วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

เคหาสน์สีแดง ตอนที่ 5

ตอนที่ 5

รุจมองหน้าเสาวรสอย่างเจ็บปวด บอกเธอว่าไม่คิดว่าธุระของเธอจะเช้าจดเย็น เธออ้างว่าไปหาเพื่อนถามประชดว่าจะให้ตนคอยเขาอยู่ทั้งวี่ทั้งวันรึไง

เมื่อรุจถามว่าเพื่อนของเธอตนรู้จักไหม ก็ถูกย้อนถามว่าเพื่อนหญิงที่โรงเรียนสมัยเด็กๆเขาจะรู้จักไหมล่ะ ทำให้รุจฉุกใจถามว่าทำไมถามตนอย่างนั้น แค่บอกว่าไม่รู้จักก็พอ

เสาวรสตำหนิเขาที่ไม่มีเวลาให้ตน บางทีหายไป 5 วัน 7 วันก็มี รุจบอกว่าตนพร้อมจะให้เวลาที่มีนอกจากเวลาทำงาน รุจย้ำความตั้งใจของตนที่จะแต่งงานกับเธอ แม้จะต้องทำงานก็ไม่เคยคิดเปลี่ยนแปลง ถูกเธอต่อว่าที่เสนอให้แต่งงานทันทีที่กลับจากเมืองนอกเขาก็ไม่ยอม ฉะนั้นอย่ามารื้อฟื้น เรื่องนี้อีกเลย

"เรื่องนั้นจบไปแล้ว ผมได้กระทำการนั้นจบสิ้นไปแล้ว แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือผมตั้งใจจะแต่งงานกับคุณ แต่ตอนนี้ ผมไม่แน่ใจแล้วว่า ผมคือปลาตัวหนึ่งในจำนวนหลายตัวในมือสองมือของคุณรึเปล่า"

เสาวรสหน้าตึงถามว่าเขาหาว่าตนจับปลาหลายมือหรือ หาว่าเขาดูถูก เธอโกรธจนเสียงสั่นแต่รุจยังใจเย็นบอกว่าตนสงสัยก็ถามเป็นคำถามที่ตรงไปตรงมา ถ้าไม่ได้จับปลาหลายมือก็ไม่ต้องโกรธ ให้คำตอบตนและให้ความมั่นใจว่าเธอตอบความจริง

"รุจ...เสาวรสไม่อยากพูดกับรุจแล้ว เชิญรุจกลับไปได้" เธอจ้องหน้าเขาเขม็ง รุจนิ่งไปครู่หนึ่งจึงบอกว่า คิดว่าเรายังพูดกันไม่จบ ตนยังไม่รู้จะคิดอย่างไรต่อ เอาไว้จะโทรศัพท์มาก็แล้วกัน พูดแล้วเดินออกไปทันที

เสาวรสยังหน้าบึ้งตึง มองจนรุจไปพ้นสายตาแล้ว เธอเผยอยิ้มออกมาอย่างสมใจ

ooooooo

ความเจ็บปวดว้าวุ่นสับสน ทำให้รุจเชิญขุนประจญคดีไปนั่งดื่มกันในห้องอาหารโรงแรม สายตาผู้อาวุโสอย่างท่านขุนฯดูออกว่าเขาต้องมีเรื่องผู้หญิงเป็นแน่ จึงได้ชวนมาดื่มเครื่องดื่มมึนเมาอย่างนี้

เมื่อรุจตอบในเชิงรับ ท่านขุนฯพูดถูกคนตรงประเด็นทันทีว่า

"คุณเสาวรสคงไม่ใช่คนที่หนักแน่นมั่นคงนัก ยิ่งเมื่อกลับจากอังกฤษมาสู่สังคมชั้นสูงของพระนคร แตกต่างกับชีวิตนักเรียน เธอจึงเพลิดเพลินไปได้อย่างง่ายดาย"

"ตอนอยู่อังกฤษ ผมเคยจะขอเสาวรสหมั้น แต่คิดว่ากลับมาพูดคุยกับผู้ใหญ่ให้เป็นกิจจะลักษณะ ทำงานให้เข้าที่ก่อน แต่เสาวรสอยากให้จัดงานแต่งงานให้ใหญ่โตทันทีที่มาถึงเมืองไทย แต่ผมรอให้งานของผมแน่นอนก่อน ผมคงทิ้งเขาไว้นานเกินไป"

ท่านขุนฯติงว่าไม่นานเกินไปหรอกถ้าจะรอ เชื่อว่าเธอไม่มีความอดทนพอมากกว่า รุจพูดอย่างเข้าใจอุปนิสัยของเสาวรสดีว่าเธอชอบสังคม ชอบไปปาร์ตี้และอะไรที่หรูหรา แต่ที่สำคัญคือ เธอแทบไม่รู้จักเรื่องที่บ้านตนเลย คงคิดว่าบ้านตนอยู่บ้านนอกไม่น่าสนใจ ท่านขุนฯจึงแนะว่าถ้าจะให้เธอแต่งงานด้วยก็คงต้องพาไปที่บ้านรุจิโรจน์เท่านั้น

