วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องย่อ ละคร เคหาสน์สีแดง



แฟนคลับของหนุ่ม แอนดริว เกร็กสัน อย่าพลาดเด็ดขาดด้วยประการทั้งปวง เพราะนานๆ ทีจะมีละครให้ดูสักเรื่อง และล่าสุดลงละครคลาสสิก "เคหาสน์สีแดง" ของค่าย เป่าจินจง ปะกบกับนางเอก มิ้นท์ ณัฐวรา วงศ์วาสนา ซึ่งในเรื่องนี้หนุ่ม แอนดริว รับบทเป็น หมอรุจน์ จอมเย็นชา ซึ่งเป็นบทที่เหมือนกับบุคลิกจริงของหนุ่งแอนดริวมาก ส่วนนางเอกอย่างน้อง มิ้นท์ ณัฐวรา วงศ์วาสนา รับบท อารยา หญิงสาวผู้แสนดี อ่อนโยน มีแต่ทุกคนรุมรัก ดูเหมือนมิ้นจะถูกโฉลกกับบทบาทแนวนี้ เพราะก่อนหน้านี้ มิ้นท์ ก็สวมบท ข้าวหอม นางเอกในเรื่อง เงารักลวงใจ ปะกบ กับหนุ่ม หมาก จนโด่งดังเป็นคู่ขวัญคู่ใหม่แห่งวงการไปแล้ว

เคหาสน์สีแดง

และได้ข่าวแว่วมาอีกว่าละคร เคหาสน์สีแดง เบียดละครเรื่อง เรือนหอรอเฮี้ยน ไปอย่างฉิวเฉียดจนได้รับเลือกในวินาทีสุดท้ายตามผังของช่องเลยก็ว่าได้

เรื่องย่อละคร
พลตรีพลแสนเสนีณรงค์ พ่อของ รุจน์ ได้รับ อัมพา แม่ม่ายลูกติด เข้ามาอยู่ในชายคาเคหาสน์สีแดง รุจน์(แอนดริว เกร็กสัน) จึงรู้สึกเหมือนถูกแย่งความรักจากหญิงสาวจอมมารยา หัวใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความชิงชัง เขาจึงขอไปอยู่โรงเรียนประจำ และบินไปเรียนต่อการแพทย์ที่อังกฤษ 15 ปี ยิ่งได้รู้ว่าภายหลัง อัมพา มาเป็นภรรยาของพ่อ รุจน์ ไม่ยอมกลับมาเมืองไทยอีกเลย จนบิดาเสียชีวิต

เคหาสน์สีแดง

เมื่อถึงกำหนดกลับ รุจน์ ก็ทำเรื่องไปรับราชการภาคเหนือ จนกระทั่ง อัมพา เสียชีวิตไป รุจน์ จึงกลับมา เพื่อระบายแค้นกับ อารยา(มิ้นท์–ณัฐวรา วงศ์วาสนา) ลูกสาวของ อัมพา ทำให้ อารยา รู้สึกอึดอัด แต่เธอยังได้รับความรักจากแม่นมทั้งสาม และ ชาลี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ที่รักเทิดทูนเธอมาก

รุจน์ คบหาอยู่กับ เสาวรส มานาน แต่ก็ไม่ให้ ความสำคัญนัก ทำให้เธอหันไปคบกับ ภาคินัย หนุ่มหน้าคมเข้มและร่ำรวย และมีปัญหากับ รุจน์ จนห่างเหินกันไป ต่อมาทนายประจำตระกูลมาพร้อมกับจดหมายของบิดาที่สั่งให้ รุจน์ แต่งงานกับ อารยา รุจน์ ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แต่เขาก็ค่อยๆ เฝ้าสังเกตความร่าเริงแจ่มใสของ อารยา และความสนิทสนมกับ ชาลี

เคหาสน์สีแดง

ต่อมา ชิด คนใช้เก่าแก่ เปิดโปงว่าตนเป็นชายชู้ ของ อัมพา เมื่อ อารยา รู้เรื่องก็ตกใจสลบไป รุจน์ เข้ามาโอบร่างเธอไว้ เขา รู้สึกบางอย่าง จากนั้นจึงขอเธอแต่งงาน อารยา งุนงง ด้วยความอับอายและไม่เข้าใจ อารยา จึงหนีออกจากเคหาสน์สีแดง รุจน์ เป็นห่วงมาก เขาจึงคิดได้ว่าสาวน้อยคนนั้นไม่ควรต้องมารับรู้อดีตอันเลวทรามของแม่

อารยา ไปอาศัยอยู่ในไร่ของ ภาคินัย เพื่อดูแล ภคินี น้องสาวที่เป็นอัมพาต ความน่ารักใสซื่อของเธอ ทำให้ ภาคินัย หลงรัก เสาวรส รู้สึกได้ทันที จึงวางแผนให้ รุจน์ มารักษา ภคินี เพื่อเธอจะได้ใกล้ชิดกับ รุจน์ อีกครั้ง เมื่อมาถึง ภคินี กลับหลงรัก รุจน์ อย่างหมดใจ ด้าน รุจน์ กลับดีใจที่ได้เจอ อารยา แต่ก็เก็บอาการนิ่ง แต่กลับแสดงออกด้วยความเฉยชา เมื่อ รุจน์ บังคับให้เธอแต่งงานกับเขา หญิงสาวจึงปฏิเสธ

เคหาสน์สีแดง

ภาคินัย บอก หมอรุจน์ ว่าเขาจะขอ อารยา แต่งงาน แม้ในใจจะร้อนรุ่มแต่ หมอรุจ ก็ยินยอม แต่ อารยา กลับปฏิเสธ เสาวรส แค้น ภาคินัย อยู่ในใจ วันหนึ่ง ชิด โดนทำร้ายสาหัส และสารภาพกับ รุจน์ ว่าเขาขืนใจ อัมพา ก่อนที่ ชิด จะสิ้นลม รุจน์ ได้รู้ความจริง จน รุจน์ กลับมาผ่าตัดให้ ภคินี อีกครั้ง จนหายดี แต่ ภคินี กลับเศร้า เพราะ รุจน์ ปฏิเสธความรักของเธอ ภคินี บอกให้ ภาคินัย ไล่ อารยา ออก รุจน์ รีบกลับมาหาเธอ แต่ก็คลาดกัน เขาจึงกลับเคหาสน์สีแดงอย่างหมดกำลังใจ แล้วเก็บตัวเงียบขรึม จนวันหนึ่งหญิงสาวผู้หนึ่งกลับมา คนที่เขารอคอยมาตลอด รุจน์ เดินไปพบ อารยา เพื่อที่จะขอแต่งงาน ด้วยความรักจากหัวใจอย่างแท้จริง

รายชื่อนักแสดง
แอนดริว เกร็กสัน รับบทเป็น หมอรุจน์
มิ้นท์ ณัฐวรา วงศ์วาสนา รับบทเป็น อารยา หรือ คุณน้อย
ชาม ไอยวริญท์ โอสถานนท์ รับบทเป็น เสาวรส
ศรุต วิจิตรานนท์
กิตติพิชญ์ นิลนพรัตน์
พรรษชล สุปรีย์
ศีกัญญา ศักดิเดช
เกรียงไกร อุณหะนันทน์
ยุพาพักตร์ วัชราภัย
รอง เค้ามูลคดี
เมตตา รุ่งรัตน์
ศิริพร วงศ์สวัสดิ์
โฉมฉาย ฉัตรวิไล
ดวงใจ หทัยกาญจน์
ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา
ทนงศักดิ์ ศุภการ
ศิววงศ์ ปิยะเกศิน
การิน ศตายุ
จุรี โอศิริ
ชลิดา เถาว์ชาลี

บทประพันธ์โดย : ดวงดาว
บทโทรทัศน์โดย : อ.แดง ศัลยา สุขะนิวัตติ์
กำกับการแสดงโดย : ตู่ นพพล โกมารชุน
ผลิตโดย : ค่าย เป่า-จิน-จง


ขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยทีวีสี ช่อง 3, my3space.com, และคลิปจากอินเตอร์เน็ต

ออกอากาศตอนแรก วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554 นี้แทนละคร กุหลาบร้ายกลายรัก จ้าา

เรื่องย่อ ละคร ป่านางเสือ



เรื่องย่อ

ท่าน อิทธิ (ทนงศักดิ์ ศุภการ) หัวหน้าหน่วยปราบปรามพวกลักลอบตัดไม้ทำลายป่า มาเป็นประธานมอบเหรียญให้อาสาชาวบ้านที่ช่วยกันปกป้องรักษาป่าในพื้นที่ และนำลูกสาวคนเดียวชื่อ พฤกษา (ยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม) อายุ 4 ขวบมาด้วย การมอบรางวัลเป็นไปด้วยดีรางวัลเกียรติยศให้แก่ ลุงเดช (ฐาปกรณ์ ดิษยนันทน์) ผู้เป็นหัวหน้าอาสาชาวบ้าน อดีตทหารผ่านศึกรบมาแล้วโชกโชน

งานจบลงด้วยดี ท่านอิทธิ เดินทางกลับมีลุงเดชและอาสาชาวบ้าน 2-3 คนมาส่ง แต่ในระหว่างทางถูกคนร้ายโจมตีทุกคนตายหมด แต่ลุงเดชพาเด็กหญิงพฤกษาหนีรอดไปได้ และพาไปหลบในป่าลึกกับพวกกลุ่มอาสาที่รอดตายไปพบกับพวกหมู่บ้านโจรที่หลบ เจ้าหน้าที่มาอาศัยเป็นชุมชนเล็กบังเอิญหัวหน้าโจรชื่อ แสง (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล ) เคยเป็นทหารลูกน้องเก่าของลุงเดชจึงให้ความช่วยเหลือต้อนรับ

ป่านางเสือ

ความจริงแล้วพวกชุมโจรคือพวกชาวบ้านที่ถูกพวกมีอิทธิพลรังแกยึดที่ทำกินจน ทนไม่ไหวลุกขึ้นต่อต้านแต่ถูกอำนาจมืดพลิกดีเป็นชั่วจึงต้องหนีเข้าป่า แสงมีลูกชาย อายุมากกว่าพฤกษา ชื่อ ไผ่ (ธันญ์ ธนากร) และลูกสาวอีกคนหนึ่งคนอายุน้อยกว่าพฤกษาสองปีชื่อ จักจั่น (เอี๊ยม วรรษพร วัฒนากุล) และหลานชาย ลุงเดชเล่าเรื่องพฤกษาให้แสงฟังและตัดสินใจเปลี่ยนชื่อให้เป็น ดาว (ยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม) และอาศัยอยู่กับแสงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทั้ง ดาว ไผ่ และจักจั่น จึงถูกเลี้ยง และโตมาประหนึ่งพี่น้องคลานตามกันมา

เวลาผ่านไปดาวเติบโตท่ามกลางความรักของทุกคน ดาวสนิทกับ ไผ่ และจักจั่นมากทั้งสามรักกันมาก ลุงเดชและทุกคนต่างสอนวิชาการต่อสู้ แกะรอย ล่าสัตว์ สารพัดจนทั้งสามคนเก่งกาจไม่กลัวใคร ในขณะเดียวกันลุงเดชก็กล่อมให้แสงกับพวกเลิกเป็นโจรหรือถ้าจะปล้นก็ปล้นแต่ พวกที่โกงกินมีอิทธิพล และขณะเดียวกันก็ช่วยกันปกป้องป่า แสงและพวกต่างยินดีพร้อมกลับใจ

ป่านางเสือ

วันหนึ่งดาว ไผ่ และ จักจั่น ออกล่าสัตว์เจอแม่เสือถูกพวกนักล่ายิงตายเหลือลูกเสือทิ้งไว้ ทั้งคู่จึงเอามาเลี้ยงและตั้งชื่อว่า สายฟ้า วันหนึ่งดาวกับสายฟ้า กำลังฝึกฝนเล่นอยู่ในป่าก็พบกับ พระธุดงค์ (ยอดชาย เมฆสุวรรณ) องค์หนึ่ง..ดาวคาดไม่ถึงว่าจะมีพระเข้ามาในป่าลึกขนาดนี้ แต่ก็เข้าไปนมัสการเอาผลไม้ที่หาได้มาให้พระธุดงค์ได้ตักเตือนว่าการทำลาย ชีวิตคนนั้นถือว่ายังบาปของให้ดาวมีความเมตตา

ดาวอ้างว่าทำเพื่อป้องกันตัวและช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้นไม่ต้องการจะทำร้ายใครนอกป้องกัน ชีวิตของผู้บริสุทธิ์และตนเองพระธุดงค์ จึงให้ดาวรับศีลและสวดมนตร์พร้อมให้พร ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ดาวก้มลงกราบ พอเงยหน้าก็ถึงกับแปลกใจเพราะพระองค์นั้นได้หายไปแล้วดาวจึงรีบกลับบ้านคิด ว่าจะนำเหตุการณ์นี้ไปปรึกษาลุงเดช ระหว่างที่ดาวกับสายฟ้าเดินทางกลับที่พัก

ดาวรู้สึกว่าได้สัมผัสกับสรรพสิ่งที่อยู่ในป่าอย่างลึกซึ้ง ได้ยินเสียงของต้นไม้เหมือนกับเทพารักษ์และสรรพสิ่งชีวิตที่สถิตย์อยู่ในป่ากำลังพูดกับตน..และ คอยคุ้มครองตน...ดาวนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ลุงเดชฟัง..ลุงเดชมั่นใจว่าเจ้าป่า เจ้าแสดงอภินิหารเพื่อให้พลังพิเศษและมาคุ้มครองดาวนั่นเองไผ่ จักจั่นและทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจ


15 ปีผ่านไป

ผู้มีอิทธิพลพวกลอบตัดไม้ทำลายป่าสองสามกลุ่ม ได้แก่กลุ่ม เสี่ยเหลิม (เวนซ์ ฟอลโคเนอร์) กลุ่มนายสินชัย (บี๋ ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์) ต่างหึกเหิมส่งคนเข้าตัดไม้ ไม่กลัวกฏหมาย แต่แล้วพวกมันก็ถูกเงาลึกลับเข้าล่าหนีตายรอดกลับไปได้ แต่ พอพวกมันกลับไปจะเอาไม้ที่ลอบตัดทิ้งไว้ตามที่เคยทำ ไม้ที่ลอบตัดทิ้งไว้ก็หายไปแล้ว...พวกมันไม่เข็ดลาบส่งคนเข้าไปอีก แต่ก็ถูกเงาลึกลับโจมตีอีกทุกครั้ง



พวกมันประชุมกันอย่างเคร่งเครียดเพื่อหาตัวการแต่ก็ไม่คืบหน้า พวกมันรู้แต่ว่า ทุกครั้งที่ถูกจู่โจมพวกมันจะเห็นเสือปรากฏตัว หลังจากนั้นก็มีเงาดำของหญิงสาวปรากฏขึ้นกับพวก หญิงสาวแต่งชุดดำใส่หน้ากากเสือ มีฝีมือน่ากลัวเคลื่อนไหวเร็วเหมือนเสือร้าย..กระสุนปืนไม่อาจจะระคายเคือง ที่แท้เงาลึกลับนั้นก็คือ ดาว จักจั่น และไผ่นั่นเอง ต่างแต่งตัวพรางตัวแต่งชุดดำแยกกันปรากฏตัวด้านโน้นทีด้านนี้ที..ผสมผสานกับ เสียงคำรามของสายฟ้ารวมทั้งเสียงสั่นไหวของใบไม้ทั้งป่าเหมือนเสียงร้อง โหยหวน ทำให้พวกมันตกใจนึกว่าคนเป็นเสือ

เสือเป็นคน ร่ำลือไปทั่วว่าป่ามีอาถรรพ์มีนางเสือคอยปกป้องป่า แต่พวกมีอิทธิพลไม่ยอมแพ้ พวกมันต่างรวมตัวกัน วางแผนที่จะบุกตัดไม้อีกพวกมันถึงกับจ้างอาจารย์หมอมีชื่อทางไสยศาตร์มานำ การบุกเพื่อบำรุงขวัญและกำลังใจให้กับพวกมือปืนของพวกมัน แต่ ทั้งอาจารย์และพวกมันก็ถูกนางเสือเล่นงานจนยับเยินอีกเช่นเคย ในยามปรกติดาวนอกจากคอยระวังรักษาป่า ยังลอบเข้ามาปะปนกับชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้แนวป่าที่นับวันก็มีพวกผิดกฎหมาย ลูกน้องของผู้มีอิทธิพลทั้งหลายที่เข้ามาแผ่อำนาจสร้างอิทธิพล ค้าขายอย่างเอาเปรียบ ทั้งเปิดบ่อนเปิดที่เริงรมย์ สารพัดเนื่องด้วยอยู่ไกลมือกฎหมายชาวบ้านไม่สามารถต่อกรกับพวกมันได้

ดาว จักจั่น ไผ่ กับลุงเดชในคราบของลุงกับหลานทั้งสามคน ต่างคอยช่วยเหลือพวกชาวบ้านด้วยอีกด้านหนึ่ง...ถ้าพวกมันใช้วิธีรุนแรงเมื่อ ไหร่ นางเสือก็จะปรากฏตัวไล่ล่าสั่งสอนกำจัดพวกมันออกไป



พวกมีอิทธิพล ได้วางแผนใหม่สั่งมือปืนบุกสังหารเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ในขณะที่ตรวจสภาพป่า และสร้างข่าวใส่ร้ายว่าเป็นฝีมือของโจรกลุ่มหนึ่งมีหัวหน้าเป็นผู้หญิงฉายาว่า นางเสือ มีการประชุมด่วนของทางการ...ท่านรองก้องเกียรติ (เจี๊ยบ ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ ท่านอิทธิ มอบหมายให้ ผู้กองฤทธิชัย (เติ้ล ธนพล นิมทัยสุข) เป็นผู้ดำเนินการเข้ามาสืบสวนหาความจริงและตามล่า นางเสือ
ผู้กองฤทธิชัย เจ้าหน้าที่ตำรวจป่าไม้..ได้ถูกสั่งให้ติดตามหาตัวนางเสือ ที่อาละวาดฆ่าคนอยู่เพราะถึงการกระทำของนางเสือเป็นการขจัดคนชั่ว แต่ก็ถือว่าเป็นคนนอกกฎหมาย แม้ว่าผู้กองฤทธิชัยจะนิยมชมชอบ และ สะใจ ที่นางเสือปราบพวกชั่ว แต่หน้าที่จับคนร้ายก็คือหน้าที่ ในขณะที่ผู้กองฤทธิชัย..ปลอมตัวเข้าไปปะปนกะพวกคนร้าย แต่เสียทีถูกจับได้เสียก่อน ผู้กองถูกวางยาไม่รู้ตัว และเสียทีเกือบถูกพวกผู้ร้ายยิงทิ้งกลางป่า ดาวที่ อยู่อีกฝั่งของป่า ได้ยินเสียงปืน ก็มาเจอผู้กองกำลังจะถูกฆ่า ดาวได้ยินพวกคนร้ายบอกว่า เป็นตำรวจ จึงเข้าช่วยผู้กองฤทธิชัย ดาวจัดการพวกผู้ร้ายจนหมอบ ซึ่งหันมาผู้กองก็หมอบไปพร้อมกับฤทธิ์ยาที่ถูกพวกคนร้ายวางยาสลบเช่นกัน ทำให้ผู้กองได้เห็นนางเสือแค่ลางๆ สักพัก อภิชาติ (เขตต์ ฐานทัพ) เพื่อนรัก ทนายความหนุ่ม คู่หูของผู้กอง

ฤทธิชัย ที่ชอบออกตามล่าคนร้ายภาคสนามด้วยกันบ่อยๆ ก็ตามมาช่วย ดาวรีบหลบไปเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ

ฤทธิชัยได้ข่าวเรื่องนายสินชัยจึงไปที่บ้านดอนเสือพร้อมกับอภิชาติ ระหว่างนั้นลุงเดชก็พาดาว ไผ่ และจักจั่นมาสำรวจพื้นที่ป่าดอนเสือด้วย ดาวเห็นพวกนักเลงรังแกชาวบ้าน ดาว ไผ่ และจักจั่นเข้าช่วยต่อสู้กับพวกนักเลง ผู้กองฤทธิชัยโดดเข้าร่วมด้วยจนพวกนักเลงหนีไป ทั้งหมดทำความรู้จักกันโดยที่ดาวไม่ได้เปิดเผยตัวจริงว่าเป็นนางเสือ แต่ผู้กองฤทธิชัยแอบสังเกตเห็น ดาว ไผ่ และจักจั่น มีความคล่องแคล่วในการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เก็บความสงสัยไว้ในใจ

ลุงเดช พาทั้งสามคนมาอยู่ที่บ้านดอนเสือ และพักอยู่กับ ป้าเนียน (เจี๊ยบ กาญจนาพร ปลอดภัย) ซึ่งเป็นสถานีอนามัย เพื่อต้องการให้เรียนรู้วิถีคนเมือง แต่ลุงเดชยังคงเก็บงำเรื่องราว และตัวตนของดาวไว้เพื่อความปลอดภัยของดาวเอง ลุงเดชสั่งป้าเนียนห้ามพูดเรื่องท่านอิทธิ และศูนย์อาสาในอดีตให้เด็กๆฟังโดยเด็ดขาด



ชาวบ้านดอนเสือ จัดการทำบุญครบรอบ 15 ปี การเสียชีวิตของท่านอิทธิ คุณหญิงรัตนา (สุพรรณษา เนื่องภิรมณ์) ภริยาของท่านอิทธิมาร่วมงานด้วย ผู้กองฤทธิชัย กับอภิชาติก็ตามมาดูแลคุณหญิง ดาวได้พบกับคุณหญิงรัตนา คุณหญิงรู้สึกถูกชะตาดาวมาก ลุงเดชเห็นทั้งคู่จึงไม่ค่อยสบายใจ ในงานดาวยังได้พบกับผู้กองฤทธิชัยอีกครั้ง ผู้กองเองก็รู้สึกถูกชะตากับดาวมาก ทั้งคู่คุยกันถูกคอ จนผู้กองออกปากชวนดาวไปเที่ยวในเมืองบ้าง ความสัมพันธ์ของผู้กองฤทธิ์ กับพฤกษาขยายตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ทั้งสองเริ่มสนิทกันมากขึ้น

ฤทธิชัยโดนพักงานเพราะแผนของสินชัยเพื่อให้ทำงานง่ายขึ้น แต่ฤทธิชัยก็ได้โอกาสไปบ้านดอนเสือเพื่อจัดการอย่างเต็มที่ ฤทธิชัยมาถึงบ้านดอนเสือก็ช่วยดาวกับจักจั่นปราบพวกค้าผู้หญิง และนายสินชัยก็อยู่เบื้อหลังการค้าผู้หญิงด้วย ฤทธิชัย ดาว จักจั่น ตามพวกมันไปจนถึงค่ายที่กักขังค้าผู้หญิงและช่วยพวกผู้หญิงออกมา โดยดาวและจักจั่นไม่กล้าแสดงตัวมากนัก ทั้งหมดเกือบพลาดท่า ลุงเดชที่เป็นห่วงดาวออกตามหามาพบเข้าจึงช่วยไว้ได้ ทั้งหมดเข้าบุกทลายค่าย ไผ่และสมาชิกโจรเข้ามาสบทบ และนางเสือ ก็ออกมาช่วยอีกแรง ฤทธิชัยเริ่มสงสัยในตัวดาว

อภิชาติสืบรู้มาว่า ไอ้ไชย (สโนวี่ สุทธิพร เมธา) คือมือขวาของนายสินชัย และพวกสินชัยเตรียมกำลังเพื่อขนเพชรเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และจะมีงานประมูลเพชรบังหน้า อภิชาติมาบอกฤทธิชัยถึงบ้านดอนเสือ และนางเสือก็รู้ข่าวคิดวางแผนปล้นเพชรของ นายสินชัยที่กรุงเทพ

คุณหญิงรัตนาเชิญดาวและจักจั่นมาทานข้าวที่บ้านดอนเสือ ดาวได้พบกับคุณหญิงพรพรรณ รวมทั้งฤทธิชัยและอภิชาติก็มาด้วย นายสินชัยเชิญคุณหญิงรัตนาไปงานประมูลเพชร รัตนาจึงชวนดาวกับจักจั่นไปด้วย ฤทธิชัยโดนเรียกกลับไปเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยงานประมูลเพชร และเขาคิดว่าคงต้องเผชิญหน้ากับนางเสือที่กรุงเทพแน่นอน

รูปของพฤกษาที่อภิชาติเอาไปวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์ออกมาหน้าเหมือนกับดาว มาก จนฤทธิชัยกับอภิชาติถึงกับตะลึง ทั้งคู่คิดว่ายังไม่อยากให้คุณหญิงรัตนาเห็นรูปในตอนนี้เพราะฤทธิชัยยังไม่ แน่ใจว่าดาวคือนางเสือหรือเปล่า จึงทำรูปขึ้นมาใหม่ไม่ให้เหมือนดาว คุณรัตนาหวังว่าดาวจะเป็นลูกของตน แต่เมื่อได้เห็นรูปว่าไม่ใช่ดาวก็เสียดายแต่ก็ยังเอ็นดูดาวกับจักจั่นเหมือน เดิม ดาวกับจักจั่นมาถึงกรุงเทพตามคำเชิญของคุณหญิงรัตนา เพื่อมางานประมูลเพชรของนายสินชัย

ลุงเดชกับไผ่ปลอมเป็นนางเสือเพื่อหลอกให้พวกนายสินชัยคิดว่านางเสือยังอยู่ ที่ บ้านดอนเสือ จันจิรา (เตย อรัชมน รัตนวราหะ) หลานของป้าเนียนมาจากกรุงเทพ เจอพวกนักเลงทำร้าย ไผ่มาเห็นเข้าช่วยจันจิราไว้ ไผ่เริ่มสนใจจันจิรา

ดาว กับ จักจั่น ขอให้คุณหญิงรัตนาพาไปที่โรงแรมที่จัดงานประมูลเพชรเพื่อหวังดู ทางหนีทีไล่ และได้พบกับฤทธิชัย ฤทธิชัยเริ่มสงสัยดาวแต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ เมื่อถึงวันงานประมูลเพชร ดาวกับจันจั่นไปงานกับคุณหญิงรัตนาเพื่อจะปล้นเพชร นางเสือปล้นเพชรได้สำเร็จ โดยขโมยเพชรมาไว้ที่นายสินชัยกับลูกน้อง จึงไม่มีใครค้นเจอเพชร และนางเสือก็ย้อนกลับมาเอาเพชรจากนายสินชัยตอนที่ทุกคนกลับไปหมดแล้ว

สินชัยแค้นมากที่โดนนางเสือหลอกเอาเพชรไปง่าย ๆ ทอมดักตามฆ่าฤทธิชัย สินชัยให้ทอมวางมือ เพราะสินชัยมีแผนให้ ลินจง (ติ๊ก ลลิสา สนธิรอด) ลูกน้องสาวสวยที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ไม่แพ้ผู้ชาย ปลอมเป็นางเสือเพื่อหลอกทุกคนว่านางเสือไม่ใช่โจรปล้นคนไม่ดีมาให้คนจนอย่าง ที่ทุกคนคิด ฤทธิชัยคิดว่านายสินชัยต้องมีคนใหญ่คนโตคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังแน่ๆ

นางเสือตัวปลอมออกอาละวาดฆ่าตำรวจ และจักจั่นก็โดนระเบิดจากพวกนางเสือปลอม จักจั่นได้พรจากพระธุดงค์พร้อมๆ กับดาวและไผ่ อาวุธจึงไม่ระคายผิว แต่แรงระเบิดมากจนร่างกายภายในบอบช้ำหยุดทำงาน ดาวตั้งสมาธิ ให้จักจั่นอาศัยร่างตัวเองตามที่พระธุดงค์แนะนำ แล้วเอาร่างจักจั่นไปเก็บไว้ในถ้ำ ดาวพาฤทธิชัยกับอภิชาติมาพบร่างไร้วิญญาณของจักจั่นที่นอนอยู่ และทั้งคู่ก็ต้องตกใจเมื่อจักจั่นมาอาศัยร่างดาวอยู่ เพื่อรอร่างใหม่

ฤทธิชัยเห็นดาวร่วมมือกับตนจัดการกับนางเสือ คิดว่านางเสือที่ปะทะกันต้องเป็นนางเสือปลอมแน่ และดาวต้องเป็นนางเสือตัวจริงจึงมาช่วยพวกตน ดาวในร่างนางเสือจัดการกับนางเสือปลอมที่สินชัยส่งมาเพื่อล้างแค้นให้ จักจั่น ดาวมาพบคุณหญิงรัตนา คุณหญิง จึงได้รู้ว่าจักจั่นอยู่ในร่างดาว ที่ชายหาด ดาวกับฤทธิชัยเจอคนบ้ากำลังจมน้ำจึงเข้าไปช่วยแต่ช่วยไม่ทันคนบ้าจมน้ำตาย จักจั่นจึงเข้าร่างคนบ้า ทุกคนดีใจที่จักจั่นได้ร่างใหม่ชั่วคราว อภิชาติเลยชอบแซว จักจั่นในร่างใหม่ว่า ยายบ๊อง (ปานวรินทร์ ปามี-โย)

ฤทธิชัยได้รับรายงานจากก้องเกียรติเรื่องสถานที่ส่งของของนายสินชัย ทั้ง 4 จึงลงมือสืบอีกครั้ง ฤทธิชัย ดาว อภิชาติ จักจั่นไปสืบเรื่องนายสินชัย และได้พบว่าพวกสินชัยกำลังจะผลิตแบงก์ปลอม ทั้งหมดไปดักจับพวกของทอมที่กำลังจะขนแม่พิมพ์มา แต่พวกฤทธิชัยกลับถูกพวกทอมและนายสินชัยหลอก จับตัวผิดคนไป

