม่ทราบว่าใคร ก้องเกียรติดูเบอร์ก่อนบอกภรรยาด้วยสีหน้าปกติว่า

"เดี๋ยวผมค่อยโทร.กลับ คุณดี๋จะขึ้นห้องหรือยังครับ"

"ยังค่ะ คุณใหญ่จะขึ้นก่อนก็ได้ค่ะ ดี๋ขอดูสารคดีสักเรื่องหนึ่ง"

ก้องเกียรติยืนลังเลครู่หนึ่ง แล้วเข้ามาจูบแก้มภรรยาเบาๆก่อนเดินขึ้นข้างบนไป โดยมีสายตาณฤดีมองตามอย่างแปลกใจ เพราะเขาไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน

เรยานอนไม่หลับ ทั้งเครียดทั้งแค้นใจที่ก้องเกียรติไม่โทร.กลับมา ส่วนก้องเกียรติพอหลบภรรยาขึ้นมาข้างบน เขารีบโทร.หาเต้ บอกว่าพรุ่งนี้มีเรื่องให้ช่วยหน่อย...

แล้ววันรุ่งขึ้น ก้องเกียรติกับเต้ก็เดินทางไปโรงพยาบาลที่เรยารักษาตัว ขณะทั้งคู่จะไปขึ้นลิฟต์ ก้องเกียรติ ดูมีแววกังวลจนเต้ทักท้วงให้ทำหน้าดีๆ เธอยังไม่ตายสักหน่อย

"แต่ถ้าเขาเป็นหนักจะทำยังไงดี"

"ทำยังไงน่ะ หมายความว่าทำยังไง"

"เต้...แกช่วยพูดจาให้ฉันรู้สึกดีขึ้นบ้างได้มั้ย เวลานี้ฉันกลัวนะ ถ้าเขาเป็นมาก ฉันจะทำยังไง"

"เช่น...รับเขาเป็นเมียอีกคนน่ะเหรอ" ถามแล้วเห็นเพื่อนนิ่งเหมือนจะยอมรับ เต้เลยรีบขัด "ไม่มีการรับเป็นเมียเด็ดขาด ต่อให้เจ็บปางตาย พิการ หรืออะไรที่หนักกว่านั้น เขาขับรถไปเกิดอุบัติเหตุเอง แกไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ถ้าแก...ในฐานะที่มีเงินเยอะแยะ แกจะช่วยให้ค่ารักษาพยาบาลเขา ให้เงินทำขวัญเขา ให้เงินเขาเลี้ยงตัวเองไปตลอดชีวิตก็ได้ แต่ไม่ใช่ในฐานะเมียอีกคน"

"แกพูดไม่นึกถึงหัวอกเขาเลย"

"เขาเป็นผู้หญิงรักสนุก ใหญ่แกเชื่อฉัน เขาสนุกกะแก แล้วพอเขารู้ว่าแกเป็นเสี่ยใหญ่ เขาก็หวังจับแก ผู้หญิงดีๆที่ไหนจะนอนกับผู้ชายที่เกือบจะเป็นคนแปลกหน้า ผู้หญิงดีๆที่ไหนจะบอกกับผู้ชายว่าฉันยอมเป็นเมียน้อยคุณ อาทิตย์หนึ่งแค่วันเดียวก็ยอม"

"เขาอ้างว่ารัก"

"โอเค วันนี้เขารัก เชื่อก็ได้ แต่แกจะยอมล่มจมทั้งชีวิตเพราะผู้หญิงคนนั้นบอกรักแกเหลือเกินเหรอใหญ่...แกมันอ่อนหัดเรื่องความรักจริงๆเว้ย ไปเถอะ ไม่ต้องเถียงกัน เดี๋ยวฉันพูดเอง"

สองคนขึ้นลิฟต์ไปแล้ว เป็นจังหวะที่ลำยองโผล่ออกจากลิฟต์อีกตัว ลำยองลงมาหาข้าวกิน เรยาจึงอยู่ในห้องคนเดียว เธอโทร.เข้ามือถือก้องเกียรติอีกครั้ง แต่เต้ไม่ให้ ก้องเกียรติรับ เพราะกำลังจะเข้าไปเจอกันอยู่แล้ว

เรยาตกใจไม่น้อยที่จู่ๆก้องเกียรติโผล่เข้ามา ที่สำคัญมีใครอีกคนก็ไม่รู้มาด้วย ก้องเกียรติวางกระเช้าดอกไม้แล้วจะแนะนำเต้ แต่เต้ชิงแนะนำตัวเองเสียก่อน

"เต้ครับ เป็นเพื่อนสนิทของใหญ่กับคุณดี๋ภรรยาใหญ่ด้วย"

"อ๋อ ค่ะ สวัสดีค่ะ แล้วทำไมไม่ชวนคุณดี๋มาด้วยล่ะคะ"

"คุณเรยาอยากให้ชวนมาด้วยหรือครับ"

"ก็คุณเต้พูดถึง ไม่ได้หมายความว่าคุณเต้อยากจะให้ฉันรู้จักด้วยหรือคะ"

เต้รู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา เหลือบมองหน้าเพื่อนนิดหนึ่งก่อนหันมาบอกเรยา

"ใหญ่บอกจะมาเยี่ยมเพื่อน ผมเลยมาเป็นเพื่อนเขา" ว่าแล้วเต้ผายมือให้เพื่อน ส่วนตัวเองเดินไปนั่งที่เก้าอี้ หยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน แต่นัยน์ตาลอบมองสังเกต