"แต่งงานหรือครับ ยังหรอก มันคงเป็นเพียงความผูกพันที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ผมกำลังสงสัยว่าเขาจะเข้ามาในชีวิตผมเหมือนเดิมหรือไม่"

เมื่อรุจพูดเช่นนั้น ท่านขุนฯ เสนอทันทีว่าถ้าหายสงสัยเมื่อไร ยังมีผู้หญิงบางคนที่เขาไม่ควรมองข้าม รุจหน้าตึงทันที เขานิ่งไปไม่คุยต่อ

ooooooo

ตอนเย็นอารยาไปนั่งทานข้าวกับแม่ทั้งสาม แม่พร้อมเห็นเธอก้มหน้าทานเงียบๆ ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อเช้าไม่ลงมาทานข้าวกับ

คุณหนู บอกว่า "คุณหนูคอยนะคะ"

อารยานิ่งไปครู่หนึ่งจึงบอกว่าตนไม่ค่อยสบาย แม่ทั้งสามมองหน้ากันแล้วมองอารยาอย่างสังเกต จนกลางคืนเมื่อเธอกลับมาที่ตึกเข้าห้องรับแขกถอดปลอกหมอนอิง เตรียมจะเอาไปซักวันพรุ่งนี้ แม่พินเตือนว่า

"คุณน้อยไม่ค่อยสบายรีบขึ้นไปนอนเถอะค่ะ คุณรุจกลับบ้านดึกมากนะคะวันนี้ ป้าว่าจะไม่รอแล้ว คุณน้อยจะรอไหมคะ"

"ไม่ค่ะ ไม่รอ" อารยารีบตอบทิ้งปลอกหมอนไว้ตรงนั้นแล้วเดินไปอย่างเร็วเหมือนรีบหนี

ooooooo

รุจกลับมาในสภาพเมาจนเดินเซ นายสุขจะประคองก็บอกว่าไม่เมา แต่เดินแล้วเซจนไม่ตรงทาง พอมาถึงครึ่งบันไดเห็นอารยาเดินมากำลังจะลงบันได เธออยู่ในชุดนอนพริ้วสยายผมสลวย

"อารยา..." รุจพึมพำหยุดกึกทำให้เกือบหัวคะมำ นายสุขรีบประคอง อารยาเองก็ตกใจถามนายสุขว่าคุณรุจเป็นอะไร นายสุขบอกว่าเมา แล้วขอให้เธอมาช่วย

อารยาลังเลจนนายสุขบอกว่าตนท่าจะไม่ไหวแล้ว เธอจึงตัดสินใจเข้าไป เมื่อเห็นทั้งสองพากันเซเกือบล้ม เธอรีบสอดแขนเข้าโอบเอวเขา รุจทิ้งน้ำหนักตัวมาเต็มที่จนเธอตัวเอียง ตัวแนบตัว หน้าเกือบแนบหน้า อารยาตึงเครียดกับความใกล้ชิดกันนี้

เมื่อประคองเข้าไปนอนบนเตียง แม่ละม่อมก็เข้ามาถามนายสุขว่าเมามาหรือ ในขณะที่อารยาเอาผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้เขา

พอรู้สึกสดชื่นขึ้น รุจลืมตามอง เพียงแค่เห็นว่าเป็นอารยาเขาปัดมือเธอจนผ้ากระเด็น อารยาตกใจตะลึงแต่ยังพยายามบอกว่าเขาเมามาก รุจก็ยังยกมือป่ายปัดครางออกมาแบบไม่ได้สติ

"ออกไป...อย่ามาให้เห็น ไปให้พ้น"

อารยาหน้าเสีย ถอยออกไปช้าๆ แม่ละม่อมกับนายสุขเองก็ตกใจ แต่พอหันมาอีกที รุจก็คอพับหลับไม่ได้สติไปแล้ว...

อารยาเสียใจอย่างสุดที่จะบรรยาย ที่แม้แต่ในยามที่รุจเมาจนไม่ได้สติก็ยังรังเกียจตน เดินไปหยิบซอมาสีทั้งน้ำตาด้วยความคิดถึงแม่...

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น รุจเดินมาที่โต๊ะอาหาร มองไปที่นั่งของอารยาแต่ไม่พูดอะไร แม่ละม่อมรู้ใจบอกว่า "คุณหนูไม่ต้องคอยคุณน้อยหรอกค่ะ"

"ทำไมหรือแม่ม่อม เขาโกรธฉันหรือ เรื่องเมื่อคืน" รุจถาม แม่ละม่อมนิ่งไม่ตอบ จนเขาเรียกจึงบอกว่าอารยาไม่ค่อยสบาย รุจพยักหน้านิ่งไปนิดหนึ่งจึงเอ่ยถาม "เขาเป็นอะไรมากรึเปล่า"

อารยาอยู่กับแม่พิน แม่พร้อมที่ห้อง สองแม่หนักใจเพราะจับตัวอารยาดูก็ไม่มีไข้ บ่นกันว่าจะอ้างว่าไม่สบายไม่ได้แล้วจะพาไปโรงหมอ แม่พร้อมเสนอให้หมอรุจตรวจ แม่พินยังบ่นต่ออย่างหงุดหงิดว่า