ที่บ้านดอนเสือ พวกไอ้ไชยล่อให้ไผ่หลงกลออกมาจากบ้านป้าเนียน และจับตัวจันจิรากับป้าเนียนไป เพราะป้าเนียนคิดจะตั้งค่ายอาสา ดาวกับจันจั่นร่างใหม่กลับมาพอดี จึงช่วยไว้ได้ทัน ดาวฟังเรื่องค่ายอาสาของท่านอิทธิพลจากป้าเนียน และจะตั้งค่ายอาสาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จักจั่นในร่างนางเสือจับนางเสือปลอมได้ กำลังจะคาดคั้นถึงผู้บงการ แต่ลินจงก็มาจัดการเก็บนางเสือปลอมไปเสียก่อน

คุณหญิงรัตนา มาเปิดค่ายอาสาที่บ้านดอนเสือ โดนพวกคนร้ายรอบยิงได้รับบาดเจ็บ ดาวตามไปฆ่าพวกมันด้วยความแค้นที่ทำร้ายคุณหญิงจนตัวเองได้รับบาดเจ็บ ฤทธิชัยตามมาช่วยดาวไว้ ฤทธิชัยพยายามพาดาวออกจากป่า สายลมส่งกระแสจิตให้ไผ่กับลุง

เดชมาช่วย นายสินชัยโกรธมากที่จัดการกับพวกคุณหญิงไม่สำเร็จ เงินในบัญชีของสินชัยหายไปเพราะฤทธิชัยแอบโอนไปให้มูลนิธิต่างๆ ทอมรายงานนายใหญ่เรื่องสินชัยทำงานผิดพลาด นายใหญ่สั่งให้สินชัยรีบเก็บนางเสือและฤทธิชัยโดยเร็ว สินชัยให้ลินจงก่อกวนค่ายอาสา และรอบทำร้ายเจ้าหน้าที่อยู่ตลอด แต่พวกดาวก็จับตัวนางเสือปลอมไม่ได้สักที และยังต้องสืบเรื่องแบงก์ปลอมของนายสินชัยไปด้วย

ในป่า สายของดาวมารายงานว่ามีพวกคนร้ายลักลอบเข้ามาตัดไม้ นางเสือ จึงพากำลังบุกไล่..คนร้ายไปอย่างง่ายดายโดยมี กำจร (เต้ นันทศัย พิศัลยบุตร) บันทึกภาพไว้ทั้งหมด แต่ในขณะที่จะย้ายไม้ไปซ่อนนั้น เจ้าหน้าที่ของทางการก็ปรากฏตัวล้อมทุกคนไว้..นางเสือหรือดาวโกรธและเข้าใจ ว่า ผู้กองฤทธิชัยทรยศต่อตน เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนางเสือไว้ได้นางเสือถูกเปิดเผยโฉมหน้า และถูกนำตัวเข้ากรุงเทพฯทันที

ผู้กองฤทธิชัยจึงพากำจรติดตามมาด้วย เพื่อให้เป็นพยาน เจ้าหน้าที่ไม่ขัดข้อง แต่แล้วในขณะเดินทาง ก็มีคนร้ายกลุ่มหนึ่งบุกเข้าโจมตี..เจ้าหน้าที่ตายหมด..ดาว ผู้กองฤทธิชัย และ กำจร..ถูกพวกมันคุมตัวไว้ โฉมหน้าของนักธุรกิจจอมชั่วร้ายปรากฏตัวขึ้น และสั่งให้ฆ่าทุกคน ในภาวะคับขัน ลุงเดชกับพวกก็ตามมาช่วยดาวจากกลุ่มคนร้ายไว้ได้ แต่ความรัก ความเชื่อใจ และความแค้น ระหว่างผู้กองฤทธิชัย กับดาว รวมถึงต้นกำเนิด และตัวคนที่ทำให้พ่อของดาวต้องตาย ทั้งหมดนี้ดาว หรือนางเสือ จะจัดการอย่างไรต่อไป ต้องติดตามใน ละครเรื่อง ป่านางเสือ

รายชื่อนักแสดง
ป่านางเสือเติ้ล ธนพล นิมทัยสุข รับบทเป็น ผู้กองฤทธิชัย
นายตำรวจหนุ่มมือปราบคนเก่ง อายุแก่กว่าดาวเพียง 5 ปีมือขวาของท่านก้องเกียรติทางบ้านมีฐานะดี เชื้อสายราชการแม่ทัพเก่าแก่มีอุดมการณ์ ยอมหัก ไม่ยอมงอ คุยสนุก ไม่ถือตัว ขี้เล่นจบการศึกษาและอบรมวิชาการตำรวจจากต่างประเทศ

ละคร ป่านางเสือยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม รับบทเป็น ดาว(พฤกษา)
สาวสวย วัยใสแต่แกร่ง ชื่อตอน เด็กหนูน้อยพฤกษา เป็นลูกสาวของท่านอิทธิหัวหน้าหน่วยปราบปรามเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ และคุณหญิงรัตนา ท่านอิทธิถูกลอบสังหาร ทำให้พฤกษาโตขึ้นในป่า ถูกฝึกฝนวิชาการต่อสู้ในป่าจนเก่งมีฝีมือจากบารมีความดีของท่านอิทธิที่ดูแล ป่า ทำให้ป่าปกป้องพฤกษา กลายเป็นคนที่มีพลังเหนือธรรมดา ร่างกายไม่มีการได้รับบาดเจ็บ เวลาเข้าป่าก็มีสัมผัสพิเศษรู้ได้ถึงทุกส่วนของป่า มุ่งหน้าช่วยเหลือคนจนคนดีที่ถูกเอาเปรียบ


เรื่องย่อตอนละคร ป่านางเสือเขตต์ ฐานทัพ รับบทเป็น อภิชาติ
ทนายความมีชื่อ เคยเป็นทนายประจำกรมตำรวจมาก่อนแต่เห็นความไม่ยุติธรรมในสังคมจึงลาออก เพื่อที่จะจัดการกับคนร้ายได้เต็มที่ ไม่ต้องผ่านระบบขบวนการที่มีช่องโหว่ให้คนร้ายหลีกเลี่ยง คอยช่วยงานปราบปรามของผู้กองฤทธิชัย (คู่ของจักจั่น)

เรื่องย่อ ตอน ละคร ป่านางเสือเอี๊ยม วรรษพร วัฒนากุล รับบทเป็น จักจั่น
เพื่อนรักรุ่นน้องลูกนายแสงหัวหน้าชุมโจร ที่โตมาด้วยกันในป่า อายุไร่เรี่ยกับดาว อ่อนกว่าไม่กี่เดือนได้รับการฝึกฝนวิชาฝีมือจนเก่งเช่นกัน แต่ไม่ได้มีสัมผัสและพลัง พิเศษเหมือนดาว จอมกวน ขี้เล่น เจ้าบทบาท ลุยแหลก



เรื่องย่อ ละคร ป่านางเสือธันญ์ ธนากร รับบทเป็น ไผ่
พี่ชายของจั่น อายุแก่กว่า ดาว และ จักจั่น ประมาณ 3-4 ปี ถูกฝึกวิชาจนมีฝีมือเก่งเช่นกัน นิสัยคล้าย จักจั่น พูดจาโผงผาง ใจร้อนกว่าจักจั่น ห้ามไม่ค่อยอยู่ ลุยแหลกเช่นกัน



เตย อรัชมน รัตนวราหะ รับบทเป็น จันจิรา
โอ๋ ฐาปกรณ์ ดิษยนันทน์ รับบทเป็น ลุงเดช
กาญจนาพร ปลอดภัย รับบทเป็น ป้าเนียน
สุพรรษา เนื่องภิรมณ์ รับบทเป็น คุณหญิงรัตนา
ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล รับบทเป็น แสง
ปู นาตยา จันทร์รุ่ง รับบทเป็น สมพร
บี๋ ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์ รับบทเป็น นายสินชัย
เจี๊ยบ ศักราช ฤกษ์ธำรงค์ รับบทเป็น ท่านรองก้องเกียรติ
ทนงศักดิ์ ศุภการ รับบทเป็น ท่านอิทธิ
โย ปานวรินทร์ ปามี รับบทเป็น ยายบ๊อง(จักจั่น)
ติ๊ก ลลิสา สนธิรอด รับบทเป็น ลินจง
เวนซ์ ฟอลโคเนอร์ รับบทเป็น เสี่ยเหลิม
เต้ นันทศัย พิศัลยบุตร รับบทเป็น นายกำจร
ตู่ พงศนาถ วินศิริ รับบทเป็น ลุงหงวน
สุทธิพร เมธา รับบทเป็น ไอ้ไชย
ยอดชาย เมฆสุวรรณ รับบทเป็น พระธุดงค์
และนักแสดงมากฝีมืออีกมากมาย

บทประพันธ์โดย : นอร์แมน วีรธรรม
บทโทรทัศน์โดย : นอร์แมน วีรธรรม
กำกับการแสดงโดย : เอกภพ ตันหยงมาศกุล
ออกอากาศทาง : ช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20:30 น. เริ่มตอนแรก 7 กุมภาพันธ์ 2554 นี้
ผลิตโดย : บริษัท กันตนา มูฟวี่ทาว์น (2002 ) จำกัด

เรื่องย่อ ละคร รักไม่มีวันตาย


โพลีพลัส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด นำโดย บอสนิด-อรพรรณ วัชรพล เตรียมส่งละครแนวโรแมนติกดราม่าเรื่อง รักไม่มีวันตาย ส่งตรงหน้าจอทีวีผ่านไทยทีวีสีช่อง 3 เริ่มตอนแรกวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2554 นี้

นำแสดงโดยพระเอกหล่อขั้นเทพอย่าง โดม-ปกรณ์ ลัม ซึ่งเป็นการเปิดซิงลงละครเรื่องแรกประกบกับอดีตแฟนสาวคนสวย และนางเอกมากฝีมือแห่งวิกพระราม 4 อย่าง พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ โดยละครเรื่องนี้มีโลเกชั่นถ่ายทําไกลถึงญี่ปุ่นเลยทีเดียว และนอกจากจะได้รับบทนำแล้วเรืองนี้ โดม ยังได้ร้องนำเพลงประกอบละครเรื่องนี้ด้วย

ส่วนคาแรกเตอร์ของพระเอกหนุ่มในเรื่องนี้ โดมได้ให้สัมภาษณ์ว่า "คาแรกเตอร์ของเค้าไม่ใช่พระเอกที่มนุษย์เราเลียนแบบได้ ต้องสมมติเอาว่าคนที่อยู่มาหลายๆ ปีคิดยังไง พูดยังไง ภายนอกเหมือนคนรุ่นเดียวกัน แต่ภายในเหมือนคุณทวดพูดกับลูก"

เรื่องย่อละคร

บทแรกของรักที่พานพบ จุดจบแห่งการรอคอยอันแสนยาวนาน เรื่องราวความผูกพันอันลึกซึ้งคำสาปและการ ปลดปล่อยที่ถูกเก็บไว้อย่างลึกลับกว่า ๔๐๐ ปี เริ่มปรากฏเป็นเค้าลางขึ้น ในงานประมูลเครื่องประดับของขุนนาง และหญิงชั้นสูงของจีนที่ขุดพบใน ‘ถ้ำมังกรอมตะ’ วัตถุโบราณชุดสำคัญมูลค่ากว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท

“ถ้ำมังกรอมตะ” เป็นถ้ำเก่าแก่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนตามตำนานอ้างว่ามีสมบัติของราชวงศ์ หมิงที่ถูกขโมยมาเก็บซุกซ่อนไว้ แต่ยังไม่ทันที่หัวขโมยจะได้แบ่งสมบัติถ้ำเกิดถล่มฝังทุกสิ่งไว้อย่างมิดชิด จนกระทั่งในปีพ.ศ. ๒๑๔๐ มีนักล่าสมบัติกลุ่มหนึ่งสามารถเปิดปากถ้ำเข้าไปได้ สมบัติล้ำค่าจำนวน๑๑๗ชิ้นจึงถูกนำออกมาจำหน่ายจ่ายแจกกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆทั่วโลก

รักไม่มีวันตายรักไม่มีวันตาย

เวลา ๔๑๒ ปีที่ผ่านมามีนักสะสมมากมายพยายามเป็นเจ้าของ และในวันนี้ มีสมบัติ ๑๒ ชิ้นสำคัญที่เพิ่งค้นพบถูกนำมาประมูลที่ประเทศไทย พร้อมกับการปรากฎตัวของ ไตรภูมิ(ไตร) (ปกรณ์ ลัม)นักสะสมวัตถุโบราณผู้ชนะการประมูล ด้วยความเฉียบขาดในการตัดสินใจจ่ายเงินกว่า ๑,๐๐๐ ล้านเพียงชั่วขณะยกมือ ประกอบกับใบหน้าอันหล่อเหลาคมเข้มแววตาอันแสนเยือกเย็นทำให้เขากลายเป็นที่กล่าวถึง ในวงสังคมชั้นสูงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะค้นหาประวัติเท่าไหร่ สิ่งที่เจอคือ ความว่างเปล่าและคลุมเครือ ไม่มีใครสามารถเข้าถึงไตรภูมิได้แม้แต่คนเดียว ยกเว้น ปลายฉัตร (ปลาย)(เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) หญิงสาวผู้ทำหน้าที่ดูแลสมบัติทั้ง ๑๒ ชิ้น

ปลายฉัตรเกิดในครอบครัว ‘นักปัดฝุ่น’ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำรุงรักษาและทำความสะอาดวัตถุโบราณอันล้ำ ค่า ด้วยอายุเพียง ๒๓ ปีทำให้เธอดูไม่น่าเชื่อถือนัก แต่ฝีมือเป็นที่ประจักษ์ในวงการ ปลายติดสอยห้อยตาม เปรม (ภัทรวรรธน์ นาควิไลโรจน์)พ่อผู้ล่วงลับไปทำงานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ด้วยประสบการณ์และพรสวรรค์อันแสนมหัศจรรย์ทำให้เธอได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ ทำความสะอาดสมบัติชิ้นสำคัญที่ไตรภูมิเพิ่งครอบครอง

รักไม่มีวันตาย

การทำงานของปลายฉัตรเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความไม่เต็มใจของไตรภูมิ เขาพยายามจะไล่ให้เธอกลับไป แต่ปลายฉัตรนำสัญญาว่าจ้างของเจ้าของสมบัติมายืนยันที่จะทำงานต่อ นอกเหนือจากความหลงไหลอยากสัมผัสสมบัติในฝันของนักสะสมทั้ง ๑๒ ชิ้นแล้ว เธอยังต้องการเงินค่าแรงจากงานนี้เพื่อนำไปผ่าตัดตาให้ เฉิด (วาสนา สิทธิเวช)แม่อันเป็นสุดที่รัก

ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ปลายฉัตรและแม่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างสบาย แต่เมื่อพ่อจากไปเมื่อ ๕ ปีก่อน แม่ต้องทำงานเพียงลำพังมีรายได้จากการรับอัดกรอบพระเพื่อส่งปลายฉัตรเรียนจน จบมัธยม ๖ เธอสอบติดคณะโบราณคดี แต่ด้วยความสงสารแม่จึงลาออกมา และเริ่มต้นทำงานที่พ่อได้ปูทางไว้ให้ ในขณะที่เฉิดเริ่มมีอาการประสาทตาเสื่อม และมองไม่เห็นในที่สุด ปลายฉัตรจึงต้องการทำงานนี้ให้สำเร็จเพื่อให้ได้ทั้งเงิน และประวัติการทำงานเพื่อนำไปต่อยอดต่อไป

รักไม่มีวันตายรักไม่มีวันตาย

ปลายฉัตรจึงดันทุรัง ไม่ว่าไตรภูมิจะขับไล่อย่างไร เธอยังทำหน้ามึนไม่ยอมไป จน อินทร์(ไกรลาศ เกรียงไกร) พ่อบ้านวัย 60 ปี คนสนิทของไตรภูมิ ผู้ทำหน้าที่เป็นทั้งคนรับใช้ พ่อบ้าน ที่ปรึกษา และญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่มีอยู่ ต้องออกปากขอให้เขาปล่อยปลายฉัตร ทำงานให้เสร็จ เพราะน่าจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เธอเลิกยุ่งกับเขา ไตรภูมิจำใจต้องยอมให้ปลายฉัตรทำงานในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวสุดหรู

ในขณะที่ปลาย ฉัตรมุ่งมั่นกับการทำความสะอาดอดีตอันล้ำค่า เธอค่อยๆค้นพบความแปลกประหลาดของไตรภูมิ ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวยอย่างไร้เหตุผล ความรู้ความเชี่ยวชาญในประวัติศาสตร์ราวกับผ่านมาด้วยตัวเอง ผิวขาวราวกับหิมะ ปากแดงระเรื่อยิ่งกว่าผู้หญิง ตาสีน้ำตาลจางๆ ที่เหมือนจะไม่ค่อยสู้แสง เรี่ยวแรงมหาศาลที่แทรกอยู่ในกล้ามเนื้อกำยำ ทำให้หัวใจเธอเต้นผิดปกติทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ ที่สำคัญเธอไม่เคยเห็นเขานอน หรือกินอาหารเหมือนคนปกติทั่วไป เขาไม่เคยออกงานสังคมทั้งที่มีผู้คนมากมายอยากรู้จัก นอกจากนายอินทร์ และ กร กับ กัณฑ์บอดี้การ์ดส่วนตัวแล้ว เธอไม่เคยเห็นคนอื่นเข้ามาในชีวิตเขาอีกเลย ยิ่งปลายฉัตรอยู่ใกล้ไตรภูมิมากเท่าไหร่ เธอยิ่งหลงใหลในความลึกลับของเขามากเท่านั้น

สำหรับไตรภูมิ..ปลายฉัตรคือสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่คุ้นเคย เขาห่างเหินการอยู่ใกล้ชิดผู้หญิงมานานแสนนาน แต่ในเวลาเพียงไม่นานที่เธอเข้ามาในอาณาเขตส่วนตัวของเขาปลายฉัตรกลับเรียน รู้ที่จะปรับตัวและอยู่กับเขาได้อย่างรู้ใจ ในความธรรมดาของผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ ที่ไม่เคยอยู่สายตาเขาแม้แต่น้อย เธอค่อยๆฉายแสงของความสดใสเข้ามาในหัวใจที่เย็นชาของเขาทีละน้อย โดยที่เขาไม่รู้ตัว

ไตรภูมิพาปลายฉัตรไปงานประมูลวัตถุโบราณที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นอย่างเร่งด่วน ทำให้ปลายฉัตรต้องโกหกที่บ้านว่าไปทำงานกับเจ้านายที่ภูเก็ต ทำให้ทุกคนสงสัยโดยเฉพาะสิงหา(ชาลี ไตรรัตน์) เพื่อนสุดสนิทที่ตัวติดกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม สิงห์เป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ เขาแอบหลงรักปลายฉัตรมาตั้งแต่อยู่ม. ๑ ถึงแม้จะมีทั้งแม่ และ ลุงฉิ่ง (ค่อม ชวนชื่น)นักเลงพระรุ่นเดอะ ญาติผู้ใหญ่ของปลายฉัตรเป็นกองเชียร์ตัวพ่อ แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่คืบหน้าเกินกว่าคำว่าเพื่อน

ไตรภูมิกับปลายฉัตรทั้งเที่ยวและทำงานที่ญี่ปุ่นอย่างมีความสุข ทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้นและต่างรู้สึกดีต่อกันมากขึ้น แต่แล้วไตรภูมิก็รีบพาปลายฉัตรกลับอย่างกระทันหันเพราะรู้ว่าราม(กันต์ กันตถาวร) และ มายา (เอมิกา เกรซ บูเฮอร์) คู่อริเก่า ตามไปขัดขวางงาน ขณะเดียวกันที่กรุงเทพฯ อินทร์ , กร และ กัณฑ์ ก็โดนลูกน้องของรามทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ไตรภูมิจึงรีบกลับมาจัดการทุกอย่าง

อโน(แก้วมณี วัฒนวรากุล) น้องสาวของสิงห์ ซึ่งเป็นนักข่าว ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คอยสืบเรื่องราวของไตรภูมิ ด้วยความสนใจในความหล่อและร่ำรวย รามสั่งให้ลูกน้องคอยติดตามทั้งไตรภูมิและปลายฉัตร รวมทั้งสิงหา กับอโน เพื่อหาทางเข้าใกล้ไตรภูมิ สุดท้ายก็เลยใช้อโนเป็นเครื่องมือเพื่อเข้าใกล้ปลายฉัตร แต่ปลายฉัตรก็พยายามระวังตัวทุกอย่าง

ความไม่วางใจของสิงห์เพิ่มมากขึ้นเมื่อเขาพบว่า กร และกัณฑ์ บอดี้การ์ดของไตรภูมิมีส่วนพัวพันกับการเสียชีวิตของหญิงขายบริการชาวต่าง ชาติที่ลอบเข้ามาทำอาชีพพิเศษในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย คดีใหญ่ที่เขากำลังดูแลอยู่ ดอน(สมเจต พยัฆโส)ลูกน้องคนสนิทของสิงห์ นักสืบวัยคะนองผู้บ้าระห่ำพบหลักฐานที่ชี้ว่าทั้งสองคนอยู่ในที่เกิดเหตุ หลายครั้ง แต่ก็หลุดไปได้ทุกครั้ง เพราะหลักฐานอ่อนเกินไป แต่ทั้งสิงห์ และดอนยังปักใจว่าไตรภูมิต้องอยู่เบื้องหลังคดีนี้อย่างแน่นอน

ตลอดเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมามีการพบศพหญิงสาวซึ่งส่วน ใหญ่เป็นชาว ยุโรป รัสเซีย และชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ลอบเข้ามาขายบริการบางคนเป็นนางแบบอิสระที่ไม่ได้มี ชื่อเสียงมากเสียชีวิตอยู่ในโรงแรมหรู สภาพศพขาวซีดเหมือนโดนดูดเลือดออกจนหมดตัว และหลักฐานล่าสุดที่เพิ่งค้นพบ คือ หญิงสาวทุกคนมีรอยลึกคล้ายเขี้ยวสัตว์ฝังลึกลงที่ซอกคอบริเวณเส้นเลือดใหญ่ รอบๆแผลมีคราบน้ำลายคล้ายของสัตว์ป่าแต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด ข้อมูลนี้เพิ่มความหวาดระแวงให้กับสิงห์ เขาจึงค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับตำนานผีดูดเลือด และสัตว์ร้ายที่อาจจะแปลงตัวมาในสภาพคน และยิ่งค้นลึกเท่าไหร่ สิงห์ยิ่งค้นพบความไม่น่าวางใจในตัวไตรภูมิมากเท่านั้น

ความวิตกของสิงห์ถูกถ่ายทอดมายังเฉิด และฉิ่งทั้งสามคนจึงคอยเตือนปลายฉัตรให้อยู่ห่างๆจากไตรภูมิ ทำให้ปลายฉัตรทั้งหงุดหงิดและอึดอัดใจ เสียสมาธิ ทำงานไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ ปลายฉัตรตัดสินใจชวนไตรภูมิมาที่บ้าน เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักเขา และเลิกระแวงกันเสียที

ในระหว่างที่ปลายฉัตรหาทางชวนไตรภูมิไปบ้าน เธอกลับสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่เธอเคยมองข้ามไป ไม่ว่าจะเป็นสีผิวที่ขาวซีดจนผิดมนุษย์ เลนส์ตาที่ปรับเปลี่ยนสีได้ตามระดับความสว่างของแสง และเธอเริ่มเห็นชัดว่าเขาไม่เคยแตะต้องอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว อีกสิ่งสำคัญที่สร้างความแปลกใจให้เธอคือ ไตรภูมิมีสมบัติที่ถูกขุดค้นพบจากถ้ำมังกรอมตะรวม ๑๑๖ ชิ้น ขาดเพียงชิ้นสุดท้ายที่เขาพยายามตามหาจากทุกมุมโลก แต่ยังไม่มีวี่แววนั่นคือ “กฤชมังกร” อาวุธโบราณที่มีตำนานเล่าว่าสามารถใช้ปราบปีศาจ ซาตาน สิ่งชั่วร้ายที่แฝงมาในร่างมนุษย์ รวมทั้งผีดูดเลือด !

ปลายฉัตรเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆที่เธอได้ฟังมาจากสิงห์ รวมกับสิ่งที่เธอเห็นในบ้านของไตรภูมิ ทำให้เธอเริ่มหวาดหวั่น ไตรภูมิสามารถสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่ผิดปกติและแววตาหวาดระแวงความ กลัวที่ทิ่มแทงหัวใจที่เคยเย็นชาให้ต้องเจ็บปวด ไตรภูมิจึงตัดสินใจเอ่ยปากขอไปพบกับครอบครัวของเธอด้วยตัวเอง โดยอ้างว่าต้องการทำความรู้จักกับผู้ร่วมงานมากขึ้น

การมาเยือนของไตรภูมิสร้างความตื่นเต้น และตื่นตระหนกให้กับเฉิด ฉิ่ง และสิงห์ เป็นอย่างมาก ทั้งสามคนเตรียมพร้อมรับมือด้วยสารพัดเครื่องรางของขลังไม่ว่าจะเป็นไม้ กางเขน น้ำมนต์ กระเทียม แสงสว่าง รวมไปถึงเทียนพรรษาขนาดใหญ่ แต่ไม่มีอะไรทำร้ายไตรภูมิได้แม้แต่อย่างเดียว สร้างความสับสนให้ทั้งสามคนเป็นอย่างมาก การมาของไตรภูมิครั้งนี้ทำให้ปลายฉัตรวางใจเขามากขึ้น เธอเลือกที่จะมองข้ามความประหลาดทั้งหลาย และเชื่อว่าเขาคือ คนธรรมดา ที่บังเอิญร่ำรวย และหน้าตาดี ต่างจากไตรภูมิ .. หลังจากที่เขาได้รู้จักครอบครัวของปลายฉัตรมากขึ้น เขาได้ค้นพบความน่ารัก มีเสน่ห์ และความสวยงามของจิตใจที่แฝงอยู่ในตัวเธอมากขึ้น มันทำให้เขารู้ว่าเธอ.. เป็นคนพิเศษ สำหรับเขา

ไตรภูมิกลับจากการรับประทานอาหารกับครอบครัวปลายฉัตรพร้อมกับความสุข แต่มันเป็นความสุขเพียงชั่วครู่ ที่มลายหายไปทันทีที่เขาได้พบกับแขกที่ไม่มีรับเชิญ...

จิตต์ (อนุวัฒน์ นิวาตวงศ์)น้องชายของ พระเวท (ตฤณ เศรษฐโชค) พ่อ ของไตรภูมิ นักล่าสมบัติผู้ช่ำชอง นักสะสมของเก่าที่มีทรัพย์สมบัติมหาศาล มหาเศรษฐีที่มีชีวิตอยู่ในด้านมืด ไม่เปิดตัว ไม่ออกงานสังคม เสวยสุขอยู่กับเงินทองที่ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด จิตต์มา พร้อมกับ ราม ลูกชายเจ้าอารมณ์ ลูกพี่ลูกน้องคู่แข่งตลอดกาลของไตรภูมิ

ทั้งสองคนมาเพื่อถามหา “กฤชมังกร” สมบัติชิ้นที่ ๑๑๗ ของถ้ำมังกรอมตะ จิตต์ใช้เวลาเนิ่นนานตามหาอาวุธโบราณล้ำค่า แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ถึงแม้ไตรภูมิจะบอกตามจริงว่ามันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่ไร้ผล รามออกคำสั่งให้ มายามือขวาผู้ซื่อสัตย์ หญิงที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อได้อยู่เคียงข้างเขา และ คีรีกับ พาลี สมุนหนุ่มผู้ไม่กลัวตาย ทำการรื้อ ค้น และพังทุกอย่าง เพียงเพื่อหากฤชมังกรให้เจอ แต่อินทร์ กร และกัณฑ์ ไม่ยอม จึงเกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างดุเดือด ส่วนจิตต์หายตัวไป
การต่อสู้เกิดขึ้นในบ้านขนาดกว่า ๑๐ ไร่ของไตรภูมิ ความรวดเร็ว พลังมหาศาล และการเคลื่อนไหวที่ว่องไวเกินมนุษย์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสี และไม่มีวันสู้กันชนะ นอกจากจะสร้างความบาดเจ็บ ให้กับฝ่ายตรงข้าม จนปางตาย ในขณะที่มายาเป็นฝ่ายได้เปรียบกำลังจะทำร้ายอินทร์ ไตรภูมิรีบเอาตัวเข้าไปรับแทน ทำให้รามได้ทีรีบเข้าซ้ำจนไตรภูมิกระอักเลือด รามกำลังจะซ้ำอีกครั้ง เสียงของ ปลายฉัตร’ ก็ดังขึ้น ทุกสายตาหันมาที่หญิงสาวมนุษย์เพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางการต่อสู้

ภาพที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ปลายฉัตรถึงกับชอค การต่อสู้ดุดันราวกับสัตว์ป่า สภาพแผลที่เหวอะหวะ รวมไปถึงหน้าตาและรูปร่างที่ผิดเพี้ยนไปจากคนปกติ ตอกเข้าที่สมองจนมึนทำให้เธอแน่นิ่งเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ไปชั่วขณะ มายาได้สติก่อนทุกคน เธอพุ่งเข้าไปหมายจะทำร้ายปลายฉัตร แต่ไตรภูมิรีบทะยานเข้าคว้าตัวเธอและพาเหาะหนีไป ก่อนที่จะได้รับอันตราย

ปลายฉัตรยังอยู่ในอาการนิ่งอึ้ง ตะลึงงัน กับภาพที่เห็น ถาดขนมที่นำมาให้ไตรภูมิยังคาอยู่ในมือ และยิ่งชอคหนักเมื่อรู้ตัวว่ากำลังลอยอยู่กลางอากาศในอ้อมกอดของไตรภูมิ ผู้ชายที่เธอจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนปกติเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา...