"ฟ้า...เป็นอะไรบ้าง" ก้องเกียรติถามอาการ เรยาได้ทีอ้อน บอกว่าเจ็บหน้าอก เพราะไปกระแทกกับพวงมาลัยรถอย่างจัง เจ็บระบมไปทั้งตัวเลย "ขับรถฟ้าต้องระวังนะครับ ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก"

"ฟ้าก็เลยให้หมอตรวจร่างกายไปทุกอย่างเลยค่ะ"

"ดีแล้วครับ แล้วพบอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า"

"พบค่ะ...ฟ้าท้องค่ะ"

ก้องเกียรติช็อกไปอึดใจ เต้ลุกพรวดเดินมาที่เตียง ขอให้เรยาพูดใหม่อีกที เมื่อกี้ตนได้ยินไม่ถนัด

"ฟ้าบอกคุณใหญ่...ว่าฟ้าท้อง"

"แน่ใจหรือครับ" เต้ถามพรวดจนเรยาชะงัก เหลือบมองก้องเกียรติแล้วตั้งคำถามจนเขาพูดไม่ออก

"คุณใหญ่คะ คุณใหญ่อยากถามฟ้าอย่างนั้นรึเปล่าคะ คุณใหญ่สงสัยอะไรรึเปล่า สงสัยว่าฟ้าไม่ได้ท้องจริง หรือท้อง...แต่ไม่ใช่ลูกคุณใหญ่"

ก้องเกียรติอึกอัก แต่เต้โพล่งว่า อยากรู้และอยากถาม เรยาชักสีหน้าไม่พอใจ เน้นว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเราสองคน ไม่ได้เกี่ยวกับคุณ

คำพูดเรยาทำให้เต้เดือดไม่น้อย จึงโต้ตอบไม่ลดละ และเผยข้อมูลที่รู้จากก้องเกียรติอีกมากมาย จนเรยานึกไม่ถึงว่าก้องเกียรติจะเล่าให้เพื่อนฟังทุกอย่าง แม้แต่การมีสัมพันธ์กันลึกซึ้งโดยไม่ตั้งใจ

"คุณเรยา ถ้าเรื่องนี้เกิดกับคุณ คุณจะเล่าให้เพื่อนคุณฟังมั้ยครับ"

"ไม่...ไม่มีวันเล่า"

"แต่เพื่อนผมเขาปรึกษาผมเพราะเขาเป็นทุกข์ เหลือเกิน เขาไม่ใช่ผู้ชายรักสนุกที่จะยุ่งกับผู้หญิงแล้วเดินหันหลังจากไป เขาอยากรับผิดชอบแต่เขาทำไม่ได้ เพราะเขามีครอบครัวแล้ว"

"ฉันก็เหมือนกัน ฉันไม่ใช่ผู้หญิงรักสนุกที่จะยุ่งกับผู้ชายแล้วหันหลังเดินจากไป"

"ผมอยากบอกคุณแค่นั้นแหละครับ ว่าเพื่อนผมเป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนดี ไม่ใช่คนที่คิดแต่จะทำลายผู้หญิง"

"ฟ้าทราบค่ะ ฟ้าทำใจได้แล้ว พร้อมที่จะจากไป หลังจากที่เราคุยกันวันนั้น แต่ตอนนี้ฟ้า..." เรยาไม่พูดต่อ แต่เอามือจับท้องตัวเอง ตีหน้าเศร้าสุดๆ

"ใหญ่...ฉันจะไปคอยข้างนอกนะ นี่มันเป็นปัญหาใหม่ แกค่อยๆคิดแล้วกัน"

เต้ตบไหล่เพื่อนเบาๆ แล้วออกไปนั่งกระวนกระวายไม่สบายใจอยู่หน้าห้อง สักครู่เต้ก็ตัดสินใจโทร.ไปเล่าให้โจฟัง...

ส่วนในห้อง ก้องเกียรติหน้าเครียดไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ขณะที่เรยาพยายามตีหน้าเศร้าให้ดูน่าสงสารมากที่สุด

"ฟ้าครับ..." ก้องเกียรติอึกอักอย่างเกรงใจ "คือ... ผม...ขอผมกลับก่อนได้ไหมครับ"

"ไม่ต้องมาพบฟ้าอีกก็ได้ค่ะ"

"ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้น ผมยังคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะทำยังไง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะไปเลย"

"คุณใหญ่อยากรอจนคลอด ตรวจ DNA ให้แน่ใจไหมคะ"

"ไม่ครับ...ไม่...ผมไม่สงสัยอะไรเลย ฟ้าอย่าคิดอะไร ผมเชื่อ"

"คุณใหญ่...ฟ้ารักคุณใหญ่ไม่ผิดเลย ภูมิใจจริงๆที่พ่อของลูกฟ้าเป็นคุณใหญ่"

เรยาบีบน้ำตาร่วงพราว จะสัมผัสมือเขา แต่เขาขยับหนี แล้วตัดบทอย่างรวดเร็ว

"ขอโทษ...ผมกลับก่อนนะครับ"

ทันทีที่ก้องเกียรติลับกายออกไปแล้ว ใบหน้าแสนเศร้าของเรยาพลันมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาอย่างสมใจยิ่ง

ooooooo