ตอนที่ 3
แคนไม่รอช้ากระโดดถีบยอดอกศรีไพรเซไปกระแทกตู้ร้านขายกาแฟข้างๆข้าวของแตกกระจาย ชาวบ้านที่อยู่ในร้านตกใจส่งเสียงร้องวี้ดว้ายลั่น ตามาพ่อของแคนกำลังซื้อโอเลี้ยง หันขวับไปมอง เห็นไอ้ดำกับไอ้ขาวช่วยกันจับตัวแคนไว้ ก่อนจะถูกเขาซัดหน้าหงาย ตามาทิ้งถุงโอเลี้ยง วิ่งเข้าไปหา
หมอลำหนุ่มโกรธจัด ตรงเข้ากระชากคอเสื้อศรีไพรให้ลุกขึ้น ศรีไพรเห็นชาวบ้านเริ่มเข้ามามุงดู ทำเป็นไม่สู้ ปล่อยให้แคนทำร้ายฝ่ายเดียว ตามาแหวกฝูงไทยมุงเข้ามาถามลูกชายมีเรื่องอะไรกัน
“มันส่งคนไปเผาบ้านแม่ครูคำแปง มันไม่พอใจที่แม่ครูคอยช่วยเหลือฉัน มันเล่นงานฉันไม่ได้ก็เลยหันไปเล่นงานแม่ครูแทน”
ดำให้แคนเอาหลักฐานมาแสดง ไม่ใช่กล่าวหากันลอยๆแบบนี้ แคนถึงกับอึ้ง ศรีไพรสบโอกาส กล่าวหาแคนใส่ร้ายตนเพราะต้องการกำจัดคู่แข่งให้พ้นทางเพื่อจะได้ครอบครองคำหล้า แคนฉุนขาดคว้าขวดน้ำหวานตีกับขอบโต๊ะแตกเป็นปากฉลาม แล้วดันตัวศรีไพรกระแทกผนัง เงื้อมือจะแทงให้สมแค้นตามาพุ่งเข้าไปปรามลูกชายให้มีสติ ขืนทำอะไรบุ่มบ่ามมีสิทธิ์ติดคุกหัวโต แคนชะงัก ศรีไพรกระซิบยั่วแคน
“ถ้าฉันรอดไปได้ พ่อแกตายแน่”
แคนโมโหเงื้อมือจะแทงศรีไพรอีก แต่คำหล้าเข้าดึงมือไว้ทัน ช่วยกันเขาออกมา ขณะที่ดำกับขาวดึงลูกพี่ตัวเอง
ถอยห่าง แคนฮึดฮัดจะเข้าไปเอาเรื่องศรีไพรให้ได้ ชาวบ้านเห็นพฤติกรรมของแคนแล้วรับไม่ค่อยได้ พากันวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา บางคนไม่ชอบใจถึงขนาดออกปากจะไม่ฟังเพลงที่แคนร้องอีกต่อไป แคนพยายามจะอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจ แต่คำหล้าดึงแขนเขาไว้ แคนสะบัดมือออกอย่างไม่สบอารมณ์
“ขืนพี่ใช้อารมณ์อย่างนี้ ทำอะไรก็เข้าทางพวกมันหมด...อย่าลืมสิว่าครั้งนี้พวกมันวางแผนมาดี ทำทีเป็นเข้ามาขอโทษพวกเรา แต่ลับหลังก็ส่งคนไปเผาบ้านแม่ครู แล้วสร้างสถานการณ์ให้พี่ดูเหมือนเป็นคนเลวในสายตาทุกคน ถ้าพี่ไม่อยากให้แผนของพวกมันสำเร็จก็อย่าไปเล่นตามเกมพวกมัน”
แคนยังฮึดฮัด แต่ก็ยอมทำตามคำแนะนำของคำหล้า...