การต่อสู้ที่ดุเดือดมีอันต้องยุติก่อนจะรู้ผลแพ้ชนะ รามสั่งให้มายา คีรี และพาลี ถอนกำลังกลับ เขารู้ว่าตอนนี้ไตรภูมิมีจุดอ่อนที่เขาคาดไม่ถึง และเขาต้องรู้ให้ได้ว่าหญิงสาวที่กลิ่นเลือดหอมหวานที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ กลิ่นมาคือใคร ไตรภูมิพาปลายฉัตรมาอยู่ในที่ที่ปลอดภัย และห่างไกลจากผู้คน เพื่อเปิดเผยความจริงทุกอย่างให้เธอรับรู้ ความจริงที่ปกปิดเขาจากโลกภายนอกมานานกว่า ๔๑๒ ปี สิ่งแรกที่เขาบอก คือสิ่งสุดท้ายที่เธออยากได้ยิน...

ไตรภูมิยอมรับว่าเขาคือ “ผีดูดเลือด” อมนุษย์ที่ดื่มเลือดคนเป็นอาหาร แต่เขายืนยันว่าไม่เคยฆ่าเหยื่อแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้นการตายที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับเขา สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงสิ่งเดียวคือตามหาสมบัติที่พ่อเคยล่วงล้ำเข้าไปนำ ออกมาจากถ้ำมังกรอมตะเพื่อนำไปคืนไว้ที่เดิม ปลายฉัตรยอมรับความจริงได้ และรับปากจะช่วยไตรภูมิ

รามให้มายามาหาอโน เพื่อนัดปลายฉัตรมาเจอ รามพยายามจะหลอกถามเรื่องไตรภูมิและสมบัติ แต่ปลายฉัตรหลบเลี่ยงและขอตัวกลับบ้าน ปลายถามไตรภูมิจนรู้ว่ารามเป็นผีดูดเลือดและเป็นศัตรูคู่อริ พยายามบอกให้อโนอย่าติดต่อ แต่อโนไม่เชื่อ ยังไปหารามที่บ้านด้วย มายาก็เลยแกล้งให้ไปเจอรามในจังหวะที่กำลังจัดการกับเหยื่อพอดี ทำเอาอโนช็อค รามตกใจ เงยหน้ามาพร้อมกับเลือดแดงเต็มปาก พาลี กับ คีรี รีบพุ่งมาที่อโนอย่างเร็ว ท่ามกลางความสะใจของมายา

อโนทั้งช็อคทั้งกลัวทั้งโกรธที่โดนมายาหลอก และรู้ทันทีว่ามายาใช้วิธีนี้กำจัดตัวเอง อโนขอร้องรามให้ไว้ชีวิตและบอกว่าจะยอมทำทุกอย่างให้ตามต้องการ รามเห็นว่าอโนยังมีประโยชน์ จึงยอมไว้ชีวิต มายาไม่พอใจ ราไม่สนใจ ปล่อยอโนกลับ และสั่งให้คีรีเป็นคนควบคุมอย่างใกล้ชิด ปลายฉัตรมาบ้านสิงห์เพื่อจะเตือนอโนอีกครั้ง แต่อโนไม่สนใจฟัง ทั้งยังอยากมีพลังอย่างผีดูดเลือด อโนอยากเป็นคนสำคัญของราม จึงขอเป็นผีดูดเลือด รามยินยอมเพราะต้องการคนช่วยกำจัดไตรภูมิ ประกอบกับเห็นว่าอโนว่าง่าย รามถ่ายทอดความเป็นผีดูดเลือดให้อโนท่ามกลางความไม่พอใจของมายา
อโน กลายเป็นผีดูดเลือด ไม่ยอมกลับบ้าน สิงห์ออกตามหาด้วยความเป็นห่วง ดอนเจออโนและสะกดรอยตามจนรู้ว่าอโนเป็นผีดิบ แต่ถูกคีรีกับพาลีฆ่าตายเสียก่อนที่จะไปบอกสิงห์ รามบอกให้อโนบอกว่าไตรภูมิเป็นคนทำ ไม่อย่างนั้นจะฆ่าสิงห์ ทำให้อโนจำใจต้องโกหก

สิงห์ไปหาปลายฉัตรบอกว่าไตรภูมิฆ่าดอน ปลายฉัตรปกป้องไตรภูมิว่าไม่ได้ฆ่าแน่นอน สิงห์ทะเลาะกับปลายฉัตรถึงขั้นตัดเพื่อน อโนเห็นแล้วเสียใจ จะบอกความจริงสิงห์ แต่รามไม่ยอม

อโนไม่เชื่อฟัง รามสั่งให้มายาฆ่าทิ้ง มายาดีใจมาก แต่อโนอาศัยความไวหนีไปได้ ไปขอให้ไตรภูมิกับปลายฉัตรช่วย ปลายฉัตรให้อโนมาอยู่ในบ้านไตรภูมิ อโนโทรบอกความจริงสิงห์เรื่องการตายของดอน สิงห์จึงมาขอโทษปลายฉัตร

ระหว่างที่อโนอยู่บ้านไตรภูมิ ก็เริ่มชอบไตรภูมิ อโนแสดงออกนอกหน้าจนปลายฉัตรเริ่มหึง แต่ไตรภูมิขำและชอบใจ อโนทำหนักขึ้นจนปลายฉัตรหึงกลับบ้านไป ร้อนถึงอินทร์ต้องให้คนตามไปเรียกปลายฉัตรกลับมาทำงานต่อ จิตต์ไม่พอใจที่รามปล่อยอโนไป จิตต์สั่งให้เก็บอโนและไม่พอใจที่เรื่องผีดูดเลือดเป็นเรื่องสาธารณะใครๆก็ รู้ จิตต์บอกให้รามจัดการอโน ตัวเองจะไปจัดการปลายฉัตร จิตต์อาละวาดจะฆ่าปลายฉัตรกับแม่ ทุบผนัง ทำลายบ้านจนแหลกราญ

ทำให้พบกฤชมังกรที่พ่อของปลายฉัตรซ่อนไว้ในผนัง จิตต์พยายามจะชิงกฤชมังกร ปลายฉัตรสู้เต็มที่ สุดท้ายสามารถใช้กฤชมังกรฆ่าจิตต์ได้ รามรับรู้การตายของพ่อด้วยความแค้น และวางแผนที่จะแก้แค้นครั้งใหญ่

บทสรุปของรักไม่มีวันตาย ความรัก ความแค้น ชีวิตอมตะ จะลงเอยอย่างไร ต้องตามชมตามลุ้นกันดูนะจ๊ะ



นักแสดงนำละคร
โดม-ปกรณ์ ลัม รับบทเป็น ไตรภูมิ / ไตร
พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ รับบทเป็น ปลายฉัตร / ปลาย
แน็ก-ชาลี ไตรรัตน์ รับบทเป็น สิงหา
กันต์ กันตถาวร รับบทเป็น ราม
เอมิกา เกรซ บูเฮอร์ รับบทเป็น มายา


บทประพันธ์ สรัยรารัญ-ณัฐิยา ศิรกรวิไล
บทโทรทัศน์ ณัฐิยา ศิรกรวิไล
กำกับการแสดงโดย พีรพล เธียรเจริญ
ดำเนินงานสร้างโดย อรพรรณ วัชรพล บริษัทโพลีพลัสเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด

เคหาสน์สีแดง ตอนที่ 3

ตอนที่ 3

ระหว่างหลบไปที่บ้านพนาเวส อารยาปรารภกับวัฒนาว่าที่จริงไม่อยากทำอย่างนี้เลย แต่ไม่อยากเห็นหน้ารุจ วัฒนาคาดว่าเขาคงโกรธ แต่ก็พึมพำว่า

"คุณรุจจะรู้ตัวไหมว่าพอเขาก้าวเข้ามาในเคหาสน์สีแดงแห่งนี้ ชีวิตคนคนหนึ่งก็ไร้ความสุขทันที"

ที่บ้านรุจิโรจน์ รุจต้อนรับแขกพิเศษอย่างดีเยี่ยม โดย เฉพาะกับภคินี เขาถามอย่างห่วงใยในสุขภาพของเธอ แนะนำให้ออกกำลังกาย เขาอบอุ่นอ่อนโยนจนภคินีหัวใจหวั่นไหว เมื่อลากลับเธอหวังว่าเราคงได้พบกันอีก รุจตอบอย่างอ่อนโยนว่า

"ครับ รุจิโรจน์พร้อมต้อนรับภคินีเสมอ เชิญมาอีกเมื่อมีโอกาส"

แต่พอส่งแขกแล้วเท่านั้น สีหน้าที่ยิ้มแย้มอ่อนโยนของเขาก็กลับกลายเป็นเครียดเมื่อนึกถึงอารยา เดินจ้ำกลับมาคาดคั้นกับแม่พินว่าอารยาไม่ได้ยินที่นายสุขไปเรียกหรือ แม่ทั้งสามเชื่อไหม

แม่พิน แม่ละม่อม และแม่พร้อมต่างลำบากใจแต่ก็พยายามพูดปกป้องอารยาว่าไม่ได้ยิน รุจบอกว่าเดี๋ยวเธอกลับมาตนจะเป็นคนถามเอง ทำเอาแม่ทั้งสามหน้าจ๋อย ตกเย็นก็พากันไปดักรออารยาที่ท่าน้ำ

อารยากำลังจะกลับพอดี เธอปรารภกับวัฒนาว่าไม่รู้จะโดนพวกป้าๆเอ็ดรึเปล่าเพราะพอทำอาหารเสร็จก็หนีมานี่เลย วัฒนาคาดว่าป้าพร้อมอาจจะโกรธ แต่อีกสองป้าจะมาโกรธเธอเรื่องอะไร

"ป้าทุกคนพร้อมจะโกรธคนที่คุณรุจโกรธ" อารยาพูดหน้าเจื่อนๆ

ooooooo

พอกลับมาถึงท่าน้ำบ้านรุจิโรจน์ อารยาก็ถูกแม่ทั้งสามรุมกันถาม รุมกันต่อว่าที่ทิ้งพวกตนไป อารยา รีบขอโทษ แม่ละม่อมบอกว่าไม่ต้องขอโทษแต่วันหลัง จะทำอะไรคิดให้ดีก่อนว่าทำถูกต้องเหมาะสมไหม

แม่พินตัดบทว่าให้อารยาไปฟัง รุจถามเองดีกว่า เธอปฏิเสธอย่างเร็วว่าตนไม่อยากฟังขอไม่พบคุณรุจ เลยถูกแม่พินเตือนสติว่า

"คุณน้อย คุณหนูเป็นผู้ปกครองคุณน้อย ไม่ฟังวันนี้วันต่อๆไปก็ต้องฟัง" แต่พออารยาจะเดินไป แม่พินก็เรียกไว้ ถามอย่างมีเจตนาว่า "คุณน้อยไม่ได้ยินที่นายสุขเรียกใช่ไหมคะ"

แม่พินถามนำจนถูกแม่ละม่อมเรียกปราม แต่แม่พินก็ยังตามไปยืนประจันหน้าอารยา จ้องตาย้ำ

"ไม่ได้ยินใช่ไหมคะคุณน้อย ไม่ได้ยินอะไรเลย"

เมื่ออารยาไปพบรุจที่ห้องทำงานของเขา รุจบอกว่าวันนี้เธอตั้งใจขัดคำสั่งเขา ทั้งที่เธอเป็นคนพูดเองว่ามีอะไรให้บอก อารยายืนยันว่าตนไม่ได้ตั้งใจจะขัดคำสั่งเขา แต่ไม่ได้ ยินนายสุขเรียกจริงๆ

"ถ้าอย่างนั้น ฉันจะลงโทษเธอ ต่อไปนี้ให้เธอมารับประทานกับฉันทุกมื้อ จนกว่าฉันจะไปทำงาน" อารยาทำเสียงประหลาดใจว่าทุกมื้อ? เขายืนยันว่า "หลังจากอาทิตย์หน้าที่ฉันไปทำงานแล้ว ยกเว้นแค่มื้อที่ฉันไม่ได้รับทานที่บ้าน สรุปคือ ทุกมื้อที่ฉันอยู่บ้าน เข้าใจที่ฉันสั่งเธอหรือไม่ จะทำตามคำสั่งหรือไม่"

"เข้าใจค่ะคุณรุจ ทุกมื้อที่คุณอยู่บ้าน" อารยาฝืนใจพูด เดินไปถึงประตูก็หันกลับมาถาม "ในเมื่อคุณอยากทานอาหารคนเดียว ทำไมคุณถึงให้ดิฉันร่วมโต๊ะ" แต่เขาทำหูทวนลมก้มหน้าอ่านหนังสือซะงั้น จนอารยาต้องเดินออกไปอย่างกดดันมาก

เดินผ่านรูปอัมพาที่แขวนอยู่ อารยาหยุดมองรูปแม่พูดกับรูปอย่างอัดอั้นว่าไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับการอยู่บ้านนี้โดยไม่มีแม่ บอกรูปแม่เสียงเครือว่า

"น้อยไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงใจร้าย แต่น้อยก็จะอดทน อย่างที่แม่ขอน้อยไว้"

อารยาไม่รู้ว่ารุจมายืนฟังเงียบๆอยู่ข้างหลัง พอหันมองเขาหน้านิ่งสนิทแล้วเดินผ่านไป เธอใจหายวาบ แล้วก็โล่งใจที่ไม่มีเรื่อง

ooooooo

จนถึงเวลาอาหารเช้า อารยามานั่งตามคำสั่ง เธอทำท่าจะพูดอะไรแล้วไม่พูด พอเขาถามเธอบอกว่าต้องขอโทษที่ไม่อาจทำตามคำสั่งให้มาร่วมทานอาหารกับเขาได้ เขาขอเหตุผล เธอตอบกลัวๆกล้าๆ

"เพราะดิฉันไม่คิดว่าคุณอยากให้ดิฉันร่วมโต๊ะ พอๆกับที่ดิฉันก็ไม่สบายใจที่จะร่วมโต๊ะกับคุณรุจ"

"คำสั่งก็ต้องเป็นคำสั่งอยู่ดี ไม่ว่าเธอจะสบายใจหรือไม่สบายใจ ถ้าเธอไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องหนีหน้าฉัน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรไม่ใช่หรือ" ถามจ้องหน้าเหมือนจะให้ตอบ แต่พอเธอทำท่าจะพูด เข้าก็ตัดบท "และฉันไม่ต้องการให้มีการโต้เถียงระหว่างเวลารับประทานอาหารอีก"

อารยาลุกพรวดอย่างสุดที่จะทนกับการกดดันได้ แต่เขาก็ยังคงนั่งทานอาหารไม่สนใจอะไรเลย

หลังจากอารยาไปเก็บมะลิเสร็จ ขุนประจญคดีมาถึงพอดีถามหารุจ เธอบอกว่าไม่ทราบ เห็นสีหน้าเธอไม่ดีท่านเดาได้ว่าไม่สบายใจเรื่องอะไร ปลอบใจว่า

"คุณน้อย คนเราไม่เคยอยู่ด้วยกัน ต้องปรับตัว คุณหนูไม่มีอะไรน่ากลัวมากหรอก เชื่อลุง" เมื่อเธอรับคำ ท่านย้ำ "เชื่อลุง... เหมือนที่ลุงเชื่อมั่นในตัวคุณน้อย" อารยายกมือไหว้ ท่านมองอย่างเห็นใจ

เคหาสน์สีแดง ตอนที่ 2

ตอนที่ 2

ด้วยความรู้สึกที่อ้างว้าง อารยาพายเรือไปบ้านพนาเวสที่อยู่ใกล้กัน เธอสนิทสนมกับชาลีที่โตมาด้วยกัน แต่เวลานี้เขากำลังจะจบเป็นเรือตรีแล้ว อีกทั้งทุกคนในบ้าน ทั้งคุณนายพนาเวสและวัฒนา

พี่สาวของชาลีก็เอ็นดูเธอเหมือนคนในครอบครัว

หลังจากเล่าความอัดอั้นให้ฟังแล้ว ชาลีบอกว่าถ้าอยู่ที่บ้านรุจิโรจน์ไม่ได้ก็ให้มาอยู่ที่พนาเวสด้วยกัน อารยาขอบคุณ รำพึงรำพันถึงแม่ คร่ำครวญว่าอยากตายตามแม่ไป

ชาลีปลอบจนค่อยคลายหายโศก จึงพายเรือมาส่งที่ท่าน้ำบ้านรุจิโรจน์

รุจเริ่มทำงานแล้ว เมื่อเขาอยู่กับคนไข้ เขามีมนุษยสัมพันธ์ ดีเยี่ยม มีน้ำใจมีเมตตา จนคนไข้ทุกคนรักมาก แต่แล้วเขาก็ต้องกลับกรุงเทพฯ เมื่อขุนประจญคดีมาแจ้งว่าอัมพาเสียชีวิตแล้ว เขาจำเป็นต้องกลับไปเป็นประมุขของรุจิโรจน์

วันต่อมา อารยาก็ได้รับโทรเลขจากขุนประจญคดีว่ารุจจะกลับบ้านรุจิโรจน์สัปดาห์หน้า

พอแม่ทั้งสามได้ข่าวพากันดีอกดีใจ อารยาพลอยยิ้มดีใจไปด้วย

ระหว่างที่รุจนั่งรถไฟกลับ เจอกับภาคินัยที่กำลังเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อไปทำธุระ ทั้งสองจึงนั่งมาด้วยกันจนถึงสถานีหัวลำโพง เจอเสาวรสมารับ รุจจึงแนะนำให้เธอรู้จัก กับภาคินัยว่า เขาอยู่เชียงรายเป็นเจ้าของไร่ยาสูบ เสาวรสสนใจ มากชมกับรุจขณะไปนั่งดื่มน้ำชากันว่า ท่าทางโก้ดีแต่เสียดายอยู่บ้านนอก ถามรุจว่าเขาจะไปไหนต่อ เขาบอกว่ากลับบ้าน เธอถามอย่างตื่นเต้นว่าบ้านอยู่แถวไหน สาทรหรือสีลมละแวกบ้านตนหรือเปล่าจะได้กลับด้วยกัน

"บ้านผมอยู่ปากน้ำ" รุจตอบนิ่งๆ เสาวรสทำหน้าผิดหวัง บ่นว่าบ้านนอกจัง ถามว่าบ้านที่กรุงเทพฯไม่มีหรือ

เมื่อเธอกลับถึงบ้าน ยังบ่นกับพ่อว่ารุจไม่มีบ้านในกรุงเทพฯ ตอนอยู่เมืองนอกก็สปอร์ตดี แต่ที่เมืองไทยเขาอยู่ถึงปากน้ำ บ้านนอกแท้ๆ ตนเห็นจะไม่ไหวด้วยแล้ว พ่อเธอฟังแล้วก็เออ ออห่อหมกกับลูกด้วย

ooooooo

ทุกคนที่เคหาสน์สีแดงพากันตื่นเต้นดีใจมากเมื่อรุจกลับถึงบ้าน ระหว่างนั้นอารยามองจากหน้าต่างชั้นบนลงมาไม่เห็นหน้าเขา จนเมื่อเขาจะเข้าชายคาเขาเงยหน้ามองขึ้นไปที่หน้าต่าง อารยาตกใจหลบแว้บใจเต้นระทึกเมื่อเห็นหน้าเขาเต็มตา! ใจสั่นหวิวครู่หนึ่งจึงบอกตัวเองว่าต้องไม่กลัวผู้ชายคนนี้

บรรดาแม่ทั้งสามตื่นเต้นดีใจมาก รุมกันถามว่าจำตนได้ไหม จนรุจต้องบอกว่าให้ถามทีละคน ทุกคนถามว่าจำตนได้ไหม รุจจำได้ทุกคน บรรยายแม่แต่ละคนละเอียดยิบ จนแม่ทั้งสามยิ้มแก้มแทบปริ สุดท้ายเขาบอกว่า

"หนูจำได้ทุกอย่างยังปฏิบัติไม่เคยเปลี่ยน ขอเปลี่ยนอย่างเดียวขอไม่เรียกตัวเองว่าหนูนะจ๊ะ"

แม่ทั้งสามร้องพร้อมกันอย่างเสียดายราวกับสูญเสียคุณหนูของตนไป

ooooooo

แม่พร้อมเตรียมทำอาหารเย็นให้คุณหนูของตนทานพร้อมคุณน้อย อารยาแอบได้ยินทำหน้าสยองส่วนรุจสีหน้าเรียบเฉย แม่ละม่อมบอกว่าห้องนอนของเขาอยู่ที่ห้องเดิมของคุณพ่อ กำชับว่า

"เข้าห้องต้องล้างมือก่อนนะคะ แล้วไปห้องพระไหว้พระเรียนคุณพ่อด้วยว่ากลับมาแล้ว ต่อไปนี้จะไม่ไปไหนอีก"

"ขอพวงมาลัยพวงหนึ่ง ฉันจะไหว้พระ" รุจบอกแล้วเดินขึ้นบันได อารยาที่กำลังชะโงกแอบดูอยู่ถอยหลบแทบไม่ทัน

ระหว่างขึ้นบันได เขานึกถึงอดีตที่พ่อบอกให้เขาย้ายไปนอนห้องแม่และจัดห้องของเขาให้น้องคนใหม่ ซ้ำยังไม่ให้เอาเจ้าเงาะลูกสุนัขขนปุกปุยไปอยู่ด้วยอ้างว่าเสียงดังน่ารำคาญ เวลานั้นเขาสะอื้นในอกถามพ่อว่าทำไมถึงฟังเสียงหมาของตนไม่ได้ แล้วทำไมเสียงเด็กเล็กๆ ลูกของอัมพาคุณพ่อถึงทนฟังได้

และแม้วันนี้ 15 ปีผ่านไป ความคับข้องใจของเขาก็มิได้ลดหย่อนผ่อนเบาลงเลย ยังฝังใจว่าอัมพากับลูกมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากเขาไป บอกแม่ละม่อมที่พาขึ้นห้องไปว่า เกลียดทั้งแม่ทั้งลูก เกลียดเด็กคนนั้น

ooooooo

เมื่อขึ้นไปที่ระเบียงดาดฟ้า เจออารยาในชุดดำยืนอยู่ เขาจำได้ว่าคือหญิงสาวที่โต้เถียงกับเขาอย่างเผ็ดร้อนที่บางปู เธอหันมาไหว้เอ่ยเสียงอ่อน เชิญให้ตรวจดูบ้านให้ทั่วและขอโทษเขาสำหรับวันนั้นที่บางปู เขาบอกว่าไม่จำเป็นต้องพูดถึง ตนไม่ได้สนใจจะจำ แล้วเดินจากไปทันที

อารมณ์พลุ่งพล่านทำให้เขาไม่รู้ว่าอารยาเดินตามมา จนเขาไปหยุดยืนดูรูปที่แขวนอยู่นานจนเธอเอ่ยขึ้นว่า

"คุณได้ยืนดูอยู่นาน...มันถูกแขวนอยู่ตรงนี้นานแล้ว ด้วยคำสั่งของคุณลุงท่าน เอ้อ...คุณพ่อของคุณ แต่...ดิฉันจะปลดลงค่ะ"

"ไม่จำเป็น ปลดลงก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไปได้" น้ำเสียงเขาเย็นชาประชดในทีจนอารยานิ่งงัน

ทันใดนั้นชาลีมาร้องเรียกที่ท่าน้ำ อารยาหันมอง ชาลีบอกว่าอาหารพร้อมแล้วทุกคนคอยเธออยู่คนเดียว รุจได้ยินเดินมาดูที่ระเบียง ชาลีหยุดกึก รุจมองอย่างไม่ชอบใจถามว่านั่นเป็นใคร

อารยาบอกว่าชื่อชาลีเป็นเพื่อนบ้านกับเรามาตั้งแต่เด็ก วันนี้มีนัดทานข้าวเย็นกัน แล้วขออนุญาตเขาจะไปบอกชาลีว่าไม่ไปแล้ว รุจขัดขึ้นทันทีว่า


"ไม่จำเป็น วันแรกที่กลับมาเมืองไทย ฉันอยากจะทานอาหารคนเดียว" พูดแล้วเมินไปทางอื่น จนอารยานิ่งอึ้ง

เมื่ออารยาลงไปหาชาลี ทั้งสองพูดอะไรกันสองสามประโยค ชาลีเงยหน้าขึ้นมองแล้วพายเรือจ้ำพรวดไปอย่างเร็ว

รุจยืนมองตามเรือลำนั้นไปด้วยสายตาเหยียดหยัน

ooooooo

คืนนี้รุจเข้าไปในห้องพระ จุดธูป 3 ดอก ไหว้พระ และวางพวงมาลัยที่หน้าโกศกระดูกของบิดาบอกกล่าวว่า

"คุณพ่อครับ ผมกลับมาแล้วครับ รุจิโรจน์ยังเหมือนเดิม เหมือนเมื่อวันที่ผมจากไป ผมขอโทษที่ทิ้งคุณพ่อไปนานมาก แต่ถึงอย่างไร ผมทราบว่าคุณพ่อก็มีความสุขดี"

แม่ละม่อมกับแม่พินที่อยู่ด้วยมองหน้ากัน แม่ละม่อมติงเบาๆว่าอย่าพูดอย่างนั้นกับคุณพ่ออีกรู้ไหม เพราะว่า...

"ถ้านับวันที่คุณพ่อทุกข์เพราะคิดถึงคุณหนู แม่ม่อมยืนยันว่า มีมากกว่า...มากกว่าวันที่คุณพ่อมีความสุขอย่างที่คุณหนูคิด"

รุจแย้งทันทีว่าไม่จริง อย่ามาพูดหลอกกัน ตนรู้และเข้าใจเรื่องชีวิตดี พูดเสียงเครือน้อยๆว่า

"เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะมีความหมายอะไรกับผู้ชายที่ยังมีเลือดเนื้อ มีความเหงามีความต้องการ"

แม่พินติงว่าอย่าพูดดูถูกคุณพ่ออย่างนั้น รุจสวนไปว่าตนเข้าใจทุกอย่าง ตนไม่โทษใคร แต่จะห้ามตนรู้สึกโกรธ รู้สึกเสียใจ รู้สึกผิดหวังนั้นห้ามไม่ได้ แม่พินพยายามแก้ต่างให้เจ้านายแต่รุจไม่อยากฟัง แม่ละม่อมจึงขัดขึ้นว่ายังไงตน

ก็ต้องพูดเพราะคุณหนูเข้าใจผิดมา 15 ปี คิดว่าท่านไม่รักแต่รักคนอื่นมากกว่า

แม่พินเห็นบรรยากาศอึดอัด ตัดบทว่าเราไม่น่าพูดกันในวันแรกที่คุณหนูกลับมา เอ่ยขอโทษเขา

เมื่อสองแม่กลับไปที่ห้องนั่งเล่นของตัวเอง ยังปรารภกันด้วยความกังวลกับความฝังใจของรุจ เกรงว่าทุกอย่างจะไปลงที่อารยาคนเดียว

"อย่าเพิ่งลงโทษคุณหนูของฉัน รอดูไปก่อน คุณน้อยน่ะ ต่อให้คนที่ใจแข็งเป็นเหล็กยังไงก็ต้องอ่อนเมื่อพบเธอ" แม่พินมั่นใจในความเพียบพร้อมที่เป็นเสน่ห์ของอารยาจะเอาชนะใจรุจได้

ooooooo

ชาลีรับอารยาไปถึงบ้านพนาเวส เล่าเรื่องที่เจอรุจให้แม่กับพี่สาวฟัง ทั้งสองจำรุจได้ วัฒนาพูดแหยงๆว่าตอนเด็กๆมาเล่นกันเจอนัยน์ตาคมกริบของเขาทีไรตนกลัวจนบอกไม่ถูกทุกที

หลังทานข้าวเย็นแล้ว เกือบสามทุ่ม ชาลีจึงพายเรือไปส่งอารยาที่บ้านรุจิโรจน์ ย้ำกับเธอว่าถ้าไม่สบายใจอะไร คนแรกที่เธอต้องบอกคือตัวเขา อารยาให้สัญญาด้วยความเต็มใจที่สุด

เมื่อมาถึงท่าน้ำบ้านรุจิโรจน์ ทั้งคู่หยอกล้อกันเล็กน้อยประสาคนสนิทที่เคยเล่นด้วยกันมาแต่เด็ก หารู้ไม่ว่ารุจมอง

อยู่ที่ข้างบน เขาเขม้นมองอย่างไม่พอใจ

เมื่ออารยาเดินเข้าตัวตึก ทันใดนั้น มีเสียงโทรศัพท์

ดังขึ้น เธอจะไปรับสาย เขาบอกว่าไม่ต้องแล้วเดินไปรับเอง

ปรากฏว่าเป็นสายจากเสาวรส ทักทายกันอย่างหวานหยดย้อย รุจนัดว่าสัปดาห์นี้จะไปหาเพราะสัปดาห์หน้าเขาจะเริ่มทำงานแล้ว

คุยโทรศัพท์เสร็จ เสาวรสเดินตามหาพ่อ ไปเจอพ่อกำลัง นัวเนียอยู่กับนวลสาวใช้วัยขบเผาะ เสาวรสโกรธจี๊ด ตบตีนวล จนสลบหาว่ามาให้ท่าพ่อหวังกอบโกย

พระศัลยแพทย์พิสุทธิ์เป็นคนกลัวลูกจนหงอ พอเสาวรสเดินไปจึงรีบโผเข้าไปดูแลนวลที่สลบอยู่ หลังจากนั้นพระศัลย์ฯโอ๋ลูกว่าไม่เคยเห็นใครดีกว่าลูกเลย แต่พอเอ่ยถึงแม่ เธอตัดบททันทีว่าไม่อยากฟังเรื่องของเขา พูดอย่างเลือดเย็นว่า

"ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แม่ของใครทั้งสิ้น ต่อให้เขาไปมีลูกอีกกี่คนเขาก็ทิ้ง เพราะเขาไม่มีความเป็นแม่ให้ใครเลย"

ระหว่างนั้นนวลมาขอลาออก เสาวรสถามประชดว่าได้ไปเท่าไรแล้วล่ะ นวลบอกว่าตนไม่เคยได้อะไรเลยเสียอย่างเดียว พูดแล้วมองหน้าพระศัลย์ฯบอกเสาวรสว่า "ท่านรู้ดี" เสาวรสเริ่มรู้สึกผิดบอกพ่อว่าอย่าเพิ่งให้นวลไป