"ป้าละเสียใจจริงๆ ที่คุณน้อยขัดคำสั่งคุณหนู" แม่พร้อมบ่นผสมโรงว่า "ปล่อยให้คุณหนูนั่งรอมากี่มื้อแล้วคะ" แม่พินถามอย่างไม่ชอบใจว่า "ขัดคำสั่งคุณหนูทำไมหรือคุณน้อย"

สองแม่รุมกันบ่น ตำหนิ และซักถาม แต่อารยาก็ยังนิ่ง จนสุดท้ายพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกตอบแม่ทั้งสองที่ทำหน้าหงุดหงิดว่า

"คุณรุจไม่ชอบน้อย น้อยไม่อยากให้เธอรบกวนจิตใจ"

คำตอบยังไม่ถูกใจ สองแม่ช่วยกันถามรีดอีกว่ารุจทำอะไรให้ไม่สบายใจหรือเปล่า เธอก็ยังบอกว่าเปล่า เขาไม่ได้ทำอะไรตนเลย พูดแล้วก็ต้องเบือนหน้าซ่อนน้ำตาหลบสายตาแม่ละม่อมที่จ้องอยู่

สุดท้ายแม่ละม่อมบอกให้ทุกคนพอได้แล้ว

อารยารู้สึกโดดเดี่ยวมากเพราะนอกจากถูกรุจแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์แล้ว ยังถูกพวกแม่ๆตำหนิติเตียนที่ทำให้คุณหนูของพวกตนหงุดหงิดอีกด้วย จึงไปที่บ้านพนาเวส ที่พักใจแห่งเดียวที่มี

วัฒนาถามอย่างเดาได้ว่ารุจทำอะไรอีกแล้ว นี่ขนาดไม่ค่อยได้อยู่บ้านนะเนี่ย

"คราวนี้รวมถึงป้าๆด้วยค่ะ ใครขัดใจคุณหนูของแม่ๆไม่ได้เลย ในสายตาป้าๆน้อยผิดคนเดียว" พูดแล้วอดน้ำตาคลอไม่ได้ วัฒนาได้แต่มองด้วยความเห็นใจ

เมื่อเข้าครัวช่วยกันทำอาหาร ความใจลอยทำให้เผลอทำมีดบาดมือ คุณนายพนาเวสรีบพาไปทำแผลพันแผลให้

อารยาอยู่ที่นั่นจนเย็น จึงพายเรือเข้าดงบัว เก็บดอกบัวจะเอาไปไหว้พระด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

ooooooo

หิ้วตะกร้าดอกบัวและขนมขึ้นจากเรือจะเดินเข้าบ้าน เจอรุจเข้าอย่างจังราวกับเขามาดักรออยู่ เธอรีบยกมือไหว้แล้วจะเลี่ยงไป เขาเรียกไว้ถามเสียงอ่อนๆว่า "ไม่สบายหายรึยัง"

"ค่ะ" อารยาตอบสั้นที่สุดแล้วทำท่าจะไป เขาถามอีกว่าดอกบัวเยอะแยะเอาไปทำอะไร "ไหว้พระและใส่บาตรค่ะ"

เขาถามอีกว่าซื้อจากแถวนี้หรือ เธอบอกว่าเก็บมาแล้วจะไป เขาก็ยังถามอีกว่าเก็บจากไหน พอเธอบอกว่าจากดอกบัวที่ขึ้น เขาทำหน้าพิกลพลันก็เห็นที่นิ้วมีผ้าพันแผล เลยมีเรื่องถามต่ออีกว่านิ้วไปโดนอะไรมา คราวนี้เธอไม่ตอบก้มหัวจะเดินเลี่ยงไป

"อารยา...จะให้ฉันดูแผลให้หรือไม่"

"ไม่เป็นไรค่ะ" ตอบสั้นๆแล้วเดินเลี่ยงไปทันที รุจได้แต่มองตามตาขุ่นๆ แล้วเดินไป

คืนนี้ รุจไปที่บ้านเสาวรสอีก พระศัลย์ฯบอกว่าท่าทางคืนนี้เธอจะกลับดึก เขาถามว่าเธอกลับดึกอย่างนี้ทุกคืนหรือ พอทราบไหมว่าเธอไปกับเพื่อนกลุ่มไหน เมื่อได้รับคำชี้แจงว่าเสาวรสเป็นคนเด่นดังในสังคม ทุกคนก็อยากเป็นเพื่อนกับ เสาวรสทั้งนั้น รุจก็เดาว่าถ้าเช่นนั้นก็คงไปเจอกันที่สโมสร

พระศัลย์ฯหัวเราะอารมณ์ดีบอกว่า "ผมไม่รู้หรอกหมอ เขาอาจจะพากันไปสังสรรค์ที่คฤหาสน์ของเพื่อน ลูกหลานคหบดีคนไหนก็ได้ เอาเป็นว่าหมอกลับไปก่อนนะ เสาวรสมาผมจะบอกลูกสาวให้ว่าหมอห่วงใยเขามาก"