แผนการของศรีไพรได้ผล แม้แต่เถ้าแก่เส็งยังหลงเชื่อว่าแคนเป็นฝ่ายมาหาเรื่องเขาก่อน ดำไม่อยากมีปัญหากับเถ้าแก่เส็ง แนะลูกพี่ให้หยุดแผนพิฆาตแคนไว้ก่อน ศรีไพรปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่...โบราณว่าไว้จะตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ชาวบ้านเริ่มไม่พอใจมันแล้ว ต่อไปฉันจะทำให้มันกลายเป็นหมาหัวเน่าในสายตาของทุกคน ถึงตอนนั้นมันก็เหมือนลูกไก่ในกำมือฉันจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด”
ooooooo
ขณะครูตะวันกำลังคุยกับคำแปงถึงความคืบหน้าคดีลอบเผาบ้านของเธอ เขียวชาวบ้านที่คอยสืบเรื่องเรือดูดทรายให้ครูตะวัน วิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงาน มีเรือออกมาดูดทรายนอกเขตสัมปทานอีกแล้ว พิณหันมาฟังด้วยความสนใจ ครู่ต่อมา ครูตะวันกับพิณมาซุ่มอยู่แถวริมฝั่งดูเรือดูดทรายลำใหญ่กลางแม่น้ำมูล
“ไอ้เรือพวกนี้ชอบมาดูดทรายนอกเขตสัมปทาน ทำให้ตลิ่งพัง ปลาไม่มีที่วางไข่ พวกชาวบ้านก็เลยรวมตัวกันจับพวกมันมาลงโทษ”
พิณเข้าใจแล้วทำไมครูตะวันกับพวกชาวบ้านถึงได้เป็นเดือดเป็นแค้นกับเรื่องนี้นัก จังหวะนั้น เขียวเข้ามารายงานครูตะวันทุกอย่างพร้อมแล้ว...
ท่ามกลางความมืด เรือหางยาวของครูตะวันและพวก ชาวบ้านจำนวน 4 ลำ แล่นออกจากที่ซ่อนเตรียมปิดทาง ไม่ให้เรือดูดทรายหนี คนขับเรือดูดทรายรู้ตัวก่อน สั่งลูกน้องปิดหัวดูดทราย แล้วเร่งเครื่องหนี พวกครูตะวันไล่ตาม พิณ ซึ่งเป็นคนขับเรือลำที่ครูตะวันนั่ง เร่งเครื่องนำหน้าลำอื่น ทันใด นั้น มีเรือหางยาวของพวกดูดทรายอีกสองลำแล่นสวนเข้ามายิงเปิดทางให้เรือดูดทรายหนี พวกครูตะวันต่างหลบกระสุน กันวุ่นวาย
ชาวบ้านระดมยิงโต้ตอบ ต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บ พวกชาวบ้านสู้ไม่ถอยต้องการจะจับคนเลวๆพวกนี้ให้ได้ พิณตะโกนบอกเขียวยิงคุ้มกันให้ด้วย แล้วเร่งเครื่องประกบข้างเรือดูดทราย ครูตะวันสลับที่มาเป็นคนขับเรือแทนพิณ พอได้จังหวะ พิณโดดขึ้นเรือดูดทราย ถีบลูกเรือกระเด็นตกน้ำ แล้วพุ่งเข้าหาคนขับซึ่งชักปืนยิงสกัดเขาไว้ พิณดีดตัวหลบยิงสวนกลับ คนขับเรือเห็นท่าไม่ดี กระโดดหนีลงน้ำ เรือหางยาวคุ้มกันแล่นเข้ามารับคนขับเรือดูดทรายหนีหายไปในความมืด ครูตะวันเร่งเครื่องตามแต่ไม่ทัน
ooooooo
เถ้าแก่เส็งโกรธมากที่เรือดูดทรายมูลค่าหลายล้านบาทถูกพวกชาวบ้านยึดไป ทั้งถีบทั้งตบคนขับเรือกับพวกลูกเรือที่ทำงานพลาด คนขับเรือซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มออกหน้าแทนลูกน้องรับอาสาจะไปเอาเรือคืนให้
“ตอนนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องเรือ ถ้าพวกมันรู้ว่าอั๊วอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด พวกเราได้บรรลัยกันหมดแน่”
ศรีไพรซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วย รับเป็นธุระเรื่องนี้เอง เถ้าแก่เส็ง มองหน้าลูกชายอย่างไม่ค่อยจะเชื่อถือคำพูดนัก แต่ศรีไพรยืนยันจะเอาเรือกลับมาให้ได้...