รุ่งเช้าเสาวรสเอาซองเงินให้พ่อฝากให้นวลด้วย พระศัลย์ฯ เดินออกไปครู่เดียวก็กลับมาบอกว่านวลไปแล้ว ส่วนตัวเองก็จะออกข้างนอกบอกเสาวรสว่าจะไปแสดงตัวเพื่อรับบำนาญ ถามลูกสาวว่านัดหมอรุจไว้รึเปล่า เธอบอกอย่างไม่ยี่หระว่า

"รุจยังไม่ใช่ชอยส์ในขณะนี้ค่ะ นอกจากหนูจะไม่มั่นใจเรื่องฐานะบ้านช่องของเขาแล้ว เขายังทำให้หนูโกรธมากตั้งแต่ เพิ่งกลับมา เพราะเขาทำเหมือนหนูไม่มีความหมาย"

"เขาเป็นรุจิโรจน์นะลูก รุจิโรจน์ตระกูลเก่าแก่...สมบัติมากมาย" พระศัลย์ฯติงเสียงอ่อน

ooooooo

คืนนี้ขณะที่อารยาเอาแจกันดอกไม้ไปวางที่หน้ารูปอัมพาและพูดคุยกับรูปแม่ระบายความอัดอั้นอยู่นั้น รุจมายืนฟังอยู่ เขาพูดเยาะเย้ยที่เธอคุยกับรูป แล้วถามว่าอัมพาแม่ของเธอคิดอย่างไรกับตน

"ท่านบอกว่าคุณรุจเป็นคนดี เนื้อแท้ของคุณรุจเป็นคนมีเมตตา และยุติธรรม ดิฉันไม่ทราบว่าทำไมแม่ถึงคิดอย่างนั้น ในเมื่อแม่ก็รู้ว่าคุณเกลียด..." พูดได้แค่นั้นเธอก็เสียงสั่นก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาเป็นริ้วจนพูดไม่ออก รุจยืนมองเฉย สุดท้ายบอกเธอไปได้แล้ว พออารยาไป เขากลับเป็นฝ่ายยืนอย่างครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น

รุ่งเช้า หลังจากใส่บาตรแล้ว อารยาเห็นสุคนธ์หลานสาวของแม่ละม่อมกำลังร่ำลาบรรดาแม่ๆ เธอบอกให้รอเดี๋ยวจะฝากเสื้อให้ไปช่วยใส่ด้วย ว่าแล้ววิ่งขึ้นไปที่ห้องเพื่อเอาเสื้อให้สุคนธ์และเอาเสื้อปักลายที่แม่พินวาดมาให้ดูด้วย พอวิ่งก็ชนเข้ากับรุจที่เดินอ่านหนังสือลงมาจนตัวเองเซรุจคว้าไว้เลยถลำเข้าไปในอ้อมอกเขา เธอขอบคุณเขาเสียงประหม่าถามว่า เจ็บไหม รุจนิ่งไม่ตอบเดินลงบันไดไปเลย

จนเข้าไปในห้องแล้วอารยายังใจเต้นไม่เป็นส่ำกับสัมผัสเมื่อครู่นี้ ต้องสะบัดหน้าไล่ความรู้สึกนั้นหยิบเสื้อที่จะให้สุคนธ์รีบลงไป เจอแม่พินถามหาเสื้อลายปักที่วาดให้ อารยาบอกว่าลืมแล้วจะวิ่งขึ้นไปเอา

"คุณน้อยไม่ต้องหรอกค่ะ คุณหนูคงคอยรับของเช้าอยู่แล้วค่ะ รีบไปเถอะ" แม่พินห้ามไว้

"น้อยไม่ไปหรอกค่ะ คุณรุจไม่ทานข้าวกับน้อยหรอกค่ะป้า เธอชอบรับทานคนเดียว"

กลายเป็นเรื่องทันที เมื่อแม่พร้อมกับแม่พินพูดกันอย่างไม่สบายใจว่าทำไมอารยาพูดอย่างนั้น แม่พินจะไปถามให้รู้เรื่อง รุจห้ามไว้บอกว่าไม่ต้องตามใครทั้งนั้น บอกแม่พินว่า

"ฉันขอห้ามเด็ดขาด ในเมื่อเขาไม่อยากมาทานกับฉันก็ไม่ต้องบังคับเขา และต่อไปนี้จัดให้ฉันทานข้าวคนเดียว" พูดแล้วยกกาแฟจิบ เห็นแม่พินขยับตัวเขาสั่งเสียงเข้ม "แม่พิน ฉันห้ามแล้วนะ"

ooooooo

สามแม่แอบไปต่อว่าอารยาจนได้ คาดคั้นถามว่ามีอะไรในใจกับรุจ รู้ไหมพูดอย่างนั้นทำให้คุณหนูของตนเสียใจ ทำไมถึงว่าคุณหนูชอบทานข้าวคนเดียว อารยานิ่งอยู่นานสุดท้ายบอกว่าตนทราบก็แล้วกัน

ความอึดอัดคับข้องใจทำให้อารยาไม่ไปเรียนทำขนมกับคุณแม่ของชาลี เมื่อชาลีมารับ เธอฝากเขาไปขอโทษด้วย แล้วเธอก็ไปหารุจที่ห้องหนังสือซึ่งเขาใช้เป็นที่ทำงานด้วย พรวดเข้าไปเลยถูกตำหนิว่าทำไมไม่เคาะก่อน เธอออกไปเคาะแล้วเข้ามาใหม่ รุจทำหน้าหน่ายถามว่ามีเรื่องอะไรให้รีบพูด เดี๋ยวท่านขุนประจญคดีจะมาพบด้วยเรื่องสำคัญกว่าเรื่องของเธอ

เมื่ออารยาถามเรื่องที่เขาบอกว่าอยากทานข้าวคนเดียว เขายอมรับว่าใช่ อารยาจึงเล่าอย่างอัดอั้นว่าพอตนบอกแม่ทั้งสามไปเช่นนั้น ก็ถูกตำหนิว่าทำในสิ่งที่ไม่สมควรกับคุณหนูของแม่เหล่านั้น รุจบอกให้เธอบอกไปเลยว่าเขาเป็นคนพูด อารยาเกี่ยงให้เขาพูด เธอพูดเสียงสั่นว่า

"คุณควรจะบอกว่าเป็นความประสงค์ของคุณ คุณควรจะพูดเอง เพราะแค่ดิฉันบอกเพียงว่าคุณชอบรับประทานอาหารคนเดียวดิฉันก็ยังโดนดุมากมาย ถ้าดิฉันบอกว่าคุณเป็นคนพูด แต่คุณไม่ยอมรับ ดิฉันจะโดนขนาดไหน"

"อย่างนั้นหรือ" รุจถามอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำให้ อารยายิ่งว้าวุ่นที่ทำอะไรเขาไม่ได้ รุจเห็นดังนั้นย้อนถามว่าเธอโมโหใครมา อารยาไม่หลงประเด็นย้ำถามว่าทำไมเขาไม่พูดเอง เขากลับก้มหน้าอ่านหนังสือ ทำให้อารยาเคว้งอยู่ตรงนั้น สุดท้ายต้องออกจากห้องไปเองอย่างกดดันมาก

ooooooo

ครู่ใหญ่ ขุนประจญคดีมาพบรุจ เอาเอกสารเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของบ้านรุจิโรจน์ รวม ทั้งทรัพย์สินอื่นมาให้เขา แจกแจงรายละเอียดแล้ววางโฉนดกับเอกสารทั้งหมดลงย้ำกับเขาว่าต้องดูด้วย

รุจไม่แยแสชวนว่าเดี๋ยวไปหาข้าวทานที่บางปูกันดีกว่า ขุนประจญคดีเริ่มหงุดหงิดเสียงเข้มขึ้น บอกให้เขาต้องดู ย้ำถึงความยากเย็นกว่าจะได้สมบัติเหล่านี้มาของบรรพบุรุษ อย่าดูถูกความเหนื่อยยากของท่านเหล่านั้น รุจจึงจำต้องไปเปิดตู้เซฟดู

ในตู้เซฟมีกล่องเครื่องเพชร เครื่องทองอยู่มากมาย แต่เปิดดูทุกกล่องว่างเปล่า รุจอารมณ์พลุ่งขึ้นทันที นึกถึงนายชิดที่มาแอบพบกับอัมพา และเสียงหัวเราะของอารยาที่หยอกล้อกับชาลีขึ้นมาทันที

เมื่ออารยากลับขึ้นมาที่หน้าตึก เจอรุจลงมาพอดี สายตาที่เขาจ้องเธอนั้นเหมือนจะให้ทะลุถึงหัวใจ ทีแรกอารยาก็หวั่นๆ แต่สุดท้ายเธอฮึดจ้องตอบทั้งยังถามว่า "ดิฉันทำอะไรผิดอีกหรือคะ"

รุจมีแววเยาะในสีหน้าแล้วจะเลี่ยงไป อารยาพรวดไปขวางไม่ยอมให้ไป ถามย้ำซ้ำๆว่า "ทำไม...ทำไมคะ...ทำไม คุณต้องบอกว่ามีเรื่องอะไรอีก" รุจสั่งให้หลีก เธอไม่ยอมหลีกจ้องหน้าเขาเขม็ง พูดเสียงแข็ง "ดิฉันไม่หลีก คุณยังไปไม่ได้"

ทั้งสองยืนจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

รุจปักใจเชื่อว่าของที่หายไปต้องเป็นฝีมือของอัมพาและอารยา เขายิ่งชิงชังแสดงความรังเกียจเหยียดหยาม เมื่ออารยาถามเขาก็บอกว่า ถ้าไม่ได้ทำอะไรปิดบังซ่อนเร้นไว้ก็ไม่ต้องทุกข์ร้อน

อารยาระบายความกดดันว่าตนอยู่ที่นี่เหมือนทำอะไร ก็ผิดไปหมดทั้งต่อตัวเขาและแม่ทั้งสาม เขาตัดบทว่าเธอจะทำอะไร เขาไม่เกี่ยว เราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวกันและไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอ พูดแล้วไล่ให้ไปได้แล้ว ทำให้อารยาหน้าจ๋อยเดินตัวลีบไป

วัฒนาพี่สาวของชาลีเห็นถึงความผิดปกติของอารยาถามว่าเป็นอะไร เมื่ออารยาเล่าให้ฟัง วัฒนาตั้งข้อสังเกตว่า หรือจะเป็นเรื่องสมบัติที่เขาระแวง เพราะเขาไม่รู้ว่าพ่อของเขาให้อะไรอารยาไว้บ้าง

ooooooo

เสาวรสอ่อยภาคินัยหวังจับปลาสองมือ ภาคินัยเริ่มพอใจในความฉอเลาะของเธอ แต่หลังนัดทานอาหารกันแล้วเขาจำต้องรีบกลับ เพราะมีธุระสำคัญจึงไม่ได้ไปส่งเธอที่บ้าน

แต่พอเสาวรสกลับถึงบ้านไม่นาน รุจก็ไปหาด้วยความคิดถึง เธอดีใจโผเข้าเบียดลูบไล้กอดหอมอย่างไม่แคร์กับสายตาใคร จากนั้นพากันไปเต้นรำที่บางปู แล้วพาเธอมาส่งที่บ้าน

พระศัลยแพทย์พิสุทธิ์ถือโอกาสเลียบเคียงถามถึงฐานะและการศึกษาของเขา เมื่อรุจกลับไปแล้วเสาวรสพึมพำอย่างกระหยิ่มใจว่า "รุจนั้นเป็นของตาย แต่ของตายอาจไม่ใช่ของที่ถูกเลือก"

"เขาเป็นทายาทตระกูลเก่าแก่นะลูก เป็นแพทย์อนาคตไกล ไม่ลองไปดูบ้านเขาที่ปากน้ำล่ะลูก"

"ไม่หรอกค่ะ ปากน้ำ...บ้านนอกอย่างนั้น คุณพ่อหวังว่าจะมีคฤหาสน์ใหญ่โตขนาดไหนคะ เขาไม่เคยชวนลูกไป นั่นไม่แสดงหรือคะว่าบ้านเขาต้องเก่าโทรมจนเขาอายไม่กล้าพาไป" เสาวรสยิ้มเหยียด

แต่เมื่อส่งเสาวรสแล้ว รุจโทรศัพท์สั่งแม่พร้อมให้เตรียมต้อนรับแขกพิเศษที่เขาจะพามาทานอาหารที่บ้าน กำชับว่าต้องเป็นอาหารฝรั่งด้วย

เกิดความวุ่นวายทันที เพราะแม่พร้อมทำอาหารฝรั่ง ไม่เป็น ครั้นตามหาอารยาก็ไม่รู้หายไปไหน สุดท้ายแม่พินตามไปเจอที่บ้านพนาเวส รีบพากลับมาทำอาหารฝรั่งตามคำสั่งของรุจ

อารยาทำอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานก็เสร็จทันเวลา มีสลัด น้ำสลัด พาสต้า ซอสครีม มันทอด และไก่อบ ทำเสร็จบอกลำดับการเสิร์ฟและพิธีตามธรรมเนียมฝรั่งแก่แม่พร้อมแล้วตัวเองก็รีบวิ่งออกไปจากบ้าน

เจอรุจพาแขกมาพอดี ตัวเขาไม่เห็นอารยา แต่ภาคินัย เห็นหลังเธอวิ่งไวๆไปทางท่าน้ำ

แขกพิเศษของรุจคือ ภาคินัยและภคินีนั่นเอง

รุจแนะนำแม่ทั้งสามแก่ภาคินัยและภคินี จากนั้นบอกแม่ละม่อมให้ไปตามอารยามาร่วมโต๊ะด้วย นายสุขคนรับใช้บอกว่าอารยาอยู่ในครัวแล้ว รุจเสียงเข้มว่า "แต่ตอนนี้อยู่ที่ท่าน้ำ" นายสุขวิ่งไปที่ท่าน้ำ เห็นอารยากำลังจ้ำพายออกจากท่าน้ำ เขาตะโกนเรียก เธอทำหูทวนลมเร่งฝีพายเร็วขึ้นไปอีก ปล่อยให้ นายสุขตะโกนโหวกเหวกอยู่ที่ท่าน้ำ

ooooooo

ปรากฏว่าอาหารอร่อยมากจนภาคินัยชมว่าแม่ ครัวที่นี่ฝีมือดีมาก มากจนอยากจะเห็นแม่ครัวเสียแล้ว ภคินีแซวพี่ชายว่าจะขโมยแม่ครัวที่นี่หรือ ภาคินัยถามหยอกรุจว่าได้ไหมครับ เขาตอบยิ้มๆว่ารอให้พบตัวก่อนแล้วค่อยตัดสินใจดีกว่า

ระหว่างไปนั่งเล่นที่ท่าน้ำ ภาคินัยถามรุจว่าอยู่คนเดียวหรือ เขาบอกว่ามีอีกคนหนึ่ง แต่วันนี้ไม่อยู่ ภาคินัยร้องอ๋อบอกว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อมาถึง ถามว่าน้องสาวเขาหรือ

รุจไม่ทันตอบอะไร แม่ทั้งสามก็พากันเดินตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยเข้ามาพร้อมขนมหวาน รุจแนะนำแม่ทั้งสาม ภาคินัยชม

ว่าอาหารอร่อยมาก แม่พร้อมขอบคุณ ยิ้มหน้าบาน แต่บอกว่าตนไม่ได้ทำเองหรอก พอจะบอกว่าใครทำ รุจก็ขัดขึ้นว่า

"เขาไม่อยู่ครับ...แม่จ๊ะขอบใจจ้ะ" แม่ทั้งสามรู้ใจ คุณหนูเลยพากันชักแถวกลับ รุจเลื่อนจานขนมเชิญชิมกัน

ooooooo

เคหาสน์สีแดง ตอนที่ 1

ตอนที่ 1

ณ เคหาสน์สีแดงคร่ำที่ดูขรึม ขลัง บัดนี้ยิ่งวังเวง เมื่อทั่วทั้งเคหาสน์มีแต่เสียงคร่ำครวญของรุจ เด็กชายวัย 6 ขวบ ที่พร่ำร้องเรียกแม่ อ้อนวอนแม่อย่าทิ้งตนไป โดยมีพลตรีพลแสนเสนีณรงค์ผู้เป็นบิดามองอย่างสะเทือนใจ

ก่อนที่แม่จะลาจากไป แม่มองไปที่พลตรีพลแสนฯผู้เป็นสามี เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาก่อนหลับตาแน่นิ่ง

"น้องลา...ฝากลูก..."

รุจซบหน้ากับตัวแม่ไม่มีเสียงใดๆนอกจากกายที่สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น...

นั่นคืออดีตเมื่อ 15 ปีก่อนที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำ

ที่เจ็บปวดของรุจ ซึ่งบัดนี้เขาคือรุจในวัย 20 เศษ นายแพทย์ ผู้มีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยมจากประเทศอังกฤษ เขากลับมาแล้ว และไปที่บางปู สถานที่แห่งความทรงจำในอดีตที่บิดาเคยพามาพักผ่อน

รุจน์ได้ยินเสียงเพลงเต้นรำ มีสาวๆหนุ่มๆเต้นรำกันอย่างเพลิดเพลินสนุกสนาน แต่เขามายืนที่สะพานสุขตา มองน้ำทะเลเบื้องล่าง คิดถึงวันที่บอกแม่ว่า...

"คุณแม่...รุจจะเรียนแพทย์ จะเป็นหมอ จะรักษาคนนะครับคุณแม่ จะช่วยคนไม่ให้เจ็บไม่ให้ตายนะครับ"

แม้ปณิธานนั้นจะช่วยแม่ไว้ไม่ทัน แต่บัดนี้เขาสำเร็จแล้วและจะกลับมาทำตามปณิธานที่ตั้งไว้

ooooooo

รุจน์ยังจำได้ดีว่าเมื่อเขาอายุได้ 10 ขวบ บิดาก็รับอัมพากับอารยาลูกสาววัย 4 ขวบเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์สีแดง หรือ "บ้านรุจิโรจน์" เวลานั้นรุจแอบดูผู้มาใหม่ ได้ยินคุณพ่อพูดเบาๆกับอัมพาว่า

"บ้านรุจิโรจน์ขอต้อนรับแม่อัมพาอยู่ให้สบายไม่ต้องเกรงใจ" และบอกเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องนอนของรุจว่า "ให้อารยาอยู่ห้องนี้ ฉันจะให้ช่างมาใส่เครื่องเรือนของเด็กเล็กๆให้"

รุจแอบมองความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ทั้งสองที่ค่อนข้างสนิทสนมกันด้วยความสงสัย ค้นหา...

หลังจากนั้นไม่นาน รุจก็เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ เด็กชายในวัย 10 ขวบแต่งตัวโก้ แต่สีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับไร้ความรู้สึก เดินไปลาแม่ทั้งสามที่เลี้ยงดูตนมาแต่อ้อนแต่ออก คือแม่ละม่อม แม่พร้อม และแม่พิน ทั้งสามแม่พากันเช็ดน้ำตาป้อยๆ พลตรีพลแสนฯมองดูความห่วงหาอาลัยของบรรดาแม่ ทั้งสามแล้ว เอ่ยขึ้นว่า

"ลากันให้พอ 15 ปีถึงจะได้พบกับคุณหนูอีก"

บิดาแตะแขนรุจเบาๆ เชิงเตือนอะไรบางอย่าง รุจลังเลอยู่อึดใจจึงหันไปจะไหว้ลาอัมพา เธอเข้ามากอดรุจไว้อย่างอ่อนโยน ในขณะที่รุจเองยืนตัวแข็งทื่อมือทั้งสองทิ้งอยู่ข้างตัว เมื่ออัมพาปล่อยรุจจึงยกมือไหว้ลา อัมพาบอกอารยาหรือน้อยในวัย 4 ขวบว่า

"น้อย ไหว้คุณพี่สิลูก"

"ไปแล้วกลับมาเร็วๆนะคะ" น้อยไหว้ส่งเสียงใส รุจมอง ด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนอารยาที่ยิ้มแจ่มใสค่อยๆ เจื่อนลงเก้อๆ

ooooooo

วันเดียวกันนี้ อารยาในวัยแรกรุ่นกำลังยืนเศร้าน้ำตาคลออยู่ที่อีกมุมหนึ่งของสะพาน แต่ทั้งรุจและอารยาไม่เห็นกัน จนเมื่ออารยาหันกลับเดินเร็วๆ แต่ เพราะน้ำตาเต็มตาทำให้มองเกือบไม่เห็นทาง เธอจึงชนเข้าอย่างแรงกับรุจจนตัวเองเสียหลักเซจะล้ม ดีที่รุจคว้าแขนไว้ทัน เธอเบือนหน้าซ่อนน้ำตาและสะบัดแขนอย่างแรง แต่รุจก็ปราดเข้าไปคว้าไว้อีก มองหน้ากันนิ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดเสียงเรียบสนิทว่า

"ไม่มีใครสอนหรือว่าเมื่อชนคนแล้วควรจะขอโทษ"

"ขอโทษค่ะ" อารยาเอ่ยอย่างเร็ว เมื่อเขาบอกว่าไม่เป็นไร เธอพูดต่อทั้งที่กำลังสะอื้น "แต่คุณควรจะบอกตัวเองว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษเพียงพอหรือไม่ ที่จะทวงแค่คำขอโทษจากผู้หญิงที่กำลัง..." พูดได้แค่นั้นก้อนสะอื้นก็แล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอจนพูดไม่ออก

"ไม่เกี่ยวกับการเป็นสุภาพบุรุษหรือไม่ เราอยู่ในสังคมที่มีกติกา จะอารมณ์ยังไง เราก็ต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีกติกา แค่คำขอโทษคำเดียวคงไม่ทำให้คุณเศร้าโศกไปยิ่งกว่านี้" รุจหยุดนิดหนึ่ง "ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะทวงถามอะไร เห็นแล้วว่าคุณกำลังร้องไห้ แต่ถ้าคุณไม่ทำกิริยาดูหมิ่น..."

"ฉันไม่ได้ดูหมิ่นคุณ" อารยามองขวับ "ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคิดหรือทำอย่างนั้น ดิฉันไม่รู้จักคุณ ไม่เคยเห็นหน้าคุณ จะดูหมิ่นคุณไปทำไม"

"คุณไม่คิดจะทำ แต่กิริยาของคุณผมพูดได้เต็มปากว่าคุณกำลังดูหมิ่น"

"คุณหาเรื่อง คุณหาเรื่องอย่างที่ไม่น่าจะมีเรื่อง ดิฉันไม่มีมารยาททางสังคม...ใช่...แต่ไม่ใช่เพราะดิฉันดูหมิ่นคุณ แท้จริงแล้ว ดิฉันไม่เคยคิดดูหมิ่นใครเลย ทุกคนเป็นมนุษย์

เท่ากัน แม่ของดิฉัน...สอนดิฉันเสมอให้นับถือความเป็นคน ไม่ให้คิดว่าใครต่ำกว่าเราเป็นอันขาด"

พูดถึงแม่แล้วอารยาน้ำตาไหลพราก แต่ยังพยายามกลั้นสะอื้นพูดต่อ

"แต่คุณ...คุณคงจะคิดเรื่องสูงเรื่องต่ำตลอดเวลา คุณถึงมาว่า...มาว่าดิฉันด้วยเรื่องที่ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่าสำคัญ" เธอพนมมือไหว้เขา พูดย้ำ "ถ้าแม่ดิฉันอยู่ตรงนี้ แม่จะบอกให้ดิฉันขอโทษคุณอีกครั้งหนึ่ง หรือจะอีกกี่พันครั้งก็ได้ ถ้าคุณต้องการ"

"ไม่ต้อง" รุจเสียงห้วน เย็นชา มองตามอารยาที่หันเดินผละไปอย่างไม่ฟังเสียงอะไรอีกแล้ว

แต่เดินไปไม่ถึงอึดใจเธอก็เซตัวอ่อนยวบลง รุจพรวดไปถึงตัวประคองขึ้นมา อุ้มไปนั่งพิงราวสะพานแล้วปฐมพยาบาล ทำรวดเร็วคล่องแคล่วอย่างหมอมืออาชีพ เปิดดูเปลือกตา ปลดกระดุมคอเสื้อเม็ดหนึ่งและปลดตะขอกระโปรง

แต่พออารยารู้สึกตัว เธอคว้าคอเสื้อปิดมิดรีบติดตะขอกระโปรง รุจขอโทษและกำลังจะชี้แจง ถูกเธอตัดบทว่าไม่ต้องขอโทษ แค่บอกตัวเองว่าอย่าเที่ยวจาบจ้วงล่วงเกินอย่างนี้กับผู้หญิงอื่นอีก ถามประชดว่า

"อย่างนี้หรือมารยาททางสังคมที่คุณว่า...ฉวยโอกาส ทราม!"

เธอลุกพรวดไปแต่ก็สะดุดจะล้มอีก รุจคว้าแขนไว้ก็ถูกสะบัดจ้องหน้าอย่างไม่พอใจ รุจชี้แจงว่าตัวเองไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด อารยาสวนไปทันทีว่าไม่เชื่อ พูดเสียงสั่นว่าต่อไปก็หัดดูหมิ่นตัวเองบ้างได้แล้ว ทำเอารุจหน้าเครียดจ้องหน้าเธอดุๆ แต่เธอก็ยังสู้ตา จนเขาเอ่ยว่า

"คุณยังเด็กมีเวลาอีกมากที่จะเรียนรู้ว่าอย่าตัดสินใครเพียงแค่เห็น"

"แค่นี้ก็พอแล้ว ฉันรู้แล้ว" อารยาสะบัดมือสุดแรงแล้วผละไป รุจได้แต่มองตาม

ooooooo

กลับถึงเคหาสน์สีแดง "บ้านรุจิโรจน์" อารยาวิ่งเข้าบ้าน ขึ้นตึก ตรงไปที่ห้องนอนของอัมพาที่นอนป่วยอยู่ เข้าไปขอโทษแม่ที่ทิ้งไปนาน เล่าว่าไปบางปูมา ไปพบคนไม่ดี เป็นคนไม่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา อารยา เล่าจนอัมพาต้องเอามือแตะปากลูก ส่ายหน้าไม่อยากให้พูดต่อ อารยาซบหน้ากับแขนแม่ ตัดพ้อ...

"แม่ไม่ว่าใคร แม่เห็นทุกคนดี แต่ทำไม...ทำไมแม่ต้องไม่สบายมากขนาดนี้ น้อยไม่เข้าใจ"

อัมพาไม่พูดต่อแต่ถามว่าเมื่อไหร่รุจจะกลับมา แม่อยากพบรุจ อารยาบอกว่าเขากลับมาแล้ว แต่ไม่ยอมกลับบ้าน ไม่ ทราบว่าเพราะอะไร

เวลาเดียวกันนั้น ที่ข้างล่าง ขุนประจญคดีทนายความ บ้านรุจิโรจน์เอาซองเงินเดือนมาให้แม่ทั้งสาม ถูกรุมถามว่าคุณหนูของพวกตนอยู่ไหน รู้ว่าคุณหนูกลับมาแล้ว อย่าปิดบังกันนะ รุมถามกันเสียจนขุนประจญคดีต้องบอกให้พูดทีละคน

เมื่อพูดทีละคน ทั้งสามแม่ก็ถามเหมือนกันว่าคุณหนูไปซ่อนตัวอยู่ไหน ขุนประจญฯจำต้องบอกว่า

"คุณหนูกลับมาแล้ว อยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งและยังไม่กลับบ้าน"

"ทำไม" สามแม่ถามพร้อมกัน ขุนประจญคดีตอบไม่ออก แต่พอออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ข้างนอกขับออกไป ครู่เดียวก็จอดรับรุจที่ยืนรออยู่ เขาก้าวขึ้นรถเงียบๆ ขุนประจญคดีจึงบอกว่า

"ถ้าไม่รีบออกมา แม่แกสามคนคงจะเอามีดมาง้างปากผมให้พูดว่าคุณหนูจะกลับรุจิโรจน์เมื่อไหร่" พูดแล้วเห็นรุจนั่งนิ่งเงียบ ขุนประจญฯพยายามหว่านล้อม ขอร้องเขาก็ยังคงนิ่งและยิ้มนิดๆเป็นบางครั้ง กระทั่งสุดท้ายถามว่าจะร่อนเร่ไปถึงไหนทำไมยังไม่ยอมกลับบ้าน เขาก็ยังคงนิ่งตามเคย

ooooooo

5 ปีสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย รุจ รุจิโรจน์รู้จักกับเสาวรสที่เรียนอยู่ที่อังกฤษเหมือนกัน ทั้งคู่คบหากันฉันคนรัก จนเมื่อกลับเมืองไทยก็นัดพากันไปเที่ยวชายทะเลประสาคนรัก

แม้จะคบหากันมา 5 ปี แต่เสาวรสก็รับรู้เรื่องราวของเขาน้อยมาก แม้แต่ที่คุณพ่อเขาส่งหนังสือไทยไปให้อ่านเพื่อไม่ ให้ลืมภาษาไทยเขาก็ไม่เคยเล่าให้เธอฟัง เธอตัดพ้อนิดๆว่า

"ห้าปีที่ลอนดอน รุจไม่เคยบอกเสาวรสสักคำว่าต้องทำอะไรๆอย่างที่ว่านี่"

"ก็นี่ไง กลับมาบอกที่กรุงเทพฯแล้วไง ยังดีกว่าไม่บอกที่ไหนเลย ไม่ว่าเป็นลอนดอนหรือกรุงเทพฯ"

เสาวรสฉะอ้อนถามว่ายังมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกอีกไหม เขาตอบเรียบๆว่ามีและสำคัญมากด้วย แต่ต้องรอตอนไปส่งที่บ้านเธอก่อนแล้วจะบอกเมื่อกลับถึงบ้าน เสาวรสแนะนำรุจแก่พระศัลยแพทย์ พิสุทธิ์ผู้เป็นบิดาว่า

"หมอรุจค่ะคุณพ่อ กลับจากลอนดอนมาพร้อมกับลูก"

หลังจากนั้นหนุ่มสาวแยกไปนั่งคุยกันที่สวนหน้าบ้าน เธอทวงว่าบอกได้หรือยัง รุจจึงพูดเป็นการเป็นงานว่า "อีก 6 เดือนผมจะขอหมั้นเสาวรสและการแต่งงานจะตามมา"

"ทำไมต้อง 6 เดือนคะรุจ" เสาวรสไม่ชอบใจ

รุจตอบนิ่งๆ ว่า ตนจะไม่อยู่ในพระนครเป็นเวลาเท่านั้น เพราะจะไปอยู่ต่างจังหวัด เสาวรสถามอย่างรับไม่ได้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ก็ยังคงได้รับคำตอบนิ่งๆ เรียบๆ ว่าเพราะอยากให้เป็นอย่างนั้น เธออ้อนว่า

"แต่เสาวรสอยากให้เป็นอีกอย่าง เราแต่งงานกันก่อน จัดงานให้หรูหรา ให้ชาวพระนครตะลึงประทับใจกับงานแต่งงานแบบตะวันตกแท้ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วต่อจากนั้น..."