รุจยิ้มหน้าสลด พระศัลย์ฯปลอบเอาใจว่า "เสาวรสเองเขาก็รู้นะว่าหมอรักเขาเหลือเกิน ผมรู้เขาคงไม่สบายใจนักหรอกที่ต้องปล่อยให้หมอเทียวมาเทียวไปคอยมาหาอยู่อย่างนี้ทุกวัน"

รุจคอตกกลับไป ในขณะที่เสาวรสกำลังเริงร่าเป็นดอกไม้งามล่อหมู่มวลภมรอยู่ในงานกับบรรดาสาวสังคม หนุ่มลูกคหบดีและเศรษฐีทั้งหลายในงานสังสรรค์

ooooooo

เช้าวันต่อมา รุจไปนั่งที่โต๊ะอาหารมองไปที่ประตู อย่างตรึกตรอง เมื่อมณีเข้ามาจะตักข้าวให้ เขายกมือห้ามบอกว่าให้ไปตามอารยามารับข้าวเช้าพร้อมตน มณี รับคำสั่งตกใจนิดๆ เหลือบมองแม่พร้อมแวบหนึ่งแล้วออกไป ครู่เดียวก็กลับมาบอกว่า
"คุณน้อยให้มาเรียนคุณรุจว่ายังไม่หิว ยังไม่ทานค่ะ ให้คุณรุจทานก่อนค่ะ"

รุจนิ่วหน้าคอแข็งขึ้นมาทันที ส่วนแม่พร้อมหน้าตาไม่สบายใจ เหลือบมองคุณหนูหวั่นๆ

จนเมื่อนายสุขขับรถจะไปส่งที่โรงพยาบาล รุจเห็นอารยาเดินเก็บดอกไม้อยู่ สั่งให้นายสุขหยุดรถแล้วให้ไปตามอารยามาหาตน ครู่เดียวนายสุขก็กลับมาบอกว่าอารยาไม่สบาย ปวดศีรษะขอตัวกลับห้อง คราวนี้รุจนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ นายสุขเหลือบมองหวาดๆแล้วขับรถออกไป

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล รุจโทร.ไปที่บ้านเสาวรส พระศัลย์ฯเป็นคนรับสายบอกว่าไม่อยู่ เขาฝากความแล้ววางสาย พระศัลย์ฯวางสายแล้วหันมาถามเสาวรสที่ยืนอยู่ข้างๆว่า แน่ใจหรือว่าจะไม่ติดต่อรุจอีก รุจฝากความไว้ว่าครั้งนี้จะโทร.เป็นครั้งสุดท้าย เขาจะคอยโทรศัพท์จากเธอเท่านั้น

"ก็ให้เขาคอยไปสิคะ" เสาวรสลอยหน้าไม่แยแส

พระศัลย์ฯติงให้คิดว่าแน่ใจแค่ไหนกับภาคินัย ติงว่าของกำนัลบางครั้งเทียบไม่ได้กับจิตใจ ถูกเธอเสียงเขียวใส่ทันทีว่า "คุณพ่ออย่าพูดอะไรเป็นปรัชญาแบบนี้เลย ลูกอยากได้ต่างหู เข็มกลัดเพชร แหวนเพชร และถ้าลูกต้องเอาเงินที่เรามีไปซื้อเพราะลูกอยากได้ ลูกต้องได้ คุณพ่อจะเอาเงินที่ไหนไปสโมสร ไปทานข้าวเหลา ไปแจกสาวๆเด็กเสิร์ฟ หรือแค่จะเติมน้ำมันรถ"

เหตุผลและเสียงเข้มของเสาวรสแค่นี้ก็ทำให้พระศัลย์ฯเสียงอ่อยหน้าจ๋อย บอกว่าแค่เตือนและอยากให้ไปดูบ้านรุจหรือไม่ก็โทร.ถึงเขาหน่อย อย่าเพิ่งตัดขาดกันเลย แต่สุดท้ายตัวเองก็ต้องหน้าจ๋อยไปตามเคย พิศสาวใช้ที่มีอะไรกันอยู่ถามว่าทำไมท่านถึงยอม...ก็ถูกตวาดให้หยุด พิศหยุดพูดแต่เอาตัวเข้าเบียดแทน

ooooooo

ฉลวยพยาบาลสาวที่ทำงานกับรุจมาโดยตลอด เธอชื่นชมและแอบพอใจหมอหนุ่มรูปหล่อทำงานดีอยู่เงียบๆ คอยดูแลอำนวยความสะดวกในการงานอย่างใส่ใจ ถี่ถ้วน

แต่วันนี้ฉลวยถูกตำหนิเมื่อรุจไปตรวจชาญแล้วพบว่าแผลเปิดอยู่ ฉลวยชี้แจงว่าตนคิดว่าปิดดีแล้ว