"เสาวรส" รุจขัดขึ้น "ฟังผมนะ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมคิดและไตร่ตรองเหตุผลทุกอย่างแล้ว...ขอบคุณ..." เขาเอ่ย เมื่อเห็นเธอตั้งใจฟัง "ผมเพิ่งเรียนจบในวิชาการแพทย์ที่แทบไม่มีใครเรียนในประเทศไทย ผมอยากทำงานในวิชาที่ผมเรียนมาอย่างเต็มที่ก่อนที่จะต้องแบ่งเวลาให้กับครอบครัว เพราะ..."

เสาวรสทำท่าจะพูด รุจรีบห้าม

"เดี๋ยว กรุณาฟังผมก่อน เพราะถ้าผมมีครอบครัว ผมนิยมความเป็นแฟมิลี่แมน จนใจที่ไม่ทราบคำในภาษาไทย แต่ผมจะเป็นผู้ชายของครอบครัว ผมจะเห็นครอบครัวสำคัญที่สุด ผมจะรักภรรยา ซื่อสัตย์ต่อภรรยา ผมจะรักลูกและเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ฉะนั้น ผมขอเวลา 6 เดือน ที่จะทำตัวผมให้มั่นคงกับงานอาชีพก่อน ผมจึงจะเป็นอิสระในเวลาดังกล่าว"

เสาวรสทนฟังจนจบ เธอแค่นหัวเราะถามว่า "พูดจา เป็นภาษาหนังสือมากเลยท่องมาเหรอ" เมื่อเขายอมรับว่าใช่ เขียนและท่องมา เธอถามงงๆ ว่าต้องขนาดนั้นเชียวหรือ ตั้งใจอะไรขนาดนั้นเชียว

"นั่นแสดงว่าผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ผมถือเป็นเรื่องจริงจังและผมตั้งใจบอกคุณ เพราะผมถือว่าคุณเป็นคนสำคัญ" แม้จะพูดด้วยสีหน้านิ่ง น้ำเสียงเรียบ แต่มีความจริงจังในที

เสาวรสไม่พอใจลุกขึ้นหันหลังให้ ถามว่าเขารักตนมากแค่ไหน เขาตอบทันทีมิพักต้องคิดว่ารักมาก เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ตนรักและหวังจะเป็นคนสุดท้ายด้วย

เสาวรสหันกลับโผเข้าซุกไซ้เขาหมายใช้ไฟอารมณ์ หลอมใจเขาให้อ่อนลง แม้รุจจะกอดตอบมองด้วยความรักใคร่ แต่เมื่อเธอขอให้แต่งงานกันก่อนแล้วอยู่ในพระนครสักพักค่อยว่ากัน เขากลับดันตัวเธอออก สีหน้าแววตากลับขรึมนิ่งเหมือนเดิม บอกเธอว่า

"ทุกอย่างที่ผมพูดกับคุณ ผมคิดแล้วและไม่ขอเปลี่ยนแปลง"

เสาวรสกรี๊ดออกมาอย่างทนไม่ได้ พอดีพระศัลยแพทย์ พิสุทธิ์โผล่มาเห็นตกใจรีบผลุบหายไป

"คุณเป็นคนแปลกประหลาดที่สุด คุณบอกรักฉัน รักมากเสียด้วย แต่คุณปัดข้อเสนอของฉันไม่ไยดี คุณไม่อยากได้ฉันเหรอ ไม่ต้องการฉันเหรอ ฉันพร้อมที่จะเป็นเมียคุณ" เสาวรสเสียงดังขึ้นทุกที

"เสาวรส ผมต้องการคุณยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนในโลก" รุจย้ำ เธอถามว่าแล้วยังไง เขาตอบเรียบๆ หนักแน่นตามเคยว่า "ผมหวังว่าคุณจะเป็นภรรยาของผมในอีก 6 เดือนข้างหน้า"

ooooooo

ในการไปดื่มน้ำชาด้วยกันที่โรงแรมราชธานี ขุนประจญคดีถามรุจว่ามีเหตุผลอะไรถึงไม่กลับบ้านหรือไม่มีเหตุผล เขาตอบสั้นๆว่า "มีครับ" แล้วความคิดเขาก็หวนกลับไปสู่อดีตที่แอบเห็นอัมพาไปพบกับนายชิดชายโฉดที่รมยาจนคนทั้งบ้านหลับแล้วข่มขืนเธอ เวลานั้นรุจเห็นนายชิดท่าทางเร่งร้อน ก็ได้แต่สงสัย

"ตอนคุณพ่อสิ้น คุณหนูก็ไม่ยอมกลับมาดูใจท่าน ท่านคอย ท่านคิดถึงคุณหนู ท่านเพ้อถึงคุณหนูจนสิ้นใจ" เสียงขุนประจญคดียังคงเล่าต่อ รุจนิ่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนยากจะอ่านความรู้สึกได้

สุดท้ายขุนประจญคดีขอร้องให้เขากลับบ้าน กลับได้รับคำตอบที่ทำให้อึ้งสนิทว่า

"ผมพร้อมจะไปทุกแห่งในโลก นอกจากรุจิโรจน์ เพราะรุจิโรจน์มีคนที่ผมไม่ประสงค์จะอยู่ด้วย"

เป็นเวลาเดียวกับที่อัมพาเข้าไปจุดธูปในห้องพระ ภาวนาด้วยความรุ่มร้อนใจว่า

"ขอคุณพระดลใจให้คุณรุจกลับมา ให้ลูกได้พูดกับเธอ บอกเธอถึง..." อัมพาพูดไม่ออกมีแต่สีหน้าที่บ่งบอกถึงความ เจ็บปวดใจ เว้นไว้แล้วจึงพูดต่อ "บาปกรรมจะได้หมดสิ้นเสียที ลูกจะได้ตายตาหลับ"

ooooooo

ณ สถานที่ท่องเที่ยวทางเหนือ วันนี้ภาคินัยเจ้าของไร่รวงผึ้ง พี่ชายคนโต มีน้องสาวคนรองคือภคินีและน้องสาวฝาแฝดอีกคู่หนึ่งคือ ดาริกากับกุมารี ทั้งหมดมีน้าสังวาลย์เป็นคนคอยดูแลอย่างดี ทุกคนพากันไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวทางเหนือ

หลังจากไหว้พระแล้ว ก็พากันไปเล่นน้ำตก ขี่ช้างเล่น ระหว่างนั้นภคินีรู้สึกเวียนหัวจึงพากันลงจากหลังช้าง ภคินีหน้ามืดเป็นลมจนต้องพาไปนอนพักที่ผ้าปูซึ่งน้าสังวาลย์รีบไปปูไว้ ภาคินัยถามหายาลม น้าสังวาลย์ไม่ได้เอามา จึงเรียกดาริกา กับกุมารีมานั่งจับมือภคินีนวดคนละข้าง

มีนักท่องเที่ยวผู้มีน้ำใจมาเจออาสาจะไปหายาลมมาให้ รุจมาเจอพอดี เขาบอกว่าตนเป็นหมอแล้วรีบลงมือปฐมพยาบาล

คืนนี้ รุจจึงได้ไปทานขันโตกที่ไร่รวงผึ้งร่วมโตกเดียวกับภาคินัยและภคินีรวมทั้งเพื่อนชาวเหนืออีกสองสามคน ได้ชมฟ้อนสะล้อซอซึง และเต้นรำกันสบายๆในหมู่คนกันเอง รุจออกไปเต้นรำกับภคินี เด็กสาววัยใสที่ไร้มารยา

เสร็จจากทานขันโตก พากันไปนั่งคุยที่ห้องนั่งเล่นบ้านรวงผึ้ง จนครู่ใหญ่รุจจึงขอตัวกลับเพราะพรุ่งนี้ต้องเข้าเวรแต่เช้า

"อยู่อีกครึ่งชั่วโมงเถอะนะคะ เดี๋ยวจะปล่อยโคมลอยแล้ว" ภคินีชวนยิ้มใสซื่อ รุจจึงนั่งลง

ooooooo

ที่เคหาสน์สีแดง อารยาเล่นซอเพลงหวานเศร้าให้แม่ฟัง เธอเล่นอย่างสุดฝีมือเพื่อแม่ แต่อัมพาก็อ่อนแรงลงไปทุกทีค่อยๆหลับตาลง อารยาตกใจวิ่งลงไปร้องเรียกแม่ทั้งสามให้ช่วยแม่ตนด้วย

แม่ละม่อมแม่บ้านใหญ่ไปถึงก่อนเพื่อน ตามด้วยแม่พินคนดูแลความเรียบร้อยของเสื้อผ้าเครื่องเรือน และสุดท้ายคือแม่พร้อมที่ดูแลเรื่องอาหารของรุจกับอารยาตลอดมา ทุกคนรีบเข้าไปดูอัมพา พูดให้กำลังใจ แม่พร้อมบอกให้อารยาหรือน้อยปิดหน้าต่างสักบานเพราะลมแรง แต่อัมพาขอให้เปิดไว้อย่างนั้นเพราะเย็นสบาย ตนอยากหลับ บอกกับอารยาว่า "น้อยอยู่กับแม่ก็ได้ลูก"

ระหว่างนั้นสามแม่ออกไปคุยกันเองอย่างหนักใจว่า อัมพาอยากพบคุณหนูเหลือเกิน แม่ละม่อมพึมพำว่าคุณหนูเธอไม่อยากพบ ไม่รู้อัมพาอยากพบเรื่องอะไรเห็นพูดเป็นร้อยครั้งแล้วว่าอยากพบก่อนตาย

"คุณหนูไม่ให้พบหรอกฉันรู้...ใจแข็งเป็นหินขนาดนั้น" แม่พร้อมเชื่ออย่างนั้น

"เก็บความโกรธความแค้นฝังใจตั้งแต่เด็ก ดูทีรึ บ้านของเธอแท้ๆอยู่มาแต่เล็กแต่น้อยยังไม่ยอมกลับ" แม่พินบ่นงึมงำ

ooooooo

อารยาอยู่กับแม่ในห้อง อัมพาบอกลูกว่าอยากฟังเสียงซอ อารยาหันไปหยิบซอ อัมพาบอกว่า

"ไปเล่นที่ห้องน้อย ให้เสียงลอยตามลมมาหาแม่" อารยา ถามว่าทำไมหรือ "แม่อยากฟังเสียงซอที่แว่วมาจากห้องน้อย จะได้หลับ"

เมื่ออารยาไปเล่นซอที่ห้อง อัมพาฟังเสียงซอน้ำตาไหล พึมพำอย่างปวดร้าวใจ...

"แม่ทำบาปกับลูกเหลือเกิน...ตายไปยังทิ้งให้ลูกรับกรรม... น้อย...น้อยยกโทษให้แม่ด้วย..." อัมพามือไขว่คว้าในความว่างเปล่า จนแม่ละม่อมเปิดประตูเข้ามารีบปราดเข้าหาอย่างตกใจ

อัมพาพร่ำพูดกับลูกในขณะที่เสียงซอยังแว่วอยู่ไม่ ขาดสาย

"น้อย...ยกโทษให้แม่ด้วย..." แม่ละม่อมจะพาไปหาหมอ อัมพาบอกว่าไม่ต้อง พยายามลืมตามองแม่ละม่อมพูดเสียงขาดเป็นห้วง "ฉันกำลังจะหมดลม หายใจไม่ได้...น้อยจะทุกข์หนักถ้าเห็น...ฝาก...ขอโทษคุณรุจ..."

เสียงอัมพาขาดหายไป พร้อมกับลมหายใจสุดท้าย...

เป็นเวลาที่รุจกำลังปล่อยโคมลอย...แสงโคมลอยลิบๆและดับไปท่ามกลางความมืดของรัตติกาล...

อัมพาสิ้นใจอย่างสงบ อารยาเปิดประตูเข้ามาผวาเข้าหาแม่ เห็นสภาพของแม่ก็เข้าใจทันทีว่า แม่ได้จากไปแล้ว เธอเหมือนหัวใจแตกสลายจะโถมเข้ากอดแม่ แม่ละม่อมยึดไว้บอกว่าอย่ารบกวนท่านเลย ท่านไปอย่างสงบแล้ว เธอตัดพ้อแม่ละม่อมว่าทำไมไม่ตามตนมา

"คุณแม่อยากฟังคุณน้อยเล่นซอ" แม่ละม่อมบอก จากนั้นให้อารยาห่มผ้าให้คุณแม่ เธอห่มผ้าและกอดซบร่างแม่ ร้องไห้สะอึกสะอื้น แม่ละม่อมก้มหน้าซับน้ำตาก่อนเดินห่างออกไปมองอารยาน้ำตาริน

"แม่จ๋า...ทำไมแม่ทิ้งน้อย..." อารยาคร่ำครวญเหมือนแม่ฟังตนอยู่ "น้อยจะอยู่กับใคร เราไม่เคยจากกันแม้แต่วันเดียว ตอนนี้แม่ไม่อยู่ น้อยจะอยู่ได้ยังไง น้อยจะอยู่กับ...

กับใครก็ไม่รู้ เขาจะทำให้น้อยเป็นทุกข์แค่ไหนก็ไม่รู้ แล้วน้อยจะบอกกับใคร ใครจะปลอบน้อยได้เหมือนแม่...น้อย

อยากตายตามแม่ จะตายได้ยังไง...น้อยจะตายตามแม่ได้ยังไง..."

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น อารยาในชุดดำมาที่ท่าน้ำบ้าน

รุจิโรจน์ มีแม่ทั้งสามตามมาหว่านล้อมด้วยความห่วงใย แม่ละม่อมบอกว่าถ้าเธอตายตามคุณแม่ไป คุณแม่จะนอนตายตาไม่หลับ เป็นบาปเป็นกรรมยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

แม่พินย้ำเตือนว่า คุณแม่ไปอย่างสงบเพราะสอนทุกอย่างน้อยไว้หมดแล้ว ความดีทั้งหลายทั้งปวงเธอกล่อมเกลา ไว้จนถึงวันต้องจากไปเธอก็ไปอย่างสบายใจ

ส่วนแม่พร้อมอ้อนว่า "คุณน้อยทิ้งป้าสามคนไปได้ ลงคอ ดีล่ะ ป้าโกรธคุณน้อยไปจนตายเลย"

อารยามองแม่ทั้งสามน้ำตาปริ่ม ก้าวลงเรือพายออกจากท่าน้ำท่ามกลางสายตาที่มองตามอย่างเป็นห่วงของแม่ทั้งสาม...

ooooooo

ป่านางเสือ ตอนที่ 18 ตอนจบ

ตอนที่ 18

ดาวกับคุณหญิงรัตนาต่างโผกอดกันแน่น ราวกับจะทดแทนความรักความผูกพันที่หายไป 15 ปี จักจั่นกับลุงเดชพลอยดีใจไปกับสองแม่ลูก ช่วงเวลาแห่งความสุขกลับต้องจบลงเมื่อลินจงกับสมุนในชุดดำห้าคนเข้ามาคุมตัวคุณหญิงรัตนาไว้ ดาวกับจักจั่นโดดเข้าขวาง ลินจงชักปืนยิงพื้นเปรี้ยง

"แกอยากให้คุณหญิงตายหรือไง...ถอยไปให้หมด อย่างที่บอกเราต้องการตัวคุณหญิงเท่านั้น"

สองสาวต้องถอยมายืนกับลุงเดช สมุนเอาพานท้ายปืนดันตัวคุณหญิงรัตนาให้ก้าวเท้า แต่อยู่ๆจักจั่นวิ่งเข้าไปกอดคุณหญิงไว้แน่น แอบเอาสร้อยคอที่อภิชาติให้ยัดใส่มือ

"แกจะเอาคุณหญิงไปไม่ได้" จักจั่นแกล้งร้องไห้ คร่ำครวญ ดาวมองจักจั่นงงๆ

พวกสมุนเข้ามาดึงจักจั่นออก ผลักกระเด็นก้นจ้ำเบ้า ดาวกับลุงเดชขยับตัว แต่ลินจงจ้องปืนใส่

"คุณหญิงจะปลอดภัยถ้าพวกแกอยู่อย่างสงบที่นี่ และเราจะไปจากบ้านดอนเสือทันทีที่ภารกิจของพวกเราจบเรียบร้อย... จำไว้...ถ้าใครคิดหนีหรือออกไปจากถ้ำ คุณหญิงตาย"

ดาว จักจั่น และลุงเดชจำต้องปล่อยให้ลินจงเอาตัวคุณหญิงรัตนาไป ลุงเดชมองแผนของลินจงออก ที่เธอต้องแยกคุณหญิงรัตนาไปเป็นตัวประกัน เพราะรู้ว่าอภิชาติกับไผ่และพวกสมาชิกโจรที่เหลือต้องตามมาที่นี่แน่ๆ ดาวกราดสายตาไปรอบถ้ำ คิดหาทางออกจากถ้ำนี้ให้เร็วที่สุด...

พอสินชัยเห็นลินจงคุมตัวคุณหญิงรัตนามาถึงหน้าถ้ำ

สั่งให้นายไชยไปเตรียมงานตามที่วางแผนไว้และสั่งให้ลินจงพาคุณหญิงรัตนาไปที่จุดนัดพบเคลื่อนย้ายกำลังทั้งหมดไปสมทบกับเยซินแล้วระเบิดถ้ำให้ราบ

คุณหญิงรัตนาแค้นใจมาก "แก...ไอ้คนโกหกหลอกลวง... แกจะต้องไม่ตายดี กรรมจะต้องสนอง"

"ไอ้พวกขายชาติที่เสนอหน้าอยู่ในสังคมทุกวันนี้ไม่ เห็นกรรมสนองมันสักที...ยังลอยนวลเดินช็อปปิ้งเสวยสุขกันอยู่เลย แล้วทำไมผมต้องกลัวด้วย" สินชัยหัวเราะชอบใจ แล้วหันไปกระซิบกระซาบกับลินจง เสร็จงานเมื่อไหร่ ฆ่าคุณหญิงรัตนาได้เลย ลินจงพยักหน้ารับคำ...

จักจั่นใจร้อนรอต่อไปไม่ไหว ชวนดาวออกจากถ้ำ ทั้งสามคนค่อยๆเดินออกมาอย่างระมัดระวังจนใกล้ถึงปากถ้ำ แปลกใจที่ไม่เห็นคนร้ายแม้แต่คนเดียว ทันใดนั้นระเบิดมือนับสิบลูกกลิ้งเข้ามาจากด้านนอก ดาวกับจักจั่นต่างรีบยกมือสองข้างประสานกันที่อกตนเอง แล้วใช้พลังผลักระเบิดมือออกไปทางเดิม แต่ยังไม่ทันพ้นปากถ้ำเกิดระเบิดตูม หินถล่มลงมาปิดปากถ้ำมิด...

ขณะไผ่ขับรถมาตามเส้นทางในป่า มีเสียงสายลมร้องก้อง ไผ่จอดรถตั้งสมาธิ ในที่สุดก็เห็นจุดหมาย ฤทธิชัยสังเกตเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของไผ่ ถามว่าจับสัญญาณอะไรได้ไหม ไผ่พอจับสัญญาณบางอย่างได้

"ดี...ไผ่จับสัญญาณป่า...ผมจับสัญญาณหาคลื่นวิทยุของพวกมัน" อภิชาติว่าพลางหมุนคลื่นเครื่องรับส่งวิทยุไปมา พลันมีเสียงสัญญาณดังตี๊ดๆๆ เขายิ้มหน้าบาน ดีใจ ฤทธิชัยอดถามไม่ได้ว่ามีอะไร

"ฉันให้สร้อยคอคุณจักจั่นไว้...มีวิทยุตามตัวอยู่"

ไผ่รู้ที่อยู่จักจั่นอยู่แล้ว แต่ทำทีขับรถตามคลื่นวิทยุเพื่อกลบเกลื่อน ขณะที่ฤทธิชัยมองเพื่อนซี้อย่างสงสัย

ooooooo

รถของไผ่เข้าใกล้จุดที่พบสัญญาณวิทยุเข้าไปทุกขณะ แต่อยู่ๆสัญญาณถูกรบกวน จอเครื่องรับส่งวิทยุดับวูบ อภิชาติพยายามหมุนหาคลื่น ไผ่เกรงจะไม่ทันการ ปล่อยให้อภิชาติกับฤทธิชัยอยู่ตามคลื่นวิทยุกันเอง ส่วนเขาจะล่วงหน้าตามรอยพวกดาวไปก่อน และจะทำเครื่องหมายกากบาทไว้ให้ ฤทธิชัยพยักหน้ารับรู้

"พบตำแหน่งแล้วอย่าเพิ่งลงมือ...รอก่อน เราจะบุกพร้อมกัน"

ไผ่รับคำแล้วรีบดีดตัวออกไป ฤทธิชัยจ้องหน้าอภิชาติ สงสัยไม่หายว่าทำไมถึงให้สร้อยติดวิทยุกับจักจั่น อภิชาติอ้ำๆอึ้งๆตอบคำถามอย่างมีพิรุธ ฤทธิชัยนิ่งคิดอยู่อึดใจ ก่อนจะฉีกยิ้ม

"ที่แท้นายใช้สร้อยหมั้นคุณจักจั่นนี่เอง...เก็บเงียบไม่บอกกันเลยนะเพื่อน"

อภิชาติแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่ายังไม่มีโอกาส แล้วทำเฉไฉตบเครื่องรับส่งวิทยุ ฤทธิชัยเห็นทีจะไม่ได้เรื่อง รีบเดินตามไผ่ อภิชาติตบเครื่องรับส่งวิทยุอีกสองสามครั้ง แต่มันยังเงียบ เลยคว้าเครื่องส่งวิทยุขึ้นสะพายบ่าแล้วรีบวิ่งตามฤทธิชัย ไม่นานนัก ฤทธิชัยกับอภิชาติตามไผ่ทันตรงโขดหินใกล้ถ้ำเป้าหมาย

เห็นพวกสมุนของสินชัยนับสิบคนแอบหลังรถจี๊ปสองคันที่จอดอยู่หน้าถ้ำพร้อมอาวุธครบมือรอต้อนรับพวกเขา ฤทธิชัยแนะให้ลองอ้อมไปด้านหลัง ทันใดนั้น หินที่ปิดปากถ้ำระเบิดออก พวกสมุนหลบเศษหินที่กระเด็นใส่กันชุลมุน ดาว ลุงเดชกับจักจั่นออกมาจากม่านฝุ่น พุ่งเข้าจัดการพวกนั้นล้มคว่ำ

สมุนของสินชัยอีกส่วนหนึ่งซึ่งแอบซุ่มอยู่รอบๆต่างสาดกระสุนใส่พวกดาวอุตลุด อภิชาติ ไผ่ และฤทธิชัยเปิดฉากระดมยิงใส่พวกที่ซุ่มอยู่ตายเรียบ ฤทธิชัยโล่งใจที่เห็นดาว จักจั่นกับลุงเดชไม่เป็นอะไร พอไม่เห็นคุณอาหญิงอยู่ด้วยก็ถามหา จักจั่นอ้าปากจะบอกเรื่องคุณหญิงรัตนากับดาวเป็นแม่ลูกกัน ดาวรู้ทันชิงพูดขึ้นก่อน

"มันเอาตัวคุณอาหญิงไปแล้วค่ะ" ดาวสบตาจักจั่นเป็นเชิงไม่ให้พูดเรื่องนี้ จักจั่นหุบปากเงียบ

"เรารีบตามไปดีกว่า" ฤทธิชัยว่าแล้วขยับตัว

ลุงเดชอยากให้พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม ดาว จักจั่น ฤทธิชัย และอภิชาติตามรอยคุณหญิงรัตนาต่อ ส่วนเขากับไผ่จะกลับไปเตรียมคนรอไว้ ได้ตัวคุณหญิงรัตนากลับมาเมื่อใด พวกเราจะบุกถล่มค่ายสำรวจป่าของสินชัยให้ราบ ทุกคนตกลงทำตามลุงเดชว่า สองกลุ่มต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง...

ระหว่างที่ขบวนรถของลินจงมุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบ คุณหญิงรัตนาซึ่งนั่งรถคันเดียวกับลินจงค่อยๆเอาสร้อยที่จักจั่นให้ยัดใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง ทันใดนั้น ลินจงสั่งให้หยุดรถ ทำสัญญาณมือให้พวกสมุนเตรียมพร้อม แต่กลายเป็นอาจารย์เฉินที่ดีดตัวจากยอดไม้ลงมายังรถคันที่ลินจงนั่ง

"พวกมันกำลังตามมา...และที่สำคัญ คนที่เป็นผู้กอง...ยังมีชีวิตอยู่"

ลินจงฟังด้วยความแค้นใจ ขณะที่คุณหญิงรัตนายิ้ม โล่งใจ

ooooooo

ดาวแปลกใจมากที่ไม่พบร่องรอยของคุณหญิงรัตนา ทั้งที่ขับรถตามแกะรอยอยู่ในป่ามาพักใหญ่แล้ว เธอตัดสินใจลงจากรถเดินสำรวจรอบๆ ฤทธิชัยกับอภิชาติพากันเดินแยกไปอีกทางหนึ่ง จักจั่นปราดเข้ามาถามดาวว่าเกิดอะไรขึ้น สายลมมองไม่เห็นที่อยู่ของคุณหญิงรัตนาหรือ

"ไม่เห็น...แต่จะลองดูอีกครั้ง" ดาวหลับตาตั้งสมาธิ เห็นภาพป่าผ่านทางสายตาของสายลม แต่แล้วทุกอย่างกลับ

มืดมิด ดาวมั่นใจว่านี่ต้องเป็นฝีมืออาจารย์เฒ่าคนนั้นแน่ๆ...

เป็นอย่างที่ดาวคิด อาจารย์เฉินใช้ผ้าลงมนต์คาถาสีดำแขวนไว้บนหัวเต็นท์หน้าค่ายของลินจง แล้วแหงนหน้ามองเหยี่ยวสายลมที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า

"ถ้าเป็นจริงอย่างที่เจ้าสงสัย ผ้ามนต์ผืนนี้จะช่วยบังตาไม่ให้พวกมันมองเห็นค่ายของพวกเราได้"

"พวกมันนึกว่าพวกมันแน่" ลินจงแหงนมองท้องฟ้า แล้วยิ้มสะใจ...

จักจั่นเห็นดาวสีหน้าเคร่งเครียด ปลอบว่าไม่ต้องเป็นกังวล เพราะเธอมีแผนสำรองไว้แล้ว ดาวมองหน้าจักจั่นงงๆ จังหวะนั้น อภิชาติกับฤทธิชัยกลับเข้ามา สีหน้าผิดหวัง ไม่เจอร่องรอยอะไรสักอย่าง

"ไม่เป็นไรค่ะ...คุณอภิชาติให้สร้อยติดสัญญาณวิทยุจักจั่นไว้ จักจั่นให้คุณอาหญิงไปแล้วค่ะ"

ฤทธิชัย อภิชาติกับดาวต่างมองหน้ากันตื่นเต้น อภิชาติ รีบเอาเครื่องรับส่งวิทยุที่สะพายบ่าตัวเอง มาเปิดหาสัญญาณ อึดใจ ปรากฏจุดสีแดงบนจอเครื่องพร้อมเสียงสัญญาณดังตื๊ดๆๆ ทุกคนต่างดีใจ รีบโดดขึ้นรถขับตามสัญญาณไป อภิชาติอดแปลกใจไม่ได้ว่าจักจั่นรู้ได้อย่างไรว่าสร้อยที่เขาให้มีวิทยุตามตัว

"มือชั้นนี้แล้ว" จักจั่นยิ้มยืด อภิชาติพลอยยิ้มไปด้วย...

ครู่ต่อมา ดาว ฤทธิชัย อภิชาติกับจักจั่นมาถึงค่ายของลินจงกลางป่า มีเต็นท์หลายหลังตั้งเรียงรายอยู่รอบค่ายมีพวกสมุนยืนเฝ้าระวังเพียบ เสียงสัญญาณจากเครื่องรับส่งวิทยุดังถี่ๆ แสดงให้รู้ว่าถึงเป้าหมายแล้ว ฤทธิชัยปิดปุ่มเสียง กวาดสายตา

ไปตามเต็นท์ต่างๆอย่างพิจารณา ก่อนจะชี้ไปที่เต็นท์หลังหนึ่ง

"ผมว่าเต็นท์หลังนั้น น่าจะเป็นที่ที่พวกมันคุมตัวคุณอาหญิงไว้"

ดาวดูจากที่มียามสองคนยืนเฝ้าระวังหน้าเต็นท์แล้ว น่าจะเป็นอย่างฤทธิชัยว่า จักจั่นชวนลุยให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย อภิชาติค้านทันที ถ้าขืนบุกเข้าไปตอนนี้ คุณอาหญิงอาจจะเป็นอันตรายได้

"ดาวจะเข้าไปก่อนดีกว่า พอดาวถึงเต็นท์และคุณอาหญิงปลอดภัยแล้ว ทุกคนค่อยบุกเข้าไป"

จากนั้น ดาวค่อยๆเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง พอพ้นสายตาของฤทธิชัย เธอดีดตัวขึ้นไปบนยอดไม้ตรงไปยังเต็นท์เป้าหมาย พริบตาเดียวมาโผล่ด้านหลังสมุนยืนเฝ้าระวังหน้าเต็นท์ จัดการทั้งสองคนรวดเดียวจอด ดาวพุ่งตัวเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว แต่ต้องตะลึงเมื่อเห็นระเบิดขนาดย่อมๆวางอยู่ บนเก้าอี้ สัญญาณไฟสีแดงที่ระเบิดกะพริบถี่ขึ้นๆ
ดาวรู้ทันทีว่านี่เป็นกับดัก รีบดีดตัวทะลุเต็นท์ขึ้นไปหลบบนต้นไม้

เป็นจังหวะเดียวกับระเบิดทำงานพอดี เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว พวกสมุนที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุกระเด็นไป

คนละทิศละทาง แรงระเบิดทำให้ดาวถึงกับมึนงง พวกสมุนตั้งหลักได้ กราดกระสุนใส่ ดาวหายมึนเป็นปลิดทิ้ง ดีดตัวหลบไปตามยอดไม้อย่างว่องไว

จักจั่นเห็นดาวตกอยู่วงล้อมของศัตรู รีบพุ่งตัวเข้าไปช่วย ตามด้วยฤทธิชัยกับอภิชาติ ทั้งสี่คนเปิดฉากยิงต่อสู้กับสมุนของลินจงอย่างดุเดือด เหล่าคนชั่วสู้ดาวกับพวกไม่ได้ถูกยิงตายเรียบ

ooooooo

ในเวลาเดียวกัน ลุงเดชกับไผ่รวบรวมสมาชิกโจรได้เพียง 20 คน แต่ถึงจะมีจำนวนน้อยแต่ทุกคนก็พร้อมต่อสู้ ยิ่งเห็นแสงในสภาพมีผ้าพันแผลที่หัวไหล่ขอร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกคน สมาชิกโจรต่างยิ่งฮึกเหิมมีกำลังใจ ลุงเดชยิ้มพอใจ บอกแผนการให้ทุกคนฟัง

"เราจะไปซุ่มกำลังใกล้ๆกับสถานีสำรวจป่าจอมปลอมของพวกมัน ทันทีที่หนูดาวช่วยคุณหญิงรัตนากลับมาได้อย่างปลอดภัย เราจะบุกทำลายให้ราบ" สิ้นเสียงพูดของลุงเดช สมาชิกโจรต่างส่งเสียงเฮกึกก้อง...

ตอนนี้สร้อยติดวิทยุพังพินาศไปเรียบร้อย ดาวยังคิดไม่ออกว่าจะตามหาคุณอาหญิงได้ที่ไหน ยิ่งตะวันใกล้หมดแสงลงเรื่อยๆเธอยิ่งเป็นกังวล ความมืดจะทำให้ตามรอยพวกนั้นได้ยาก...

อีกด้านหนึ่งของป่า ขบวนรถของลินจงมาถึงจุดนัดพบ

ซึ่งมีรถบรรทุกคอนเทนเนอร์คันหนึ่งจอดอยู่ประกบสองข้างด้วยรถจี๊ปของนายไชยกับสมุน ลินจงส่งต่อคุณหญิงรัตนาให้เป็นหน้าที่ของนายไชยกับพวก นายไชยพยักหน้าให้สมุนคุมตัวประกันไปไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ของรถบรรทุก ทันทีที่ประตูตู้คอนเทนเนอร์ปิด อาจารย์เฉินเอาผ้าดำลงคาถามาแปะที่ตัวถังรถ ลินจงสั่งห้ามใครดึงผ้าผืนนี้ออกเด็ดขาด นายไชย หัวเราะคิก

"อย่าบอกนะว่าพวกมันสามารถมองเห็นมาถึงนี่ได้"

"ไม่ต้องถาม...ทำตามคำสั่ง ถ้าพลาดท่านดับแน่" ลินจงตวาดลั่น

นายไชยหุบปาก แล้วหันไปโบกมือให้สมุนเคลื่อนขบวนรถออกไป ส่วนขบวนรถของลินจงกับอาจารย์เฉินแยกไปอีกทางหนึ่ง มุ่งหน้าสู่สถานีสำรวจป่า ลินจงเห็นอาจารย์เฉินนั่งหน้าเครียดถามว่ามีอะไร

"งานครั้งนี้มีเส้นชะตาคั่นอยู่ ถ้าสำเร็จก็จะยิ่งใหญ่ แต่ถ้าพลิกผันก็จะถึงจุดจบ"

ooooooo

ป่ามืดสนิท มีเพียงแสงไฟหน้ารถจี๊ปของดาวที่ส่องสว่าง ดาวขับรถมาจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ คืนนี้พวกเราคงต้องค้างแรมที่นี่ อภิชาติกับฤทธิชัยช่วยกันก่อกองไฟ สักพัก ดาวกับจักจั่นทำทีขอไปปลดทุกข์ พอพ้นสายตาของสองหนุ่ม ดาวหลับตาทำสมาธิ กลับไม่เห็นหรือสัมผัสอะไรได้เลย เธอส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

จักจั่นพนมมือ "สาธุ...ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยนำทางไปหาคุณอาหญิงด้วยเถอะ"

ดาวถอนใจสีหน้าเป็นกังวล...อีกด้านหนึ่งของป่า ลุงเดชกำลังพนมมืออธิษฐานอยู่เช่นกัน

"ท่านครับ...หนูดาวทราบแล้วครับว่าคุณหญิงเป็นแม่ ศัตรูมีพลังฝีมือจับตัวคุณหญิงไป ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองหนูดาวให้ช่วยคุณหญิงกลับมาได้โดยปลอดภัยด้วยครับ" สิ้นเสียงพูดของลุงเดช เกิดลมพัดแรง ต้นไม้โอนเอนใบไม้ปลิวว่อน ลุงเดชมองตะลึง เกิดอัศจรรย์ แรงลมพัดข้ามฟากมาถึงป่าด้านที่ดาวอยู่

ทันใดนั้น เงาของใครบางคนปรากฏขึ้นที่ดงไม้ ดาวตวัดปืนพร้อมกับสาดไฟฉายใส่ สั่งให้คนคนนั้นออกมาถ้าไม่อยากโดนยิง ชายสวมเสื้อผ้าเก่าๆสะพายย่ามแต่งตัวคล้ายพรานใส่หมวกมีปีกสีเขียวลายพรางซีดๆหลุบต่ำ ทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัด เดินออกจากเงามืดเข้ามาใกล้

"ผมเป็นพรานกำลังจะกลับบ้าน"

จักจั่นกับดาวมองสบตากัน ลมที่พัดแรงเมื่อกี้กลับเบาลงๆ และหยุดนิ่งในที่สุด...

ครู่ต่อมา ดาวกับจักจั่นพานายพรานมายังจุดตั้งแคมป์ สองสาวแปลกใจที่ไม่เคยเห็นนายพรานคนนี้มาก่อน ทั้งที่ผ่านเข้าออกป่าแถวนี้บ่อยๆ แต่พวกเธอก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร จักจั่นเห็นว่านายพรานชำนาญพื้นที่แถวนี้ อยากให้ช่วยนำทางให้หน่อย นายพรานยินดีจะให้นำทางตอนนี้เลยก็ได้ถ้าต้องการ

"กลางคืนเนี่ยนะ...จะเห็นรอยหรือ" ฤทธิชัยร้องเอะอะ

"ที่นี่ถิ่นผม หลับตาเดินยังได้" นายพรานคุย

"ได้...ถ้าอย่างนั้น พรานนำได้เลย"

นายพรานพยักหน้าให้ดาว แสงจากกองไฟสะท้อนไปใต้หมวกปีกที่หลุบอยู่ เห็นหน้าเขาแวบหนึ่ง ใบหน้านั้นคือวิญญาณของท่านอิทธินั่นเอง จากนั้น ทุกคนออกเดินเท้า

ตามนายพรานลึกเข้าไปกลางป่า ดาว จักจั่น ฤทธิชัยกับอภิชาติเดินทิ้งระยะห่างจากเขาพอสมควร อภิชาติกับฤทธิชัยไม่ไว้วางใจนายพรานคนนี้สักเท่าใด เกรงจะเป็นพวกศัตรูหลอกให้พวกเราออกนอกเส้นทาง

"เราไม่มีทางเลือก เราต้องเสี่ยง" ดาวมัวแต่คุย มองไปอีกที นายพรานหายไปแล้ว

ทุกคนช่วยกันกวาดตามองหา เห็นหลังนายพรานโผล่

ออกมาไวๆจากดงไม้ เดินนำทางต่อ แต่ดูๆแล้วเหมือนลอยไปบนพื้นมากกว่า อภิชาติแปลกใจทำไมนายพรานถึงเดินได้เร็วนัก ทั้งสี่คนพากันเร่งฝีเท้าตาม...

ในที่สุด นายพรานนำทางมาถึงพุ่มไม้หนาใกล้ค่ายของนายไชย ดาวกับทุกคนแอบซุ่มดู เห็นนายไชยกับพวกนั่งดื่มเหล้ากันอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งรถบรรทุกคอนเทนเนอร์

ให้สมุนสองคนเฝ้าไว้ อภิชาติพิจารณาดูแล้ว คุณอาหญิงน่าจะถูกขังไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ท้ายรถบรรทุกคันนั้น ดาวจ้อง

รถบรรทุกเขม็ง แต่พอหันมาทางนายพรานเพื่อจะขอบใจ เขาหายตัวไปแล้ว เธอไม่ได้สนใจ รีบแบ่งหน้าที่ให้ทุกคนนำ

"ผู้กองกับคุณอภิชาติอยู่ที่นี่เบี่ยงความสนใจของพวกมัน ดาวกับจักจั่นจะเข้าไปช่วยคุณอาหญิง"

ดาวว่าแล้วดีดตัวหายเข้าไปในความมืดพร้อมจักจั่น ฤทธิชัยกับอภิชาติรออยู่อึดใจ ก่อนจะช่วยกันดึงพุ่มไม้ตรงนั้น ให้ไหวไปมา เสียงใบไม้กระทบกันดังไปถึงหูนายไชยกับพวก นายไชยหันขวับมามอง

"เฮ้ย...พวกเอ็งไปดูตรงนั้นซิ"

สมุนส่วนหนึ่งพร้อมไฟฉายค่อยๆย่องไปที่พุ่มไม้อย่างระมัดระวัง อภิชาติกับฤทธิชัยรีบหลบออกไปอีกทาง พวกสมุนโผล่พรวดเข้าไปเจอแต่ความว่างเปล่า ร้องบอกลูกพี่ว่าไม่เห็นมีอะไร นายไชยเห็นเงาตะคุ่มๆของนายพรานยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ตะโกนลั่น

"นั่นไง"

พวกสมุนหันไปมองตามทิศทางที่นายไชยชี้ เห็นเงาของพรานยังยืนอยู่ที่เดิม พวกนั้นพรวดเข้าหานายพรานกลับหนีไปอย่างรวดเร็ว พวกสมุนเร่งฝีเท้าตาม ดาวกับจักจั่นซุ่มอยู่บนยอดไม้สบโอกาสดีดตัวลงบนหลังคารถบรรทุกอย่างเงียบกริบ พวกสมุนไล่ล่านายพรานได้สักพัก ชักเอะใจ

"เฮ้ย...เราถูกมันล่อให้ออกมา...รีบกลับค่ายเว้ย"

ooooooo

นายไชยเห็นไม่ชอบมาพากล ตะโกนสั่งให้สมุนลากตัวคุณหญิงรัตนาออกมา สมุนสองคนที่ยืนเฝ้าระวังอยู่ที่รถบรรทุก เคาะประตูตู้คอนเทนเนอร์เรียกพรรคพวกที่อยู่ข้างใน ทันทีที่ประตูตู้เปิด ดาวกับจักจั่นพุ่งจากหลังคาใช้มีดปาดคอสมุนสองคนที่อยู่ด้านนอก แล้วตามเข้าไปจัดการสมุนอีกสองคนที่เฝ้าอยู่ด้านใน

ดาวสังหารได้เพียงคนเดียว อีกคนหนึ่งหนีรอดออกมาได้ ตะโกนโหวกเหวกลั่น นายไชยหันไปมองตามเสียง เห็นจักจั่นไล่ตามสมุนคนนั้นออกมาจากตู้คอนเทนเนอร์

"เฮ้ย...พวกมันอยู่นั่น"

พวกสมุนไม่รอช้าตวัดปืนยิงจักจั่นไม่ยั้ง กระสุนถูกเข้าเต็มๆ เธอกลับไม่สะทกสะท้าน ยิงตอบโต้พวกนั้นล้มคว่ำ นายไชยหน้าตื่นที่จักจั่นปืนยิงไม่เข้า เหลียวมองเลิ่กลั่กหาทางหนี ฤทธิชัยกับอภิชาติออกมาจากราวป่า เปิดฉากยิงต่อสู้กับพวกสมุนอย่างดุเดือด พวกนั้นสู้ไม่ได้เริ่มถอยร่น นายไชยเห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ดาวตัดเชือกมัดมือคุณหญิงรัตนาออก พามาที่ประตูตู้คอนเทนเนอร์ ตะโกนบอกให้จักจั่นไปเอารถมารับ

จักจั่นสาดกระสุนใส่พวกสมุนแล้ววิ่งไปที่รถจี๊ปของคนร้าย ถอยพรวดไปที่ตู้คอนเทนเนอร์ อภิชาติกับฤทธิชัยปราดเข้ามายิงคุ้มกันอยู่ข้างรถจี๊ป รอจนดาวกับคุณหญิงรัตนาขึ้นรถเรียบร้อย ทั้งคู่ขึ้นตาม รถจี๊ปพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว...

ด้านนายไชยวิ่งหนีเอาตัวรอดเข้ามาถึงป่าทึบ แต่ต้องชะงักมือเห็นเงาใครบางคนยืนอยู่เบื้องหน้า เขาสาดไฟฉายส่องดู เห็นชายในชุดนายพรานสวมหมวกปีกหลุบต่ำปิดบังใบหน้า

"เอ็งเป็นใคร...ถอยไป....ไม่อย่างนั้นกินลูกตะกั่วแน่"

นายพรานเฉย นายไชยฉุนจัด กราดปืนใส่เปรี้ยงๆๆเขายืนนิ่งไม่สะดุ้งสะเทือน พลันมีลมพัดวูบเข้ามาหมวกของนายพรานปลิว ที่แท้นายพรานก็คือท่านอิทธินั่นเอง นายไชย จำได้ถึงกับตาเหลือก สาดกระสุนใส่พลางถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว กระทั่งตกลงไปในหลุมดักสัตว์ เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังก้องไปทั้งป่า ไม้แหลมในหลุมดักสัตว์เสียบทะลุร่างของเขาตายอนาถ...

จักจั่นขับรถหนีมาได้สักระยะ ดาวแนะให้จอดรถพักค้างแรมในป่าแถวนี้ก่อน ตอนเช้าค่อยเดินทางต่อ ทุกคนเห็นด้วย ช่วยกันก่อกองไฟแล้วนั่งล้อมวงคุยกัน คุณหญิงรัตนาดีใจที่เห็นฤทธิชัยไม่เป็นอะไร ฤทธิชัยโชคดีที่ได้นางเสือช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นก็คงจะแย่ คุยกันไปคุยกันมา ในที่สุด คุณหญิงรัตนาเปิดเผยเรื่องที่เธอรับดาวกับจักจั่นเป็นลูกให้อภิชาติกับฤทธิชัยรู้ อภิชาติถามทันทีว่าลุงเดชไม่ว่าอะไรหรือ

"ลุงเดชเป็นคนบอกเองว่าหนูดาวคือลูกของอา คือลูกพฤกษา"

ฤทธิชัยกับอภิชาติถึงกับอึ้ง ทันใดนั้น ดาวตวัดปืนไป ทางพุ่มไม้ ทุกคนมองตามเห็นนายพรานยืนอยู่ จักจั่นบอกคุณหญิงรัตนาว่าผู้ชายคนนั้นเป็นนายพรานที่พาพวกเราไปช่วยเธอเอาไว้ คุณหญิงรัตนาจ้องมองนายพรานเขม็ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา พอเธอเห็นหน้านายพรานชัดๆถึงกับน้ำตาซึม พึมพำว่า "คุณอิทธิ"

นายพรานเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ ถามไถ่คุณหญิงสบายดีไหม คุณหญิงพยักหน้าแทนคำตอบ

"ผมเป็นคนให้ลุงเดชดูแลลูกเราอยู่ในป่า ผมรู้ว่าคุณหญิงทุกข์ใจ...หวังว่าคุณหญิงคงไม่โกรธผม" คุณหญิงได้แต่ส่ายหน้าน้ำตาไหลพราก ท่านอิทธิพูดอีกว่า "ผมดีใจที่คุณหญิงได้พบลูกแล้ว"

ดาวมองคุณหญิงรัตนากับนายพรานคุยกันสักพัก ตัดสินใจเดินมาหา คุณหญิงรัตนาหันมองเธอด้วยน้ำตานองหน้า แล้วพยักหน้าให้ ดาวเข้าใจทันที หันมองนายพรานน้ำตาคลอเบ้า "คุณพ่อ..."

"พ่อรู้ว่าลูกทุกข์ใจที่ไม่ได้พบแม่...ยกโทษให้พ่อด้วย"

ดาวพยักหน้ายิ้ม "ดาวดีใจและเต็มใจทำหน้าที่ของคุณพ่อค่ะ"

ท่านอิทธิยิ้มตอบ ก่อนจะค่อยๆเลือนหายไป ดาวโผกอดคุณหญิงรัตนาแน่น สองแม่ลูกต่างร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ จักจั่นพลอยน้ำตาซึมไปด้วย

ooooooo

เช้าวันถัดมา ไผ่ แสงกับลุงเดชและสมาชิกโจรอีกราว 20 คน กระจายกำลังกันแอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ หนาทึบ หน้าสถานีสำรวจป่าของสินชัย ไม่นานนัก มีรถบรรทุกของสินชัยสองคัน พร้อมด้วยรถจี๊ปคุ้มกันอีกสองคันวิ่งเข้าไปในสถานีสำรวจป่า สักพักก็มีรถตู้อีกคันหนึ่งวิ่งเข้ามาในระยะไกล

"คงเป็นลูกค้าของมัน" ไผ่ตั้งข้อสังเกต

ลุงเดชสั่งให้แสงพาสมาชิกโจรส่วนหนึ่งอ้อมไปอีกด้าน รอฟังสัญญาณจากเขา ส่วนไผ่คอยประสานงานช่วยเหลือทั้งสองกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มของแสง และถ้าเรารู้ข่าวจากดาวว่าคุณหญิงรัตนาปลอดภัยเมื่อใด ให้สายลมส่งสัญญาณบอกทันที ไผ่พยักหน้ารับคำแล้วดีดตัวออกไป...

ในเวลาเดียวกัน ดาวพาคุณหญิงรัตนามาส่งที่สถานีตำรวจบ้านดอนเสือซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของท่านรองฯก้องเกียรติมารอรับคุณหญิงรัตนากลับกรุงเทพฯ จากนั้น ดาว จักจั่น อภิชาติ และฤทธิชัย พร้อมด้วยขบวนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองคัน บ่ายหน้าไปยังสถานีสำรวจป่า...

ไผ่ซุ่มตัวอยู่บนยอดไม้ สายตาจับจ้องไปที่สถานีสำรวจป่า เห็นรถตู้แล่นเข้าไปจอด สินชัย เยซิน ลินจง กับอาจารย์เฉินยืนรอต้อนรับลูกค้าชาวต่างชาติสองคน ผิวดำกับผิวขาว เยซินเดินนำลูกค้าทั้งสองคนเข้าไปในเต็นท์บัญชาการ สินชัย ลินจงกับอาจารย์เฉินเดินตาม เยซินเป็นหัวหน้าในการเจรจาธุรกิจครั้งนี้

"ของเรียบร้อยแล้วไม้ที่สั่งพร้อมส่งให้ท่านภายในหนึ่งเดือน แค่ท่านโอนเงินก็ถือว่าตกลงรับของไปได้ทันที" เยซินพูดขาดคำ ฝรั่งผิวขาวเดินไปที่โน้ตบุ๊กบนโต๊ะทำงาน เริ่มทำการโอนเงิน

มีเสียงสายลมร้องดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้ไผ่กับลุงเดชรู้ว่าคุณหญิงรัตนาปลอดภัยแล้ว ลุงเดชสั่งให้สมาชิกโจรทุกคนบุก เสียงปืนยิงต่อสู้กันดังสนั่นหวั่นไหว ฝรั่งผิวขาวได้ยินเสียงปืนหยุดการโอนเงินทันที

"ขอโทษ...ท่านมีปัญหา...ถือว่าการซื้อขายยุติ"

เยซินไม่ยอม ตวัดปืนขึ้นมาขู่ให้โอนเงินเดี๋ยวนี้ ลูกค้าฝรั่งทั้งสองคนขัดขืน เลยถูกเยซินยิงทิ้ง แล้วหันปืนจ้องใส่สินชัย ลินจงกับอาจารย์เฉินสีหน้าเอาเรื่อง

"พวกท่านทำงานพลาด...โทษถึงตาย"

ลินจงไม่รอช้าเตะปืนในมือเยซินกระเด็น อาจารย์เฉินสะบัดฝ่ามือพิฆาตใส่ลูกน้องของเยซินที่วิ่งเข้ามาล้มคว่ำไม่เป็นท่า เยซินอาศัยช่วงชุลมุนเผ่นหนีออกจากเต็นท์ สินชัยเห็นท่าไม่ดี ชวนลินจงหนี ลินจงวิ่งนำสินชัยออกมาด้านหลังสถานีสำรวจป่าซึ่งรถของเธอจอดอยู่...

ลุงเดชกับสมาชิกโจรบุกตะลุยเข้าทางด้านหน้าสถานีสำรวจ ส่วนแสงกับสมาชิกโจรอีกจำนวนหนึ่งบุกโจมตีจากด้านข้าง ชายในชุดดำยิงต้านไว้ ขบวนรถของดาววิ่งมาถึงสถานีสำรวจป่า รู้ว่าลุงเดชกับพวกบุกเข้าไปก่อนแล้ว รีบบึ่งรถเข้าไป พลันมีเสียงสายฟ้าคำราม ตามมาด้วยเสียงร้องของสายลม ฤทธิชัยแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นสายลมบินวนอยู่ ร้องบอกทุกคนว่า

"เร็วเข้าพวกมันกำลังจะหนี"

"นี่แกฟังเสียงเหยี่ยวกับเสียงเสือรู้เรื่องแล้วหรือ" อภิชาติ มองหน้าเพื่อนรักงงๆ ฤทธิชัยตอบไม่ถูก ขณะที่ดาวกับจักจั่นต่างมองหน้ากันอย่างแปลกใจ...

ลินจงวิ่งนำสินชัยมาที่รถของเธอ แล้วโดดขึ้นสตาร์ตเครื่อง อาจารย์เฉินขยับจะขึ้นตาม แต่ถูกดาวโดดถีบกระเด็นตกรถ จักจั่นดีดตัวตามมายืนข้างดาวหน้าตาเอาเรื่อง สินชัยคิดเอาตัวรอดคนเดียว ชักปืนจ่อหัวลินจงสั่งให้ออกรถเดี๋ยวนี้ ลินจงแค้นจัดแต่ทำอะไรไม่ได้จำต้องทำตามคำสั่งของสินชัยทิ้งอาจารย์เฉินไว้

อาจารย์เฉินตั้งหลักได้ชี้หน้าสองสาว "วันนี้ฉันจะส่งพวกแกไปนรกเสียที"

"ดูสิว่าใครจะไปก่อน" ดาวว่าแล้วตั้งท่าเตรียมต่อสู้

"แกสองคนไม่พอมือข้าหรอก" อาจารย์เฉินดีดตัวเข้าหาฟาดฝ่ามือใส่ สองสาวยกมือขึ้นต้าน แต่สู้พลังฝีมืออาจารย์ไม่ไหว กระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว อาจารย์เฒ่าพุ่งตามหมายจะซ้ำ แต่ไผ่ร่อนลงมาขวางหน้า

"แล้วถ้าสามคนล่ะ...ไหวไหม" ไผ่พูดจบโดดเตะอาจารย์เฉิน ดาวกับจักจั่นพุ่งตาม อาจารย์เฉินรับหมัดของสองสาวไว้ได้ แต่เจอลูกถีบของไผ่เข้าเต็มอก เซถลาเป็นนกปีกหักลงไปคลุกฝุ่น แต่ยังลุกขึ้นมาสู้ต่อ

ooooooo

ฤทธิชัยกับอภิชาติเห็นรถของลินจงกำลังจะแล่นหนี รีบโดดขึ้นรถจี๊ปไล่ตาม ชายในชุดดำสองคนโผล่ออกมาจากที่ซ่อน เล็งปืนไปยังรถของฤทธิชัย ลุงเดชมาช่วยไว้ได้ทัน ยิงชายในชุดดำทั้งสองคนตายสนิท รถของฤทธิชัยไล่จี้รถของลินจงไปติดๆ สินชัยหันมายิงใส่ ถูกกระจกรถฤทธิชัยแตก

อภิชาติยิงโต้กลับถูกยางรถลินจงกระจุย รถเสียหลักพลิกคว่ำ ฤทธิชัยกับอภิชาติรีบจอดรถลงไปดู เห็นสินชัยติดอยู่ในรถ มีน้ำมันไหลออกมาจากถังน้ำมันนองพื้น ร้องขอความช่วยเหลือลั่น

"จับไปมันก็หลุดออกมาอีก"

ฤทธิชัยไม่เห็นด้วยกับเพื่อน ขยับจะเข้าไปช่วย มีเสียงตะโกนสั่งให้หยุดอยู่ตรงนั้น สองหนุ่มหันไปมองตามเสียง เห็นลินจงในสภาพสะบักสะบอมเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลถือปืนเล็งใส่

"ปล่อยให้มันตายไป...มันไม่เคยนึกถึงใครนอกจากตัวเอง" ลินจงมองสินชัยอย่างเกลียดชัง

"คุณเองก็บาดเจ็บ ต้องรีบไปโรงพยาบาล"

"คุณเป็นสุภาพบุรุษเสมอ...ผู้กอง"

สินชัยฉวยโอกาสที่ลินจงเผลอคว้าปืนยิงใส่ เธอถึงกับเข่าทรุดเลือดไหลเต็มอก จ้องมองสินชัยด้วยความแค้น หันปืนยิงใส่รถคันนั้น เกิดประกายไฟขึ้นก่อนจะระเบิดดังกึกก้อง ฤทธิชัยกับอภิชาติโดดหลบแทบไม่ทัน ผู้กองหนุ่มตั้งหลักได้ปราดเข้าไปประคองลินจงไว้ นักฆ่าสาวค่อยๆหยิบหน้ากากนางเสือออกมา

"นางเสือตามฆ่า...นายสินชัยๆ...ฆ่านางเสือเรื่องจบ... ผู้กอง...จะได้ไม่ต้อง...ล่านางเสือ...ของผู้กอง"

ลินจงเอาหน้ากากนางเสือมาสวมก่อนจะสิ้นใจ เป็นจังหวะเดียวกับขบวนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยของท่านรองฯก้องเกียรติสามคันแล่นมาจอด ตำรวจต่างโดดลงจากรถลงมาตรวจที่เกิดเหตุ หนึ่งในนั้นมีกำจรรวมอยู่ด้วย กำจรวิ่งเข้ามาหาฤทธิชัย ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฤทธิชัยไม่ตอบลุกหนี เขาจึงหันไปถามอภิชาติแทน อภิชาติก็ไม่ตอบเช่นกัน กำจรรีบถ่ายรูปเก็บไว้...

ลุงเดชพลาดท่าถูกเยซินไล่ยิงจนต้องพุ่งหลบหลังลังไม้ที่วางซ้อนกัน เยซินตามเข้าไปหมายจะซ้ำแต่แสงโผล่เข้ามาด้านหลังพร้อมปืนลูกซอง ตะโกนเรียกให้เยซินหันมาแล้วยิงใส่ไม่ยั้ง เยซินกระเด็นหงายหลัง

"โทษฐานทำเมียข้าเจ็บ" แสงมองร่างไร้วิญญาณของเยซินอย่างสะใจ...

ด้านดาว จักจั่นกับไผ่ต้องรวมพลังกันจึงสามารถโค่นอาจารย์เฉินลงได้ ลุงเดชกับแสงเข้ามาสมทบ แจ้งให้ทั้งสามคนรู้เรื่องที่พวกคนร้ายยอมแพ้หมดแล้ว ดาว จักจั่นและไผ่ต่างรู้ดีว่าคนเลวไม่หมดแค่นี้ แต่ถ้าพวกมันปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ ทุกคนก็พร้อมจะจัดการ...