"คิดว่าปิดดีแล้ว แต่ตอนผมเดินมามันไม่ได้ปิด อย่าทำอะไรพลาดอีก" พูดเสร็จรุจเดินไปทันที ทิ้งฉลวยให้ตาแดงๆอยู่ตรงนั้น

แต่พอคิดได้เขาก็ขอโทษเธอเรื่องเมื่อเช้า ฉลวยยอมรับว่าตนผิดเอง และเมื่อรุจเดินไป เธอมองตามด้วยสายตาลึกซึ้ง ยิ้มน้อยๆกับคำขอโทษของเขา

ooooooo

แม่ละม่อมแม่บ้านใหญ่ที่อยู่บ้านรุจิโรจน์มาตั้งแต่ยังสาว เป็นคนที่รู้ความเป็นมาเป็นไปของบ้านนี้มาแต่ต้น วันนี้เรียกอารยาไปที่ริมน้ำ บอกว่าจะเล่าอะไรให้ฟัง จะเล่าอย่างละเอียด ซึ่งอาจสะเทือนใจเธอ แต่เมื่อฟังจบแล้วไม่ต้องบอกว่าคิดอย่างไร พูดอย่างเมตตาว่า
"ป้าจะเล่าเพราะคิดว่าคุณน้อยควรจะรู้ แต่ไม่อยากรู้ว่าคุณน้อยคิดว่ายังไง เพราะป้ารู้ ป้าเห็นคุณน้อยมาตั้งแต่ขวบหนึ่ง ป้ารู้หัวใจของคุณน้อย"

ทั้งสองมองตากันอย่างอ่านใจครู่หนึ่ง แม่ละม่อมจึงเล่าอดีตเมื่อ 20 ปีก่อนให้ฟังว่า

เมื่อ 20 ปีก่อน พลตรีแสนเสนีณรงค์คุณพ่อของรุจ ได้รับอัมพาและลูกคือตัวเธอมาอยู่บ้านนี้ด้วยเหตุผลว่าอัมพากับลูกเป็นภรรยาและลูกของเพื่อนสนิทที่เสียชีวิตไป จึงต้องดูแลอย่างดี

ครั้งนั้น รุจถูกย้ายไปอยู่ห้องอื่นเพื่อเอาห้องของเขาที่เป็นห้องเล็กให้อารยาอยู่ รุจขอเอาเจ้าเงาะลูกสุนัขขนปุกปุยมาอยู่ด้วยก็ไม่ยอม อ้างว่ารบกวนคนมาอยู่ใหม่

รุจในวัย 10 ขวบ รู้สึกในบัดนั้นว่าตนเองถูกแย่งห้อง แย่งความรักจากพ่อไป เวลานั้นเขาบอกพ่อว่า "หนูไม่ชอบคนที่จะมาอยู่ห้องหนู เขาทนเสียงหมาของหนูไม่ได้ แต่เสียงเด็กของเขาทำไมคุณพ่อถึงทนได้"

สุดท้ายคุณพ่อยอมให้เอาเจ้าเงาะมาอยู่ด้วย แต่รุจไม่ เอาแล้ว บอกพ่อว่าตนโตแล้วต้องอดทน

แม่ละม่อมหยุดนิดหนึ่งเหมือนจะสะกดกลั้นความสะเทือนใจก่อนเล่าต่อไปว่า

"ป้ารู้ว่าวันนั้นคุณหนูเสียใจมาก เธอเตลิดไปเลยอย่างที่เธอทำประจำคือ ไปซุกตัวอยู่ตามพุ่มไม้ตามพื้นดิน ร้องไห้ ไม่ให้ใครเห็น"

"โถ..." อารยาอุทานอย่างสะเทือนใจ แต่ก็ติงว่า "แต่แม่อัมพาของน้อยก็ดีกับเธอนี่คะ"

แม่ละม่อมบอกว่าตอนนั้นรุจเพิ่งจะ 10 ขวบ เคยเป็นที่หนึ่งของบ้าน แต่แล้วจู่ๆก็เหมือนถูกแย่งทุกอย่างไป เวลานั้นก็มีแต่แม่ๆทั้งสามต้องคอยกอดปลอบประโลมใจคุณหนูตัวน้อยด้วยความสงสาร...

หลังจากนั้นรุจก็ไปอยู่โรงเรียนประจำ นานๆถึงจะกลับบ้านทีหนึ่ง จนอายุ 15 ปี ก็ไปเรียนเมืองนอก คราวนี้ไม่ได้ กลับมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว...

แม่ละม่อมเล่าอย่างสะเทือนใจว่า "คุณหนูอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวถึงยี่สิบปี นานเท่าอายุคุณน้อย"

"ในขณะที่น้อยอยู่กับแม่ อยู่กับคุณลุง อยู่กับป้าๆ"

"ใช่ค่ะ คุณน้อยอบอุ่นในรุจิโรจน์ แต่คุณหนูต้องเหน็บหนาวอยู่ห่างไกล" แม่ละม่อมเสียงเศร้าสะเทือนใจ

อารยาเองก็สะเทือนใจไม่น้อย ดังนั้น เมื่อกลับมาเดินผ่านห้องทำงานรุจ ซึ่งเปิดประตูแย้มไว้เพราะเขาขอชาร้อนๆจากแม่พิน อารยามองเข้าไปอย่างเห็นใจความรู้สึกของเขาในวัยเด็ก พอดีมณีถือถ้วยชามา เธอจึงอาสาเอาเข้าไปให้เขา

วางถ้วยชาแล้วอารยาถามว่า "ต้องการขนมหรือผลไม้ ด้วยไหมคะ" รุจจึงเงยหน้าดู อารยารีบบอกว่าตนอาสาเอาน้ำชามาให้เขาเอง รุจพยักหน้าอึ้งๆแล้วก้มอ่านหนังสือต่อ อารยาเดินออกไป ปิดประตูเบาๆ รุจจึงเงยหน้ามองที่ประตูด้วยสายตาอ่อนโยนลง

ooooooo

จากความจริงที่รุจได้สัมผัสกับเสาวรสและที่

อารยาประพฤติปฏิบัติตลอดมา ทำให้รุจเริ่มมีท่าที

เปลี่ยนไป ความรู้สึกต่ออารยาอ่อนโยนลง เช้านี้ก็เป็นฝ่ายบอกแม่พร้อม เมื่อแม่พร้อมบ่นว่าอารยายังไม่ลงมา ว่าเดี๋ยวก็มา แล้วครู่เดียวอารยาก็มาจริงๆทำเอาแม่พร้อมแอบยิ้มดีใจ

บรรยากาศที่เปลี่ยนไปนี้ ยังความปลื้มปีติยินดีแก่แม่ทั้งสามเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือทำให้เคหาสน์สีแดงแห่งนี้มีความรื่นรมย์

ซอที่อารยาตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่อัมพาจากไปว่าจะไม่จับมาสีอีก ก็ถูกจับขึ้นมาสีโดยมีแม่ทั้งสามร้องประสานเสียงกันอย่างเพราะพริ้ง นอกจากนั้น อารยายังชวนแม่ๆทำลูกชุบกันอย่างเพลิดเพลิน

ส่วนรุจที่ยังมีมาดขรึม แต่วันนี้ เมื่อเขาเดินผ่านรูปของอัมพาที่ติดอยู่ เขาหยุดมองด้วยสายตาอ่อนลง ผิดกับแต่ก่อนที่มองแต่ละทีราวกับจะให้เผาไหม้ไปกับสายตาที่ชิงชังคู่นั้น...

ooooooo

วันนี้ ขณะที่อารยากำลังทาสีลูกชุบอยู่กับแม่ทั้งสาม รุจเดินไปบอกเธอว่าอีกสักครู่ตนจะไปไหว้คุณนายพนาเวส แม่พร้อมถามว่าแล้วมาบอกคุณน้อยทำไม เขามองเธออย่างชั่งใจก่อนบอกว่า

"อารยา เธอพาฉันไปได้หรือไม่"

อารยาตอบรับทันทีอย่างเกรงใจ รุจจึงสั่งมณีให้ไปบอกนายสุขให้เตรียมเรือ แต่พอได้เรือเขากลับไปกับอารยาตามลำพัง โดยทำตัวเป็นผู้โดยสารเพราะพายเรือไม่เป็น

ระหว่างทาง อารยาพาเขาไปดูบริเวณที่มีกอบัวมากมาย ดอกบัวกำลังบานสะพรั่ง อารยาเก็บดอกบัว รุจเก็บบ้างแต่เก็บไม่เป็น จับก้านบัวได้ก็ดึงเอา...ดึงเอา จนอารยาต้องสอนวิธีเก็บบัวด้วยการล้วงมือลงไปแล้วหัก พอเขาทำตามก็ยิ้มขำๆ ตัวเองที่ไม่ประสาเอาเสียเลย

แต่พออารยาเล่าว่าชาลีชอบทานเม็ดบัว ถามว่าเขาชอบไหม เขาตอบห้วนๆหน้าตึงทันทีว่า "ฉันไม่ชอบเม็ดบัว"

เมื่ออารยาพายเรือไปถึงบ้านพนาเวส ทั้งคุณนายพนาเวสและวัฒนาตื่นเต้นแปลกใจมากที่รุจมาเยี่ยมเยือน เมื่อเท้าความถึงวัยเด็ก เล่าความซนในวัยนั้นกันแล้ว ก็พากันหัวเราะอย่างรื่นรมย์

คุณนายพนาเวสถามว่าเขาเป็นหมออะไรหรือ เขาบอกว่าแผนกประสาทวิทยา คุณนายชมว่าเก่ง ต้องผ่าตัดบ่อยๆ ใช่ไหม เขาตอบสั้นๆว่าแล้วแต่กรณี จนคุณนายพูดยิ้มๆว่าพูดน้อยเหมือนตอนเด็ก ดูนิ่งสมเป็นหมอจริงๆ

"ครับ เพื่อนๆชอบแซวผมว่าเหมือน..." เขาหยุดนิดหนึ่งเหลือบมองอารยาก่อนพูดว่า "ปริ๊นซ์มัมมี่"