ข่าวการตายของสินชัยและนางเสือเป็นข่าวร้อนประจำวัน สถานีโทรทัศน์ทุกช่องต่างรายงานข่าวไปในทางเดียวกันว่า สินชัยตายด้วยน้ำมือของนางเสือ และนางเสือเองก็จบชีวิตแล้วเช่นกัน

ooooooo

ไม่กี่วันถัดมา คุณหญิงรัตนาจัดงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของดาวที่บ้านของท่านในกรุงเทพฯ มีเพียงญาติกับเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนมาร่วมงาน อภิชาติชวนฤทธิชัยปลีกตัวออกจากงานมาเดินเล่นที่สวนหลังบ้าน ทั้งคู่ยังคลายปมปริศนาเรื่องดาวใช่คนคนเดียวกับนางเสือยังไม่ได้ จนกระทั่งจักจั่นเดินเข้ามาทัก

"คืนนี้ ผู้กองทั้งหล่อทั้งเท่ แต่ทำไมตอนพี่ดาวเจอผู้กองครั้งแรกถึงเรียกผู้กองว่าตาทึ่มก็ไม่รู้"

ฤทธิชัยชะงัก มีแต่นางเสือเท่านั้นที่เรียกเขาว่า "นายทึ่ม" ปริศนาเรื่องดาวกับนางเสือก็คลี่คลายในที่สุด จังหวะนั้น ดาวตามเข้ามาสมทบ อภิชาติกับจักจั่นรู้งานรีบชิ่งออกมาทิ้งดาวกับฤทธิชัยให้อยู่กันตามลำพัง ฤทธิชัยจะขอทำตามสัญญาที่เคยให้เธอไว้ เสร็จเรื่องนางเสือเมื่อไหร่ เขาจะให้พ่อมาสู่ขอ

"ผู้กองก็รู้อยู่ว่านางเสือที่เป็นข่าวครึกโครมว่าตายไปแล้วเป็นนางเสือปลอม"

"ถ้าอย่างนั้นคุณดาวคิดว่าเมื่อไหร่เรื่องนางเสือจะจบล่ะครับ"

"ดาวคิดว่าคงไม่จบง่ายๆหรอกค่ะ ตราบใดที่มีพวกลักลอบตัดไม้...ตราบนั้นก็ยังต้องมีนางเสือ"

ฤทธิชัยดึงดาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด "เราแต่งงานกัน... แล้วคุณดาวก็ช่วยผมจับนางเสือ"

ดาวได้แต่ยิ้ม ยังไม่ทันตอบอะไร คุณหญิงรัตนาให้เด็กรับใช้มาเชิญเธอกลับเข้างานเสียก่อน ฤทธิชัยยืนมองตามหญิงคนรักพลางถอนใจเมื่อคิดถึงคำพูดเมื่อกี้ของเธอ

"ดาวคิดว่าคงไม่จบง่ายๆหรอกค่ะ ตราบใดที่มีพวกลักลอบตัดไม้...ตราบนั้นก็ยังต้องมีนางเสือ"

ooooooo

ดาวตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางเตรียมกลับบ้านดอนเสือเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อ คือทำหน้าที่ปกป้องป่า คุณหญิงรัตนาเข้าใจและภูมิใจในตัวลูกสาวของเธอมาก ไม่คิดขัดขวาง เมื่อไหร่ที่คิดถึงลูกเธอก็จะไปหา ดาวเข้ามากอดแม่ไว้

"ดาวคิดถึงคุณแม่...ดาวก็จะมาหาคุณแม่ค่ะ"

"จักจั่นด้วยค่ะ" ทั้งสามยิ้มให้กัน

ระหว่างนั้น ท่านรองฯก้องเกียรติโทร.มาแจ้งคุณหญิงรัตนาว่า ฤทธิชัยแถลงข่าวลาออก ให้เปิดทีวีดู จักจั่นรีบกดรีโมตเปิดทีวี เห็นข่าวฤทธิชัยประกาศลาออกจากราชการ ดาวจ้องมองทีวีอย่างคาดไม่ถึง...

สายวันเดียวกัน ขณะอภิชาติขับรถพาฤทธิชัยตรงไปยังบ้านดอนเสือ เขาอดเป็นห่วงแทนเพื่อนไม่ได้ที่วางเดิมพันสูงถึงขั้นยอมลาออกจากราชการเพื่อจะได้ไม่ต้องตามจับนางเสือ ถ้าเกิดดาวไม่อยากให้ฤทธิชัยรู้เรื่องที่เธอเป็นนางเสือแล้วตอบปฏิเสธแต่งงานด้วย เขาอาจจะชวดทั้งงานและความรัก ฤทธิชัยขอเสี่ยงสักครั้ง

"แล้วความตั้งใจที่จะเป็นมือกฎหมายปราบเหล่าอธรรมให้หมดไปจากแผ่นดินล่ะ แกจะทิ้งไปง่ายๆเลยหรือ"

"ถึงไม่เป็นมือกฎหมายก็ปราบอธรรมได้"ฤทธิชัยยิ้มเครียด อภิชาติตบไหล่เพื่อนเบาๆให้กำลังใจ...

ไม่นานนัก รถของอภิชาติมาถึงบ้านป้าเนียน จักจั่นวิ่งออกมาต้อนรับ บอกให้ฤทธิชัยไปหาดาวที่สวนหลังบ้าน แล้วหันมาทวงของฝากที่อภิชาติคุยว่าจะซื้อมาให้ อภิชาติหยิบกล่องใส่แหวนหมั้นออกมา ดึงมือจักจั่นมาสวมแหวนให้แทนสร้อยคอที่ถูกระเบิด จักจั่นหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข คู่ของไผ่กับจันจิราก็ลงเอยด้วยดีเช่นกัน สมพรสั่งให้ไผ่พาจันจิราไปหา มีแหวนหมั้นจะให้ว่าที่ลูกสะใภ้...

ที่ลานหลังบ้านป้าเนียน ฤทธิชัยมาทวงคำตอบที่ถามดาวไว้เมื่อคืนก่อน ดาวอ้างว่าเรื่องนางเสือยังไม่จบ ถ้าเขาแต่งงานกับเธออาจทำให้ยุ่งยากต่อการตามล่านางเสือ ฤทธิชัยไม่ได้เป็นผู้กองอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเรื่องนางเสือสำหรับเขา ถือว่าจบ ดาวยังใช้สรรพนามเรียกฤทธิชัยว่าผู้กองอีก เขา ทักท้วงทันที

"อ๊ะๆ...ผมคุณหนึ่งครับ"

"...คุณหนึ่งมั่นใจหรือคะว่าจะปล่อยให้นางเสืออาละวาดโดยที่ไม่ทำอะไรเลย"

"ผมมั่นใจครับ...อีกอย่างผมรักคุณดาว ผมทำทุกอย่างเพื่อคุณดาว และหวังว่าคุณดาวมองเห็นความจริงใจของผม"

ดาวพยายามจะสารภาพเรื่องตัวเองคือนางเสือ แต่ฤทธิชัย ไม่เปิดช่องให้รีบตัดบท ไม่อยากฟังเรื่องอะไรทั้งนั้น ขอแค่ ตอบตกลงแต่งงานกับเขาเท่านั้นก็พอ ดาวยิ้มเขิน พยักหน้า ฤทธิชัยดีใจ ดึงเธอเข้ามากอด

"เอ่อ...ผมอยากจะถามคุณดาวอย่างหนึ่งได้ไหมครับ... ทำไมถึงเรียกผมว่าตาทึ่มครับ"

ดาวถึงกับตาโต คาดไม่ถึง เขาจะรู้เรื่องที่เธอคือนางเสือ ฤทธิชัยยิ้ม มีแต่นางเสือเท่านั้นที่เรียกเขาว่า "ตาทึ่ม" ดาวซบอกเขาอย่างมีความสุข มีเสียงสายฟ้าคำรามก้องตามมาด้วยเสียงร้องของสายลม

"อย่างนี้เรียกว่าป่าต้อนรับผมหรือเปล่าครับ" ทั้งสองคนมองสบตากันลึกซึ้ง

ooooooo

งานแต่งงานระหว่างดาวกับฤทธิชัยจัดขึ้น ณ สวนสวยภายในค่ายโจรกลางป่า บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความสุข คุณหญิงรัตนาน้ำตาซึมกอดดาวไว้แน่น

"ลูกษาของแม่...พ่อของลูกคงมีความสุขที่ลูกษาเลือกป่าเป็นบ้าน"

"โอ๋ๆๆนะคะ ถึงอย่างไรดาวต้องไปเยี่ยมคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็มาเยี่ยมดาวได้อยู่แล้ว"

คุณหญิงรัตนายิ้ม หันมาฝากฤทธิชัยช่วยดูแลดาวแทนเธอด้วย ฤทธิชัยรับคำอย่างแข็งขัน คู่บ่าวสาวเดินทักทายแขกเหรื่อตามโต๊ะต่างๆ ลุงเดช ป้าเนียน แสง และแม่สมพรซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ดาวรักเคารพและนับถือ ต่างอวยพรให้ทั้งคู่มีความสุข เสียงอภิชาติตะโกนเรียก

"ไหว้ผู้ใหญ่เสร็จก็มาทางนี้ได้แล้วเพื่อน"

ดาวกับฤทธิชัยหันไปมองเห็นอภิชาติ จักจั่น ไผ่กับจันจิราต่างเฮโลกันเข้ามาโปรยกลีบดอกไม้ใส่คู่บ่าวสาว ทุกคนต่างมีแต่รอยยิ้ม

"ขอต้อนรับสู่ชมรมคนแต่งงานสักที...คู่นายช้าที่สุด...ขอเชิญดื่มอวยพรให้คู่บ่าวสาวครับ"

อภิชาติประกาศ แขกเหรื่อในงานต่างลุกขึ้นยืนพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ ทันใดนั้น มีเสียงสายลมร้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงคำรามของสายฟ้า ทุกคนต่างหยุดฟังแล้วมองหน้ากัน ลุงเดชก้าวเข้ามาหาดาว

"พวกลักลอบตัดไม้มันเข้ามาอีกแล้ว"

"เชิญทุกคนตามสบายนะคะ...ดาวกับคุณหนึ่งขอเวลาแป๊บหนึ่งค่ะ"

พวกผู้ใหญ่ต่างยิ้ม พยักหน้ารับรู้ อภิชาติ จักจั่น ไผ่ ปราดเข้ามาขอไปด้วย ดาวร้องห้ามลั่น

"เดี๋ยวก่อน...ทุกคนไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เป็นแขกมาในงานแต่งงานของเรา ดังนั้น...ห้ามยุ่ง เราตกลงกันแล้วว่า...ป่าเป็นหน้าที่ของดาวกับผู้กอง...เอ๊ย...ษากับคุณหนึ่งเท่านั้น"

"โอเค..." อภิชาติพยักหน้าจำยอม เช่นเดียวกับไผ่และจักจั่น

"เชิญดื่มกินกันตามสบายก่อนนะครับ ผมกับน้องษาจะรีบกลับมาครับ" ฤทธิชัยว่าแล้วดีดตัวตามดาวหายไปในดงไม้ อภิชาติ จักจั่กกับไผ่มองตามตาละห้อย

"ทำไงได้...สัญญาต้องเป็นสัญญา เราไม่ควรยุ่ง" อภิชาติพูดจบ กระดกเหล้าเข้าปาก ก่อนกวักมือเรียกบริกรเข้ามาหา เขาวางแก้วลงบนถาดใส่เครื่องดื่ม แล้วดีดตัวตามคู่ของดาวกับฤทธิชัย

จักจั่นกับไผ่ไม่รอช้ารีบตามไปติดๆ สักพัก ทั้งสามคนก็ตามคู่บ่าวสาวทัน เสียงร้องของสายลมและสายฟ้าดังประสานกับเสียงประกาศก้องของดาว

"ป่าของพ่อ...ใครอย่าแตะ"

ooooooo

- อวสาน -

ป่านางเสือ ตอนที่ 17

ตอนที่ 17

ไผ่จัดการคนร้ายที่ยืนเฝ้าระวังอยู่หน้าถ้ำทั้งสี่คนด้วยมีดสั้นอย่างเงียบกริบ จากนั้น ตรงไปที่รถบรรทุกอาวุธเอาระเบิดเวลาติดไว้ใต้ท้องรถอย่างว่องไว มีคนร้ายคนหนึ่งเดินออกมาจากถ้ำ เห็นพรรคพวกของตนนอนคว่ำหน้าจมกองเลือด เขารู้ทันทีว่าเกิดเหตุร้าย ตะโกนลั่น

"มีคนบุกรุก"

ไผ่ยิงเปรี้ยงเดียวส่งคนร้ายไปเฝ้ายมบาล แล้วดีดตัวออกมาอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะเดียวกับรถบรรทุกอาวุธระเบิดตูม เสียงดังสนั่นหวั่นไหว รถพังพินาศทั้งสองคัน พวกคนร้ายแห่ออกจากถ้ำไล่ยิงไผ่อุตลุดไผ่วิ่งล่อให้พวกนั้นตามมา พอถึงจุดนัดหมาย แสง ลุงเดช และเหล่าสมาชิกโจร สาดกระสุนใส่ไม่ยั้ง พวกคนร้ายตายเรียบ ไผ่ ลุงเดช กับแสงเข้ามาดูศพพวกนั้นด้วยความสมเพช

"ไอ้พวกทำลายแผ่นดิน...ขอให้มันอย่าได้เกิดมาอีกเลย" ลุงเดชสาปส่ง...

ฤทธิชัย ดาว และจักจั่นเดินทางมาถึงค่ายโจรชั่วคราวตอนเที่ยงวันพอดี พอฤทธิชัยรู้ข่าวอาวุธที่โดนปล้นไปถูกทำลายหมดแล้ว เขาขอบคุณลุงเดช แสง ไผ่ และทุกๆคนมาก

ลุงเดชยิ้มรับคำขอบคุณแล้วถามว่า "ผู้กองคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปครับ"

"เรายังทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้มันพลาดแล้วเหยียบมันให้จม...แต่ตอนนี้ พวกมันเจ็บหนัก สิ่งที่เราต้องระวังก็คือ พวกมันจะต้องตอบโต้กลับอย่างรุนแรงแน่นอน"

"เราพร้อมอยู่แล้วครับ" ไผ่พูดอย่างมั่นใจ

"ใช่...มาเมื่อไหร่เจอเมื่อนั้น" จักจั่นพยักพเยิดกับพี่ชายตัวเอง

"ผมคงต้องรบกวนขอกบดานอยู่ที่ค่ายลุงเดชสักพักหนึ่งก่อนนะครับ พวกมันยังคิดว่าผมตายหรือหายสาบสูญไปแล้ว"

ลุงเดชเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ฤทธิชัยจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ก็ได้ ดาวอยู่คุยกับฤทธิชัยอีกสักพักก็ขอตัวกลับไปดูค่ายอาสาฯ พร้อมกับจักจั่น

ooooooo

ในขณะเดียวกัน อภิชาติเปิดประตูสำนักงานทนายความของเขาเข้ามา ถึงกับชะงักเมื่อพบเลขาฯของตัวเองถูกชายฉกรรจ์สองคนคุมตัวอยู่ หนึ่งในพวกนั้นเล็งปืนมาที่เขา ทันใดนั้น มีเสียงพูดดังขึ้น

"เรากำลังรอคุณอยู่...คุณอภิชาติ"

อภิชาติหันมองตามเสียง เห็นลินจงยืนจ้องอยู่ เขาตวัดปืนที่เหน็บเอวขึ้นมา ถามเลขาฯว่าพนักงานคนอื่นๆไปไหนหมด ได้ความว่าออกไปหาลูกความ อภิชาติโล่งอก ลินจงขู่ไม่ให้อภิชาติขยับถ้าไม่อยากหาเลขาฯใหม่ อภิชาติยักไหล่ ทำเหมือนยอมแพ้ ปล่อยปืนในมือให้แขวนอยู่ตรงนิ้วชี้ สมุนที่คุมตัวเลขาฯรู้สึกผ่อนคลาย

ลินจงยิ้มอย่างผู้ชนะ "เพราะคุณยังมีประโยชน์กับเรา...เราจะเชิญคุณไปกับเราสักวันสองวัน"

"ถ้ามีห้องพักดีมีแอร์ อาหารอร่อย...แล้วมีคุณคอยดูแล ผมก็ไม่รังเกียจ" อภิชาติยิ้มกวน

ลินจงหุบยิ้มหน้าตึงขึ้นมาทันที สั่งให้อภิชาติทิ้งปืน อภิชาติเจ้าเล่ห์ค่อยๆปล่อยให้ปืนหล่นจากมือ ก่อนปืนจะตกถึงพื้น เขาตวัดขาเตะปืนเต็มแรง มันพุ่งใส่สมุนของลินจงที่คุมตัวเลขาฯอยู่ โดนเข้าเต็มหน้าหงายหลังตึง เลขาฯกรีดร้องด้วยความตกใจ วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ลินจงคาดไม่ถึงได้แต่ยืนมอง

อภิชาติตวัดมือซ้ายไปด้านหลังชักปืนอีกกระบอกหนึ่งขึ้นมายิงใส่สมุนอีกคนล้มคว่ำ แต่พอหันมาจะเล่นงานนักฆ่าสาว เธอก็หายตัวไปแล้ว เลขาฯกลับเข้ามาในสภาพหัวฟู หน้าซีดตัวยังไม่หายสั่น อภิชาติเห็นแล้วสงสาร ปลอบขวัญลูกน้องด้วยการสั่งให้เลิกงานได้ แล้วไปช็อปปิ้งซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่สักสองสามชุด ให้ลงบัญชีเขาไว้ เลขาฯยังช็อกอยู่ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ขยับจะออกไป

"เดี๋ยว...หยุดไปเลยอาทิตย์หนึ่ง พาทุกคนไปเที่ยว พักบ้านผมที่หัวหิน ประสานงานกับลูกค้าที่นั่น ทุกอย่างลงบัญชีผม" อภิชาติพูดขาดคำ เลขาฯถึงกับกรี๊ดสนั่นดีใจสุดๆยกมือไหว้ปลกๆแล้ววิ่งปรู๊ดออกไป อภิชาติอดขำกับท่าทางของเลขาฯไม่ได้ จากนั้น เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์

"ท่านรองฯหรือครับ...ท่านระวังตัวด้วยนะครับ มันเพิ่งส่งคนมาเล่นงานผม ผมว่ามันประกาศสงครามกับเราแล้วครับท่าน"


หลังจากแคล้วคลาดกันมาหลายครั้ง ในที่สุดนายไชยก็เจอตัวลุงหงวนจนได้ บังคับให้บอกว่าลุงเดชเป็นใครและเกี่ยวข้องกับท่านอิทธิอย่างไร ลุงหงวนปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น นายไชยไม่เชื่อ พยักหน้าให้สมุนลากเด็กสาวลูกของเพื่อนบ้านลุงหงวน เข้ามา ขู่ว่าถ้าไม่บอกความจริงเขาจะฆ่าเด็กทิ้ง

"เด็กคนนี้...ไม่ได้เป็นอะไรกับข้า"

"ข้ารู้...แต่เอ็งรู้จักมัน...เอ็งจะให้เด็กคนนี้ตายก็ตามใจ" นายไชยพยักหน้า สมุนยกปืนจ่อหัวเด็กไว้

"อย่าทำฉัน...ลุงหงวนช่วยฉันด้วย"

ลุงหงวนจนแต้ม ต่อรองให้ปล่อยเด็กไปก่อน ถึงจะบอกเรื่องลุงเดช นายไชยสั่งให้สมุนปล่อยเด็กไป เด็กหนีออกจากบ้านลุงหงวนอย่างไม่คิดชีวิต ตรงไปยังค่ายอาสาฯ เจอจันจิราอยู่ที่นั่น ละล่ำละลักเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง จันจิรารีบสั่งให้ชายชาวอาสาฯไป

ตามไผ่มาที่นี่ทันที...

ไผ่ไม่รอช้า รีบไปบ้านลุงหงวน แต่ไม่เจอพวกนายไชย พบลุงหงวนในสภาพโดนซ้อมสะบักสะบอม หน้าตาเละแทบจำไม่ได้ เขารีบประคองลุงหงวนขึ้นรถ พามาให้จันจิรารักษา จันจิราทำแผลแล้วฉีดยาฆ่าเชื้อให้ สักพักลุงหงวนรู้สึกตัว เรียกหาลุงเดชอย่างยากลำบาก ไผ่เข้ามาห้าม

"ลุงหงวน...พักก่อนอย่าเพิ่งพูด"

ลุงหงวนส่ายหน้า ยกมือโบกไปมาไม่ยอม เรียกหาลุงเดชอีกครั้งก่อนจะหมดสติไป จันจิรารีบเข้ามาดูอาการไผ่มองลุงหงวนพลางถอนใจ หนักใจ

"พี่จะไปตามลุงเดชมา...ท่าทางจะเป็นเรื่องสำคัญ" ไผ่ว่าแล้ว รีบตรงไปที่รถ เจอดาวกับจักจั่นขับรถเข้ามาจอดพอดี ดาวร้องถามว่าจะไปไหน

"ลุงหงวนถูกพวกไอ้ไชยซ้อมหนัก อยากเจอลุงเดช"

สองสาวตกใจ วิ่งพรวดไปที่ห้องพยาบาล พอเห็นสภาพของลุงหงวน ดาวตาลุกวาวด้วยความแค้นกลับมาที่รถจี๊ปกะจะตามไปแก้แค้นนายไชย จักจั่นขอไปด้วยแต่ดาวบอกให้เธอเฝ้าระวังอยู่ที่นี่จะดีกว่า จักจั่นไม่กล้าขัด ได้แต่มองตามดาวขับรถออกไป...

นายไชยรีบโทร.รายงานสินชัยทันทีที่กลับถึงโรงเลื่อยเก่าของเสี่ยม้งว่าลุงเดชเป็นคนสนิทของท่านอิทธิ และเป็นคน พาลูกสาวของท่านอิทธิหนีไป สินชัยฉุนขาดแทบอยากจะฆ่านายไชยที่ดันจำลุงเดชไม่ได้

"โธ่ท่าน...ตั้งสิบห้าปี ตอนที่ผมเจอมันก็มัวแต่ยิงกันอยู่ใครจะจำได้"

"ถ้าอย่างนั้น ลูกสาวไอ้อิทธิก็ยังอยู่"

"ครับท่าน...ต้องเป็นคนใดคนหนึ่ง ระหว่างนังเด็กสองคนนั่น"

เท่ากับว่ามีเพียงลุงเดชเท่านั้นที่รู้ว่าคนไหนคือลูกสาวของท่านอิทธิ นายไชยอาสาจะไปลากคอลุงเดชมาให้ สินชัยรู้ดีว่าอย่างนายไชยไม่มีปัญญา สั่งให้รอคำสั่งจากเขาก่อนแล้วกระแทกหูโทรศัพท์โครม...

ไม่นานนัก ดาวขับรถมาถึงโรงเลื่อยเก่าของเสี่ยม้ง สมุนของนายไชยห้าคนพร้อมอาวุธครบมือปรี่เข้ามาล้อมรถไว้ ดาวไม่พูดพล่าม กระชากปืนออกจากซอง ยิงใส่ขาและไหล่ของพวกสมุนบาดเจ็บกันระนาว

"ไอ้ไชยอยู่ไหน" ดาวตะคอกสีหน้าเอาเรื่อง พวกนั้นกลัวลนลาน รีบบอกว่านายไชยเข้าไปตรวจงานในป่า ดาวเก็บปืนแล้วขับรถบ่ายหน้าไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว...

ในเวลาต่อมา ลุงเดชเดินหน้าเครียดเข้ามายืนข้างเตียงลุงหงวน จันจิรารายงานอาการของลุงหงวนให้ฟังว่า ตอนนี้

พ้นขีดอันตรายแล้ว พอพูดได้ ลุงหงวนค่อยๆลืมตาขึ้นมองเห็นลุงเดชยืนอยู่

"ข้า...มี...เรื่องสำคัญ..."

ลุงเดชสั่งให้จักจั่น จันจิรากับไผ่ออกไปรอข้างนอกก่อน แม้เด็กๆจะพากันสงสัยแต่ก็รีบทำตามคำสั่ง

พอลุงหงวนเห็นปลอดคนจึงเล่าให้ลุงเดชฟัง "ข้า... บอกมัน...ว่าเอ็ง...อยู่กับท่านอิทธิ...วันที่...ท่านถูกยิงตาย...ข้าขอโทษ...

ถ้า...ข้าไม่บอก...มันจะยิงเด็กทิ้ง..." ลุงหงวนสลบไปอีกครั้ง ลุงเดชสีหน้าเคียดแค้น

ooooooo

ดาวรู้ที่อยู่ของนายไชยด้วยความช่วยเหลือของสายลมและสายฟ้าเช่นเคย สมุนของนายไชยซึ่งดูต้นทางเห็นรถของดาววิ่งฝุ่นตลบตรงมาทางนี้ รีบรายงานลูกพี่ว่าศัตรูมาคนเดียว นายไชยยิ้มแสยะ

"ทุกคนพร้อม...ทำตามแผน" นายไชยสั่งการอย่างย่ามใจ...

ไผ่เห็นลุงเดชเดินหน้าบอกบุญไม่รับออกมาหน้าค่ายอาสาฯ อดถามไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรร้ายแรงหรือเปล่า ลุงเดชส่ายหน้า ไม่มีอะไรลุงหงวนแค่อยากจะสั่งเสียบางอย่างเท่านั้น แล้วถามว่าดาวไปไหน ได้ความจากจักจั่นว่าไปเล่นงานนายไชย ลุงเดชหน้าเครียดขึ้นมาอีกครั้ง

"ลุงว่าพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว...ลุงจะกลับไปที่ค่ายก่อน เธอสองคนระวังค่ายอาสาฯให้ดี"

ไผ่กับจักจั่นพยักหน้ารับคำ ลุงเดชขึ้นรถขับออกไป พลันมีเสียงสายลมร้องเตือนภัยดังขึ้น ไผ่สัมผัสถึงศัตรูผู้มีฝีมือกำลังวางกับดักเล่นงานดาว เขาไม่แน่ใจจะใช่คนเดียวกับที่ลุงเดชบอกให้พวกเราสามคนร่วมมือกันจัดการหรือเปล่า จะใช่หรือไม่จักจั่นไม่สน แต่เราสองคนพี่น้องต้องรีบไปช่วยดาวเดี๋ยวนี้

ไผ่ไม่อยากทิ้งค่ายอาสาฯ แต่อดเป็นห่วงดาวไม่ได้ ตัดสินใจโดดขึ้นรถจี๊ปออกไปกับจักจั่น...

ทางฝ่ายดาวไม่สนใจเสียงคำรามเตือนภัยของสายฟ้า ร่อนลงกลางวงล้อมสมุนของนายไชยที่ซุ่มรออยู่มีเสียงปืนดังสนั่น กระสุนนับไม่ถ้วนพุ่งใส่ร่างดาวแต่ไม่มีนัดไหนระคายผิว พวกสมุนตะลึงที่ยิงเธอไม่เข้า ดาวได้ทีหมุนตัวเตะด้วยท่าจระเข้ฟาดหางพวกนั้นล้มระเนระนาด พุ่งคว้าคอเสื้อนายไชยเหวี่ยงใส่ต้นไม้โครม

พวกสมุนตั้งหลักได้ หันปืนเข้าหาดาว แต่เธอไวกว่าตวัดปืนยิงพวกนั้นบาดเจ็บไปตามๆกัน แล้วย่างสามขุมเข้าหานายไชย ประเคนทั้งหมัดอัดทั้งเข่าจนล้มกลิ้งล้มหงาย

นายไชยเหลียวมองเลิ่กลั่กหาคนช่วย ทันใดนั้น มีเสียงคำรามของสายฟ้าดังขึ้นอีก ดาวสัมผัสถึงอันตรายได้พุ่งตัวออกไปด้านข้าง หลบมีดสั้นที่บินผ่านหน้าไปปักต้นไม้เหนือหัว

นายไชยพอดี ดาวม้วนตัวกลับมาถึงได้เห็นลินจงกับอาจารย์เฉินยืนอยู่

"พวกเอ็งยังไม่รีบไปอีก" ลินจงตวาดนายไชยเสียงเขียว

นายไชยกับสมุนสะดุ้งเฮือกพากันเดินกะโผลกกะเผลกออกไป ดาวถูกลินจงกับอาจารย์เฉินรุมแต่ก็ต้านรับได้หลายกระบวนท่า ขณะที่ดาวกำลังเพลี่ยงพล้ำ อาจารย์เฉินกลับหยุดต่อสู้ดื้อๆ ลินจงพลอยชะงักไปด้วย อาจารย์เฉินสัมผัสได้ว่าพวกของดาวกำลังใกล้เข้ามา สั่งลินจงถอยก่อน

"แต่เรากำลังได้เปรียบนะคะอาจารย์ น่าจะจัดการกับคนนี้ก่อน"

"ถึงจะได้เปรียบใช่ว่าจะจัดการกับมันได้ง่ายๆ พวกมัน

ใกล้เข้ามาแล้ว...รีบไป" อาจารย์เฉินพุ่งตัวหายไปในยอดไม้ ลินจงมองดาวอย่างแค้นใจ ก่อนจะดีดตัวตาม ดาวถอนใจเฮือก อึดใจเดียว ไผ่กับจักจั่นพุ่งตัวลงจากยอดไม้มายืนข้างดาว ถามหาพวกคนร้าย

"ไปแล้ว...พี่ไผ่กับจักจั่นมาทันเวลาพอดี...ฝีมือมันร้ายกาจจริงๆ"

มีเสียงคำรามของสายฟ้าดังขึ้นตามมาด้วยเสียงร้องของสายลม ดาวรู้ทันทีว่าจะเกิดเหตุร้ายที่ค่ายอาสาฯ รีบชวนไผ่กับจักจั่นกลับ

ooooooo

ขณะเดียวกัน เยซินกับสมุนเต็มรถกระบะสามคันระดมยิงสมาชิกโจรในคราบชาวค่ายอาสาฯ ซึ่งยืนเฝ้าระวังอยู่หน้าค่ายตายเรียบ แล้วกระจายกำลังเข้ายึดค่าย เสียงปืนยิงต่อสู้กันดังสนั่นหวั่นไหวแข่งกับเสียงกรีดร้อง ชาวค่ายอาสาฯที่มากางเต็นท์หลบภัย ต่างแตกตื่นวิ่งหนีตายกันโกลาหล

จันจิรากำลังตรวจเด็กๆอยู่ในอาคารพยาบาลถึงกับสะดุ้ง เด็กๆตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เยซินกับสมุนอีกกลุ่มหนึ่งบุกพรวดเข้ามา สั่งทุกคนออกไปให้หมด

"ที่นี่ห้องพยาบาล...พวกแกโง่หรือไง ขนาดสงครามโลกเขายังละเว้น...มีแต่พวกป่าเถื่อนเท่านั้นที่คิดบุกโรงพยาบาล...ทำร้ายคนเจ็บ" จันจิรามองเยซินอย่างเอาเรื่อง

"ถ้าอยากอยู่ที่นี่ก็ตามใจ...แต่บอกให้รู้ ค่ายอาสาฯ กำลังจะถูกเผา...พาพวกนี้ออกไป" เยซินสั่งเสียงเฉียบ พวกสมุนไล่ต้อนทุกคนออกจากอาคาร จันจิรากลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับ สมุนใช้ด้ามปืนดันเธอ

ทันใดนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด สมุนของเยซิน

คนหนึ่งล้มคว่ำ เยซินหันขวับไปมอง เห็นลุงหงวนยิงปืนใส่

สมุนอีกคนร่วง เขาไม่รอช้าตวัดปืนกราดยิงไม่ยั้ง ลุงหงวนฟุบจมกองเลือด จันจิราขยับจะเข้าไปหาลุงหงวนแต่เยซินหันปืนเล็งใส่

"เอาซิ...แกคิดจะยิงผู้หญิงก็เอาซิ" จันจิราท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว

"ลากตัวพวกมันออกไปให้หมด"

พวกสมุนคุมตัวจันจิรากับเด็กๆออกไปที่ลานหน้าค่าย เห็นเต็นท์ที่พักของชาวค่ายอาสาฯบางส่วนถูกไฟเผาผลาญ จันจิราหันไปด่าเยซินด้วยความเจ็บแค้นใจ แต่เขาไม่สะทกสะท้านกลับยิ้มเยือกเย็น

"พวกแกจ้างไอมาเผา...ต้องโทษพวกแกเอง"

"แกต้องไม่ตายดี" จันจิราสาปแช่ง

เยซินไม่สนใจ สั่งสมุนเผาทุกอย่างให้ราบ เด็กๆที่เดินอยู่กับจันจิรา เจอแม่ของตัวเองต่างโผกอดกันร้องไห้ระงม จันจิราหันกลับไปมอง เห็นอาคารทุกหลังในค่ายอาสาฯถูกไฟลุกท่วมควันโขมง...