ทั้งวัฒนาและอารยามองหน้ากันสะดุ้งใจกับชื่อที่พวกตนแอบเรียกเขา แต่พอพูดแล้วรุจก็มองหน้าอารยาถามด้วยสายตาว่า "จริงไหมล่ะ"

ooooooo

เมื่อกลับมาถึงบ้านรุจิโรจน์ อารยาถามรุจที่หอบดอกบัวมาเต็มแขนว่าสนุกไหม เขาบอกว่าสนุกมาก เมื่อเข้าบ้าน เจอแม่ละม่อมถามว่าไปเอาดอกบัวมาจากไหน รุจบอกว่าเก็บจากคลองเล็กๆใกล้บ้านเรานี่เอง แม่ละม่อมเห็นอารยาเดินตามมา ถามรุจว่าคุณน้อยพาไปเก็บหรือ เขาพยักหน้าเล่าอีกว่าสนุกมาก ต่อว่าแม่ละม่อมว่าทำไมตอนเด็กๆถึงไม่พาตนไปที่สวยๆอย่างนี้บ้าง

ความเปลี่ยนแปลงของรุจกับอารยา ยังความปลื้มปีติแก่แม่ละม่อมนัก ยิ่งเมื่ออารยาบอกว่าวันนี้คุณหนูของแม่ ละม่อมยิ้มตั้งหลายหน พูดแซวๆว่าสงสัยวันนี้ฝนตกแน่ แม่ละม่อมก็ยิ้มแก้มแทบปริ

ขณะแม่ทั้งสามนั่งฟังอารยาเล่าถึงการพารุจไปเก็บดอกบัวอย่างเพลินใจนั่นเอง มณีก็มาบอกอารยาว่ารุจให้ไปหา แม่พินกระดี๊กระด๊าดีใจ แต่แม่พร้อมที่เอาใจช่วยชาลีอยู่ทำกระฟัดกระเฟียด แม่ละม่อมมองสองแม่นั้นแล้วพูดลอยๆว่า "ฉันไม่เข้าใครออกใคร จะคอยดูเท่านั้น"

รุจเรียกอารยาไปมอบถุงใส่น้ำหอมให้เป็นน้ำใจที่เธอช่วยซ่อมผ้าปักให้ เป็นผ้าปักผืนเดียวกับที่เธอซ่อมให้แล้วถูกด่าว่าอย่างเกรี้ยวกราดนั่นเอง

"ขอบคุณค่ะ" อารยาไหว้รับถุงไปประคองไว้ "ต่อไปคุณรุจไม่จำเป็นต้องให้อะไรหรอกค่ะ เป็นหน้าที่ของน้อยตามที่แม่สั่งไว้ว่าให้ดูแลรับใช้คุณรุจทุกอย่าง แม่สั่งไว้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของน้อยคือต้องดูแลบ้านนี้ ดูแลคุณรุจ"

รุจอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนบอกเธอว่า "เธอดูแลบ้านนี้อย่างที่ทำมานั่นเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่เรื่องดูแลฉัน ขอบใจที่ตั้งใจจะทำ แต่ไม่เป็นไร นายสุขเขาทำได้"

อารยารับคำ แต่แอบไปบอกนายสุขให้ดูแลเขานับแต่ ตื่นนอนจนแต่งตัวไปทำงาน ดังนั้น รุ่งขึ้นรุจแปลกใจที่เห็นในห้องน้ำมีแปรงสีฟันบีบยาไว้พร้อม อาบน้ำเสร็จออกมาก็มีชุดเตรียมไว้ให้แล้ว

เมื่อเขาลงมามองไปที่หน้าบ้านเห็นอารยากำลังพรวนดินอย่างขะมักเขม้น มณีคอยเป็นผู้ช่วยและแม่พร้อมยืนให้กำลังใจอยู่ เขาถามนายสุขว่าเมื่อเช้าเตรียมยาสีฟันกับเครื่องแต่งตัวให้หรือ ใครบอกให้ทำ นายสุขตอบอย่างไร้พิรุธตามคำขอร้องของอารยาว่า "เปล่าขอรับ"

ooooooo

แม้ว่าแม่ละม่อมจะบอกแม่พินว่าตนไม่เข้าใคร ออกใครเรื่องรุจกับอารยา แต่ก็แอบโทร.ไปบอกท่านขุนฯ ท่านตื่นเต้นดีใจมากมาที่บ้านรุจิโรจน์แต่เช้า ถามเป็นนัยว่ามีหวังไหม แม่พินรีบบอกว่ามีหวังแน่ ต่างหัวเราะกันอย่างยินดี แม่พร้อมทำหน้าตึงมองขวางๆ
"ฮื้อ...จะตื่นเต้นอะไรนักหนานะ" แม่ละม่อมทำเสียงรำคาญแล้วลุกเดินออกไป แม่พร้อมเดินสะบัดตามไปอย่างขัดใจ แม่พินถามท่านขุนฯว่ารู้เรื่องนี้จากใคร ท่านตอบขำๆว่า

"ก็คนที่ไม่ตื่นเต้นนั่นแหละ โทร.ไปบอกฉัน" พูดพลางเหล่ไปทางแม่ละม่อมที่เดินตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยไป

รุ่งเช้าแม่พินกับแม่พร้อมเตรียมของใส่บาตร เสร็จก็ยืนรอพระพร้อมกับอารยา รุจผ่านมามองแล้วจะเดินผ่าน แม่พินเดินไปหาชวนมาใส่บาตรด้วยกัน รุจพยักหน้าทันทีแล้วเดินมาที่โต๊ะ อารยาถอยออกไปอย่างสำรวม เขาบอกเธอน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

"อารยาไม่ต้องไป ใส่บาตรด้วยกันก่อน" เธอจึงเดินกลับเข้ามา แม่พินแอบดึงแม่พร้อมให้ถอยออกไป พอพระมาเลยกลายเป็นรุจกับอารยาใส่บาตรคู่กัน

เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า อารยาไปนั่งโต๊ะทานพร้อมกับรุจ ทั้งสองคุยกันเล็กน้อยด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

ooooooo

นับวันภคินีก็ไม่สบายใจที่พี่ชายทุ่มเทปรนเปรอข้าวของราคาแพงและเที่ยวสำราญกับเสาวรสจนลืมงาน ปรับทุกข์กับน้าสังวาลย์ว่าไม่อยากให้พี่ชายอยู่ใกล้ ผู้หญิงคนนี้ อยากกลับเชียงใหม่แล้ว

น้าสังวาลย์เชื่อว่าไม่มีทางที่ภาคินัยจะห่างผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ภคินีมั่นใจว่าคนอย่างเสาวรสก็ไม่มีทางที่จะห่างจากชีวิตเมืองกรุงได้เช่นกัน

คืนหนึ่ง ภาคินัยขอเสาวรสแต่งานและไปอยู่เป็นแม่เลี้ยงที่เชียงใหม่กับตนที่ไร่ของเรา เสาวรสปฏิเสธนิ่มๆว่าต้องปรึกษากับคุณพ่อก่อนว่าจะให้ไปหรือไม่ ภาคินัยยังมีความหวังบอกว่าจะคอยคำตอบ เมื่อเธอบอกพระศัลย์ฯเรื่องนี้และพูดอย่างรังเกียจว่าตนไม่มีวันไปที่นั่น ผู้เป็นพ่อจึงแนะให้ชวนภาคินัยมาอยู่พระนครด้วยกัน หรือไม่ก็ลองกลับไปมองหมอรุจอีกที เพราะสมุทรปราการอยู่ใกล้พระนครกว่าเมืองเหนือ

"คุณพ่อ" เสาวรสเสียงดัง "จะต้องให้ลูกพูดกี่ครั้งว่าบ้านนอกอย่างสมุทรปราการ ลูกก็ทนไม่ได้เหมือนกัน!"

ooooooo

วันแล้ววันเล่าเสาวรสก็ไม่โทร.มาหารุจ เขาเริ่มหงุดหงิด แต่ยังไปทำงานอย่างรับผิดชอบ

ส่วนอารยาเมื่อสบายใจขึ้น เธอพยายามดูแลและใช้

ความรู้ความสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้บ้านดูน่าอยู่ ยิ่งขึ้น วันนี้เธอก็ตั้งอกตั้งใจร้อยดอกพุดเป็นม่านหน้าต่างแซมด้วยดอกรัก-ดอกกล้วยไม้ เสร็จแล้วเอาไปติดที่หน้าต่างห้องนอนรุจ

ตกเย็นเมื่อรุจกลับมา เขาสั่งนายสุขว่าพรุ่งนี้ไปเร็วหน่อยเพราะจะไปบ้านเสาวรสแล้วขึ้นห้องด้วยสีหน้าหม่นหมอง อารยาแอบดูว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรกับม่านหน้าต่างดอกพุด พริบตาเดียวเธอก็ตกใจตะลึงเมื่อเห็นรุจตวัดมือปัดม่านที่ปลิวพันกัน จนดอกไม้หล่นเกลื่อนพื้น เมื่อคิดถึงเสาวรสจนอารุมณ์ขุ่นมัว

อารยาเสียใจมากบอกแม่พินขณะอยู่ในครัวว่าเขาไม่ชอบ ปัดจนดอกไม้หล่นกระจาย แม่พินเห็นนายสุขเดินมาหยิบขันตักน้ำกิน ถามนายสุขว่าวันนี้คุณหนูเป็นอะไร

"ไม่เห็นว่าอะไร นั่งมาเงียบๆ บอกแต่พรุ่งนี้ให้ไปรับเร็วหน่อย จะไป...บ้านเพื่อน"

แม่พินถามว่าเพื่อนคนไหน นายสุขเคยไปไหม นายสุขไม่ยอมบอก วางขันแล้วออกไปเลย แต่อารยาฟังแล้วเดาออก เธอหน้าเศร้า...เศร้ากว่าที่เห็นม่านดอกไม้ถูกทำลายเสียอีก...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น