ไผ่ ดาวกับจักจั่นกำลังนั่งอยู่บนรถจี๊ปมุ่งหน้ากลับค่ายอาสาฯเห็นกลุ่มควันดำทะมึนลอยอยู่ไกลๆรู้ทันทีว่าค่ายอาสาฯถูกเผา ไผ่ถามดาวว่าจะเอาอย่างไรดี จะกลับค่ายอาสาฯ หรือตามล่าพวกมัน

ดาวจ้องไปข้างหน้า ตาวาวด้วยความเคียดแค้น "พี่ไผ่... ตามล่าพวกมัน อย่าให้มันหนีรอดไปได้"

ไผ่ร้องเรียกสายลมให้ช่วยนำทาง สายลมส่งเสียงร้องดังก้องแล้วบินวกกลับไปทางป่าลึก ไผ่เห็นพวกคนร้ายผ่านทางสายตาของสายลม "พวกมันหนีเข้าป่าแทนที่จะออกถนนสายหลัก"

"พวกมันต้องมีแผนรอเราอยู่" จักจั่นตั้งข้อสังเกต ดาวพยักหน้าเห็นด้วย เตือนไผ่กับจักจั่นให้ระวังตัว

รถของไผ่แล่นมาตามทางได้สักระยะ ทุกคนในรถพากันแปลกใจที่เห็นด่านตรวจตั้งอยู่เบื้องหน้า มีเจ้าหน้าที่ยืนรักษาการณ์อยู่นับสิบนาย ด้านหลังด่านตรวจมีเต็นท์ตั้งอยู่หลายหลัง ในนั้นเต็มไปด้วยลังใส่สินค้า พอรถของไผ่แล่นเข้าไปใกล้ เจ้าหน้าที่โบกมือเป็นเชิงห้ามผ่าน ดาวยื่นหน้ามาพูดกับเจ้าหน้าที่

"เราตามพวกคนร้ายมา...รอยรถเข้าไปข้างใน"

"เสียใจด้วยครับ ที่นี่เป็นที่ของบริษัทสำรวจป่า ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย...บุคคลภายนอกห้ามเข้า"

"ไอ้พวกคนร้ายเข้าได้ แต่เราเข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ" จักจั่นโวยลั่น

"เสียใจด้วยครับ...ต้องมีหมาย"

ดาวมองหน้าเจ้าหน้าที่แล้วหันมองสบตาไผ่กับจักจั่น จังหวะนั้น รถจี๊ปคันหนึ่งวิ่งฝุ่นตลบออกมาหน้าด่าน เยซินกับ เหล่าสมุนพร้อมอาวุธครบมือนั่งมาเต็มคันรถ เยซินจ้องหน้าพวกดาวเขม็ง

"พวกแกเป็นใคร...คิดจะบุกรุกหรือ"

ดาวไม่อยากมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ จึงชวนไผ่กลับ ไผ่ถอยรถแล้วตีวงเลี้ยวกลับ เยซินมองตามสะใจ

"มันว่าพวกเราบุกรุก...เราจะกลับมาบุกรุกให้พวกมันดู" แววตาของดาวขณะพูดดูดุดันน่ากลัว

ooooooo

บ้านของป้าเนียนตอนนี้กลายสภาพเป็นที่พักพิงชั่วคราวของชาวค่ายอาสาฯ มีชาวค่ายอาสาฯเข้าแถวรอรับอาหารจากป้าเนียนแถวยาวเหยียด ระหว่างนั้น รถตู้ของคุณหญิงรัตนากับรถคุ้มกันอีกคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้าน คนของท่านรองฯก้องเกียรติสองคน ปราดลงจากรถมายืนเฝ้าระวังให้คุณหญิงรัตนา

ป้าเนียนเหลือบเห็นคุณหญิงรัตนาเดินเข้ามา รีบวางมือจากทัพพีตักอาหาร ตรงเข้ามาไหว้ทักทาย คุณหญิงรัตนาร้อนใจ ได้ข่าวเรื่องค่ายอาสาฯถูกเผาก็เลยรีบมา

"หนูดาวกับทุกคนออกไปตามล่าพวกมันค่ะ...พวกมัน เลวจริงๆ"

คุณหญิงรัตนาเห็นป้าเนียนมีงานล้นมือ ไม่อยากรบกวนขอตัวกลับก่อน วานป้าเนียนช่วยบอกหนูดาวด้วยว่าเธออยู่บ้านพักที่บ้านดอนเสือ...

ครู่ต่อมา ดาว ไผ่กับจักจั่นมาถึงบ้านป้าเนียน เห็นชาวค่ายอาสาฯที่ต้องอยู่กันอย่างยากลำบากยิ่งพากันแค้นใจ ทั้งสามคนเข้ามาซักถามป้าเนียนว่ามีใครเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า ป้าเนียนพยักหน้าน้ำตาซึม ลุงหงวนคิดสู้พวกมันเลยยิงเขาตาย ไผ่แค้นจัดขบกรามแน่น ขณะที่จักจั่นกับดาวพยายามข่มอารมณ์ไว้

ป้าเนียนนึกได้ "...อ้อ...คุณหญิงรัตนามาจ้ะหนูดาว ท่่านบอกว่าได้ข่าวว่าค่ายถูกเผา ติดต่อใครไม่ได้ ก็เลยรีบมา ตอนนี้ท่านอยู่ที่บ้านพัก"

"ดาวกับจักจั่นรีบไปหาคุณหญิงเถอะ...พี่จะอยู่ที่นี่เองไม่ต้องห่วง"

ดาวพยักหน้าให้ไผ่แล้วคว้ามือจักจั่นดึงออกไป จันจิราเห็นไผ่กลับมาก็ดีใจรีบวิ่งเข้ามาหา ไผ่กอดเธอไว้ในอ้อมแขนปลอบขวัญ ป้าเนียนมองทั้งคู่ยิ้มๆ...

จักจั่นกับดาวมาถึงหน้าบ้านพักของคุณหญิงรัตนา แปลกใจที่เห็นบ้านเงียบผิดปกติ บอดี้การ์ดที่ท่านรองฯก้องเกียรติส่งมาคุ้มกันคุณหญิงรัตนาก็ไม่เห็นอยู่แถวนั้น ดาวไม่ค่อยวางใจนักเตือนจักจั่นให้ระวังตัว สองสาวชักปืนมากระชับไว้ในมือ ค่อยๆเปิดประตูบ้านอย่างระมัดระวัง

เจอคุณหญิงรัตนายืนยิ้มอยู่ ชวนสองสาวเข้ามาข้างในกันก่อน ดาวเบาใจที่เห็นคุณอาหญิงไม่เป็นอะไร แต่ทันทีที่สองสาวเข้าไปในตัวบ้าน คนร้ายห้าคนพร้อมอาวุธตรงเข้ามาล้อมพวกเธอไว้ ลินจงสั่งให้ดาวกับจักจั่นยอมจำนน สองสาวยื่นปืนของตัวเองมาด้านหน้า สมุนสองคนดึงปืนของทั้งคู่ไป

"อาเสียใจ...มันจับคนของท่านรองฯไว้ ไม่อย่างนั้น

อาไม่ยอมพวกมันหรอก"

ดาวกราดสายตาไปที่มุมห้อง เห็นชายสองคนถูกมัดมือมัดปาก มีชายฉกรรจ์สองคนถือปืนเฝ้าระวังอยู่ ลินจงสั่งสมุนคุมตัวทั้งสามคนออกไป ดาวต่อรองในเมื่อลินจงได้ตัวพวกเธอ แล้วก็ควรปล่อยคุณอาหญิงไป

"ความจริงฉันต้องการแค่คุณหญิง แต่แกสองคนมาเป็นโบนัส...ฉันก็ไม่ขัดข้อง"

"โลภมากเดี๋ยวก็ไม่ได้ตายดีหรอก" จักจั่นแดกดัน

"จะบอกให้เอาบุญ เรากำลังกวาดล้างพวกแกทุกคน แกคงเห็นค่ายอาสาฯราบไปแล้ว ต่อไปก็ท่านรองฯ นายอภิชาติ พวกชุมโจรของพวกแก" ลินจงเห็นสีหน้าคาดไม่ถึงของดาวกับจักจั่นก็ยิ้มสะใจ "ใช่...พวกชุมโจรของพวกแก ดาวเทียมของเราหาตำแหน่งของพวกแกได้ทุกจุด...ทุกคนจะได้พบจุดจบเช่นเดียวกับผู้กองฤทธิชัย แม้กระทั่งนางเสือ" ลินจงพยักหน้าให้พวกสมุนพาดาว จักจั่น และคุณหญิงรัตนาไปขึ้นรถ

ooooooo

ขณะไผ่กำลังช่วยป้าเนียนกับจันจิราดูแลพวกชาวค่ายอาสาฯ มีเสียงร้องเตือนของสายลมดังขึ้น ไผ่จับสัญญาณได้ว่าดาวกับจักจั่นกำลังเดือดร้อน รีบบอกป้าเนียนกับจันจิรา แล้วขอตัวไปช่วยสองสาวก่อน

"อ้าว...พี่ไผ่ไม่อยู่พวกเราจะทำอย่างไร" จันจิราสีหน้าหวั่นๆ

"พวกมันไม่สนจันแล้วก็พวกชาวบ้านหรอก รับรองได้ว่าพวกมันไม่มาแน่นอน"

จันจิราฟังแล้วสบายใจขึ้น ไผ่ยิ้มให้แล้ววิ่งไปขึ้นรถจี๊ปขับออกไป ระหว่างขับรถตามรอยรถของคนร้ายที่จับตัวดาวกับจักจั่นไป ไผ่อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมสองสาวถึงพลาดท่าเสียทีให้พวกคนร้าย แต่พอตั้งสมาธิก็เห็นรถอีกคันหนึ่งของคนร้ายมีคุณหญิงรัตนาถูกคุมตัวอยู่ ไผ่ถึงบางอ้อทันที...

ดาวไม่กล้าผลีผลามลงมือเกรงคุณหญิงรัตนาจะเป็นอันตราย ส่งพลังจิตบอกให้จักจั่นอยู่เฉยไว้ก่อน จังหวะนั้น มี เสียงร้องของสายลมดังขึ้น ดาวสัมผัสได้ว่าไผ่ตามมาแล้ว รีบส่งพลังจิตไปบอก

"พี่ไผ่...พวกมันกำลังบุกไปที่ค่ายโจร...รีบไปช่วยพ่อแสงกับแม่สมพรแล้วก็ลุงเดชเร็วที่สุด"

ไผ่ได้ยินชัดเต็มสองหู หักพวงมาลัยรถกลับ บ่ายหน้าไปยังค่ายโจรใหญ่กลางป่าลึก สายลมส่งเสียงร้องขึ้นอีกครั้ง ลินจงสังเกตเห็นดาวกับจักจั่นพยักพเยิดให้กัน เธอแหงนมองท้องฟ้าสีหน้าเริ่มสงสัย...

เยซินกับเหล่าสมุนกระจายกำลังโอบล้อมค่ายโจรใหญ่ มีเสียงคำรามเตือนภัยของสายฟ้าดังขึ้น แสงลุกพรวด ตะโกนลั่นว่ามีผู้บุกรุก ขาดคำก็มีเสียงปืนดังสนั่นจากทุกทิศทุกทาง สมาชิกโจรที่ยืนเฝ้าระวังอยู่ตามจุดต่างๆในค่าย ล้มคว่ำไปทีละคน แสงคว้าปืนยิงใส่สมุนเยซินที่ดาหน้าเข้ามาล้มฟุบไปหลายคน

"ทุกคนถอยเข้าแนวป่าเร็วเข้า"

แสงตะโกนพลางยิงโต้กลับไปด้วย สมุนคนหนึ่งโผล่มาทางด้านหลัง ยกปืนเล็งไปยังแสง สมพรร้องเตือนให้ระวัง แล้วรีบวิ่งมาบังร่างของแสงไว้ เสียงปืนดังปัง สมพรทรุดฮวบ แสงหันมารับเมียรักไว้ได้ทัน พวกสมุนได้ทีกรูกันเข้าหา สายฟ้าปรากฏตัวขึ้น ตรงเข้าขย้ำพวกนั้นจมเขี้ยว

แสงตั้งหลักได้ ประคองร่างหมดสติของสมพรพยายามยิงฝ่าวงล้อมพวกนั้นออกไป สมุนคนหนึ่งยิงถูกหัวไหล่ของแสงถึงกับทรุดปืนกระเด็นหลุดมือ แสงไม่ยอมแพ้ กระชากปืนอีกกระบอกหนึ่งขึ้นมายิงสวนเปรี้ยง สมุนหงายท้องตึง สมุนของเยซินยังรุกไล่เข้ามาไม่หยุด

ก่อนที่แสงจะเสียทีให้พวกมัน ไผ่พุ่งจากต้นไม้ลงมาตรงหน้าพ่อกับแม่ ยิงเปิดทางให้สมาชิกโจรเข้ามาประคองร่างของแสงกับสมพรหนีเข้าไปในดงไม้หนาทึบ ไผ่กราดยิงพวกสมุนตายเกลื่อน แต่อยู่ๆก็หยุดยิง จ้องหน้าเยซินซึ่งกำลังจ้องเขาอยู่

"แล้วเจอกัน" ไผ่ว่าแล้วดีดตัวหายเข้าป่าทึบ เยซิน มองตามด้วยความแค้น...

ในเวลาเดียวกัน ที่ค่ายโจรชั่วคราว ลุงเดชแหงนหน้ามองสายลมที่กำลังบินวนส่งเสียงร้องเตือนภัยอยู่เหนือหัว สมาชิกโจรคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานว่า มีพวกเราบางคนได้ยินเสียงปืนแว่วเข้ามา

"บอกพวกเราเตรียมตัวให้พร้อม" ลุงเดชสั่งเสียงเฉียบ

สมาชิกโจรรับคำแล้วรีบไปปฏิบัติตาม ลุงเดชกราดสายตาไปรอบๆเห็นสมาชิกโจรยืนเฝ้าระวังอยู่เป็นจุดๆเดินเข้าไปหาคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด "เหตุการณ์ผิดปกติ ระวังให้ดี... ข้าจะออกไปตรวจดูรอบๆ"

ooooooo

ไผ่สีหน้าไม่สู้ดีนักที่เห็นพ่อกับแม่นอนไม่ได้สติอยู่ภายในเต็นท์ชั่วคราวที่สมาชิกโจรจัดเตรียมไว้ แต่พอ สมาชิกโจรซึ่งมาปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้รายงานว่าทั้งคู่ปลอดภัยแล้ว กระสุนไม่ถูกที่สำคัญ ไผ่ถอนใจ โล่งอก

"ส่งคนไปรับคุณจันจิราที่บ้านป้าเนียนให้มาดูพ่อแสงกับแม่สมพรเร็วที่สุด แล้วจัดคนคอยระวังพวกมันให้ดี...ถ้าพ่อแสงกับแม่สมพรฟื้น บอกว่าผมต้องรีบไปเตือนลุงเดช"

"คุณไผ่ไม่ต้องห่วงที่นี่ครับ"

ไผ่พยักหน้า แล้วดีดตัวหายเข้าไปในยอดไม้...

ขณะที่ลุงเดชกำลังเดินสำรวจรอบๆค่ายรู้สึกเหมือนมีใครยืนอยู่ข้างหลัง เขาหันขวับ เจออาจารย์เฉินยืนอยู่ตรงหน้า ลุงเดชไม่รอช้าตวัดพานท้ายปืนใส่ อาจารย์เฉินเบี่ยงตัวหลบ แล้วสาดผงสีขาวเข้าเต็มหน้า ลุงเดชตาพร่าเข่าอ่อน รีบเหนี่ยวไกปืนเปรี้ยงๆๆๆก่อนจะล้มลงหมดสติ

เสียงปืนดังกึกก้อง ผู้กองฤทธิชัยกำลังยืนเฝ้าระวังอยู่กับสมาชิกโจรสองคนหลังค่ายถึงกับชะงัก ถามว่าเกิดอะไรขึ้น สมาชิกโจรรู้ดีว่านี่คือสัญญาณภัยจากปืนของลุงเดช เตือนให้ทุกคนถอย

"ถ้าอย่างนั้น ทุกคนถอยไปก่อน...เร็วเข้า" ฤทธิชัยรีบสั่งการ

เหล่าสมาชิกโจรต่างคว้าปืนประจำกายรีบมุ่งหน้าเข้าป่าลึก แต่ฤทธิชัยเองกลับเดินสวนทางคนอื่นๆตามเสียงปืนของลุงเดชมาถึงอีกฝั่งหนึ่งของค่าย เจอปืนของลุงเดชตกอยู่ เขาชักปืนขึ้นมาเตรียมพร้อม กราดสายตาไปรอบๆอย่างระแวดระวัง พลันอาจารย์เฉินโผล่มาจากด้านหลัง

ฤทธิชัยรู้ทัน ตวัดปืนจ่อหน้าสั่งให้คืนลุงเดชมา นอกจากไม่คืนลุงเดชให้ อาจารย์เฉินจะเอาฤทธิชัยไปเป็นของแถมด้วย ผู้กองหนุ่มไม่ยอม ยิงกราดไม่ยั้ง แต่อาจารย์เฉินมีฝีมือดีดตัวหลบกระสุนได้หมด ก่อนจะอัดฤทธิชัยกระเด็นแล้วตามเข้าไปสะบัดผงสีขาวใส่หน้า ดีที่ไผ่โฉบเข้ามาดึงร่างฤทธิชัยออกไปได้ทัน

"เล่นผงยาสลบหรือเพื่อน" ไผ่ยิ้มเหยียด กระชากปืนขึ้นมากระหน่ำยิงไม่เลี้ยง อาจารย์เฉินเห็นท่าไม่ดีพุ่งตัวหายเข้าไปในดงไม้ ไผ่ยิงไล่หลังจนกระสุนหมดแต่ไร้ประโยชน์ ฤทธิชัยตามเข้ามาสมทบ

"มันจับลุงเดชไป"

"ไม่ใช่แค่ลุงเดช พวกมันเผาค่ายอาสาฯ บุกไปเล่นงานพ่อแสงกับแม่สมพร คุณหญิงรัตนา ดาวกับจักจั่นถูกพวกมันเอาตัวไปแล้ว"

ฤทธิชัยถึงกับอึ้ง คาดไม่ถึงว่าดาวจะเสียท่าให้พวกนั้น "แล้วป้าเนียนกับจันจิราล่ะ"

"พวกมันไม่สนใจสองคนนั่น...มันแค่ต้องการทำลายขุมกำลังของพวกเรา"

"พวกมันคิดกำจัดทุกคน" ฤทธิชัยพึมพำหน้าเครียด

ooooooo

หลังจากเกิดเรื่องที่สำนักงานทนายความของตัวเอง อภิชาติหวั่นใจว่าอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นที่บ้านดอนเสือรีบเคลียร์งานแล้วเดินทางมาทันที เป็นจริงอย่างที่อภิชาติหวั่นใจ สินชัยโทร.มาเย้ยว่า ตอนนี้คุณหญิงรัตนา ดาว และจักจั่น รวมทั้งลุงเดชตกอยู่ในกำมือของเขาเรียบร้อยแล้ว อภิชาติข่มอารมณ์แทบไม่อยู่

"ถ้าคนพวกนั้นเป็นอะไรแม้แต่รอยข่วน...ผมจะตามล่าคุณไปตลอดชีวิต"

"ถ้าเห็นแม้แต่เงาของพวกคุณเข้าใกล้สถานีสำรวจของผม...ทุกคนจบ...จำไว้" สินชัยขู่กลับ

"ให้มันรู้ไปว่าใครจะจบ" อภิชาติแค้นจัดโยนมือถือไปบนที่นั่งข้างคนขับ แล้วเหยียบคันเร่งมิด...

ลินจงนำตัวคุณหญิงรัตนา ดาวกับจักจั่นไปกักขังไว้ในถ้ำลึกลับแห่งหนึ่งกลางหุบเขา ตราบใดที่พวกของดาวที่เหลือ ไม่ขัดขวางการทำงานของพวกเธอ ทุกคนก็จะปลอดภัย

"ถ้าฉันหลุดออกไปได้ พวกแกเจอดีแน่" จักจั่นเข่นเขี้ยว

ลินจงไม่สนใจคำขู่ สั่งเข้มให้พวกสมุนเฝ้าหน้าถ้ำไว้ให้ดี ถ้าใครคิดหนียิงได้เลย พอพวกลิงจงไปกันหมด ดาว จักจั่นและคุณหญิงรัตนาโผกอดกันกลม...

สมาชิกโจรที่รอดจากถูกพวกสินชัยโจมตี ถอยร่นลึกเข้าไปในป่าตั้งเต็นท์ฉุกเฉินไว้รักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสองหลัง และอีกหนึ่งหลังไว้เป็นกองบัญชาการ พวกสมาชิกโจรที่ยังแข็งแรง กระจายกำลังกันเฝ้าระวังโดยรอบ ไม่นานนัก ไผ่ขับรถพาอภิชาติมาถึง ทั้งคู่ตรงดิ่งไปหาฤทธิชัยที่เต็นท์บัญชาการ อภิชาติเล่าเรื่องที่สินชัยโทร.มาขู่จะฆ่าดาวกับพวก ถ้าเราเข้าใกล้สถานีสำรวจป่าของเขาให้ฤทธิชัยกับไผ่ฟัง

"เราต้องช่วยคุณอาหญิง คุณดาว คุณจักจั่นกับลุงเดชกลับมาก่อน แล้วค่อยบุกสถานีสำรวจ จัดการพวกมันไม่ให้เหลือซาก... ไผ่คิดว่าไง...พอจะมีทางหาพวกมันเจอไหม" ฤทธิชัยมองหน้าไผ่

"ไม่ว่าพวกมันจะไปอยู่ที่ไหน ย่อมหนีไม่พ้นสายตาของป่า" ไผ่ยังอุบเงียบเรื่องสายลมกับสายฟ้า

อภิชาตินึกอะไรขึ้นมาได้ ถามไผ่ว่ามีเครื่องรับส่งวิทยุหรือเปล่า ถ้ามีเอาติดไปด้วย เผื่อพวกมันมีการสื่อสารกัน เราอาจจะจับคลื่นของพวกมันได้ ไผ่พยักหน้ารับคำ

ooooooo

ที่ถ้ำลึกลับกลางหุบเขา สินชัยแวะมาทักทายคุณหญิงรัตนา โดยมีลินจงกับสมุนในชุดดำยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ คุณหญิงรัตนาไม่สนใจสินชัย เมินหน้าหนี

"อันที่จริงคุณหญิงน่าจะขอบใจผมมากกว่า..." สินชัยหยุดพูด มองคุณหญิงรัตนาเขม็ง "ผมจะบอกให้เอาบุญ...ลูกสาวคุณหญิงยังมีชีวิตอยู่"

คราวนี้คุณหญิงรัตนาหันขวับ จ้องหน้าสินชัยสีหน้าตื่นเต้น สินชัยเห็นคุณหญิงรัตนาสนใจ ทำลีลาท่ามาก อ้างว่ามีคนรู้เรื่องนี้ดีกว่าตัวเขา แล้วหันไปพยักพเยิดให้นายไชย กับสมุนหิ้วปืนลุงเดชเข้ามา ก่อนจะผลักลงไปคลุกฝุ่นกับพื้น ดาวกับจักจั่นปราดเข้าไปประคองให้เขาลุกขึ้น

"ลุงเดชเป็นคนที่อยู่กับคุณอิทธิในวันที่เกิดเหตุและเอาตัวลูกสาวท่านไป" สินชัยยิ้มแสยะ

คุณหญิงรัตนา ดาวกับจักจั่นต่างมองหน้าลุงเดชเป็นตาเดียวกัน ลุงเดชจ้องหน้าสินชัยอย่างเกลียดชัง

"เอ็งควรจะบอกได้ดีกว่าข้า เพราะไอ้คนที่ลอบทำร้ายท่านอิทธิยืนอยู่ข้างๆเอ็ง"

"ใช่...ไอ้อิทธิมันฆ่าน้องชายข้า" นายไชยสมองกลวง รับสารภาพหน้าตาเฉย

สินชัยถลึงตามองนายไชย ฉุนขาดแทบอยากจะยิงทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด "เอ็งมีเรื่องจะพล่ามอีกไหม"

นายไชยเงียบ สีหน้าไม่พอใจ สินชัยรีบพูดกลบเกลื่อน ใครจะเป็นลูกสาวของใครเขาไม่สน แต่ถ้าใครขวางทางเขาต้องตายสถานเดียว คุณหญิงรัตนามองตามสินชัยเดินจากไปอย่างเคียดแค้น ลินจงกับนายไชยและชายชุดดำรีบเดินตามเจ้านายใหญ่

พอพวกนั้นคล้อยหลัง ความลับทั้งหลายก็พรั่งพรูออกจากปากลุงเดช พร้อมกับคำขออภัยต่อคุณหญิงรัตนาที่ไม่ได้เรียนเรื่องนี้ให้ทราบ เพราะเป็นความต้องการของท่านอิทธิ คุณหญิงรัตนาพยักหน้าเข้าใจ

"ท่านอิทธิต้องการให้หนูพฤกษาคอยปกป้องป่าเหมือนท่าน"

"ฉันรู้อยู่เสมอว่าท่านอิทธิต้องการเช่นนั้น ฉันเองก็เช่นกัน...ฉันสบายใจแล้ว"

"แต่...คุณอาหญิงตามหาน้องพฤกษามาถึง 15 ปีแล้วนะคะ" จักจั่นทักท้วง

"อารู้ความจริงแล้ว อาเต็มใจและยินดีจ้ะ อาคิดว่าลูกพฤกษาต้องเข้าใจ เพราะลูกพฤกษาเองก็รักป่าเหมือนพ่อของแก" คุณหญิงรัตนายิ้มกว้าง ดาวกับจักจั่นต่างมองลุงเดช แต่ไม่กล้าถามอะไร

"ผมทราบอยู่แล้วว่าท่านอิทธิมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ เสียสละเพื่อป่า เพื่อชาติ แต่เพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เองว่าคุณหญิงก็มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่เห็นชาติเหนือความรักของตัวเองที่มีต่อลูก" ลุงเดชมองคุณหญิงรัตนาอย่างยกย่อง แล้วหันไปทางดาวซึ่งนั่งฟังอย่างตื่นเต้น "หนูดาว...กราบแม่ของหนูสิ"

ดาวถึงกับตะลึง ได้แต่จ้องหน้าคุณหญิงรัตนาที่กำลังน้ำตาไหลดีใจจนพูดไม่ออก...

ขณะเดียวกัน ไผ่ขับรถตามเสียงร้องของสายลมลึกเข้าไปในป่า ฤทธิชัยชักไม่แน่ใจว่าไผ่พามาถูกทางหรือเปล่า ไผ่มั่นใจว่าถูกทาง แต่เป็นเพราะพวกคนร้ายล่วงหน้าเราไปนานแล้ว คงต้องใช้เวลานานหน่อยกว่าจะตามทัน อภิชาติลอบสบตากับเพื่อนซี้ แล้วแกล้งถามไผ่ว่าเคยเจอนางเสือไหม ไผ่ส่ายหน้า"

"แล้วจริงหรือเปล่าที่นางเสือมีเสือเจ้าป่ามาคอยคุ้มกัน"

"เห็นลือกันว่าอย่างนั้นครับ ก็น่าจะใช่...ทำไมหรือครับ"

อภิชาติแค่อยากรู้เท่านั้นไม่มีอะไร ไผ่เลี้ยวรถเข้าทางขรุขระ ทันใดนั้น เสียงสายลมร้องเตือนภัยดังขึ้น ไผ่รีบหักรถหลบหลังต้นไม้ใหญ่ เป็นจังหวะเดียวกับมีเสียงปืนดังสนั่น ทั้งสามคนพุ่งลงจากรถ ตวัดปืนขึ้นมายิงโต้กลับ ชายในชุดดำนับสิบคนตีวงล้อมเข้ามา ฤทธิชัยเห็นท่าไม่ดี ขืนพวกเราติดอยู่ที่นี่คงตามพวกดาวไม่ทันแน่

"ถ้าอย่างนั้น แยกกันไป...จัดการกับพวกมัน" อภิชาติ เสนอแนะ

ไผ่กับฤทธิชัยพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสามคนต่างแยกกันไปคนละทาง หัวหน้าชายชุดดำโบกมือให้คนของตน

ตามไปเก็บฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก ไผ่ ฤทธิชัย และอภิชาติต่างหากที่เป็นฝ่ายจัดการกับพวกชายชุดดำได้อย่างราบคาบและรวดเร็ว

ooooooo