ที่ท่าเรือริมแม่น้ำมูล ชาวบ้านช่วยกันตรวจค้นเรือดูดทรายทุกซอกทุกมุมเพื่อหาหลักฐานสาวไปถึงตัวการใหญ่ เขียวค้นเจอใบทะเบียนเรือเอามาให้ครูตะวันกับพิณดู ครูตะวัน นึกไว้ไม่มีผิดเถ้าแก่เส็งคือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง รวบรวมหลักฐาน ทั้งหมดเตรียมจะไปแจ้งความแต่ตำรวจ 2 นายโผล่เข้ามาเสียก่อน
“เราได้รับแจ้งว่ามีเรือหายและสงสัยว่าจะอยู่ที่นี่ ขออนุญาตตรวจค้นด้วยครับ”
ผู้กองเจ้าของคดีสั่งให้ลูกน้องตรวจค้นเรือ สักพัก ลูกน้องกลับมารายงานว่าทะเบียนกับรูปพรรณของเรือตรงกับที่เถ้าแก่เส็งแจ้งความไว้ว่าถูกลูกน้องเก่าขโมยไป คดีพลิกทันทีจากที่เถ้าแก่เส็งจะตกเป็นผู้ต้องหาคดีลักลอบดูดทราย เขากลายเป็นเจ้าทุกข์คดีเรือหายด้วยความเจ้าเล่ห์ของศรีไพร แถมพาแพะรับบาปมาให้ตำรวจเสร็จสรรพ พิณจำได้แม่น ชายคนนี้ไม่ใช่คนขับเรือที่เขาเห็น แต่ศรีไพรเถียงทำไมจะไม่ใช่คนเดียวกัน
“ในเมื่อมันเป็นลูกน้องเก่าที่พ่อฉันเพิ่งไล่ออกไป แล้วมันก็เป็นคนสารภาพความจริงทั้งหมดกับผู้กอง”
พิณอ้าปากจะเถียง แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นครูตะวันขยิบตาให้เป็นเชิงไม่ให้เขาถามเซ้าซี้อะไรอีก ผู้กองบอกใช่คนนี้ก็ว่าตามนั้น พิณเข้าใจแล้ว แต่ไม่ยอมแพ้ เข้าไปยืนประจันหน้ากับศรีไพรอย่างไม่เกรงกลัว
“อย่างนั้นก็แสดงว่า...ต่อไปนี้จะไม่มีลูกน้องเถ้าแก่เส็งเข้ามาดูดทรายแถวนี้อีกแล้วใช่ไหม”
ooooooo
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน พิณเตือนครูตะวันกับเขียวให้ระวังตัวไว้ ถึงตอนนี้พวกเถ้าแก่เส็งจะไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม แต่คนอย่างเถ้าแก่กับลูกชายไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่ ระหว่างนั้น บุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายมาส่งให้พิณ พอเห็นชื่อเดือนตรงมุมผู้ฝากบนซองจดหมาย พิณรีบแกะอ่านด้วยความดีใจ
ในจดหมายเขียนว่า “วันที่ฉันมากรุงเทพฯ ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกทอดทิ้ง แต่พอรู้ว่าพี่กลับไปหาฉัน... ฉันก็ดีใจ แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ที่ทำให้พี่ไม่ได้เป็นครู”
พิณอ่านจดหมายต่อจนจบ ยิ้มอย่างมีความสุข ทั้งสองคนเขียนจดหมายหากันเป็นประจำ เดือนมักจะระบายให้ฟังว่าคิดถึงบ้านมากแค่ไหน คิดถึงอาหารฝีมือแม่ของเธอ และบ่นอยากกินแกงผักหวานไข่มดแดงมาก พิณเองก็คิดถึงแกงผักหวานไข่มดแดงฝีมือเดือนเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะมีโอกาสได้กินอีกเมื่อไหร่
เดือนนึกสนุกเลยส่งตำราทำแกงผักหวานมาให้พิณ บอกรายละเอียดการทำทุกขั้นตอน พิณลงมือทำตามสูตรที่เดือนให้มา ผลปรากฏว่ารสชาติอร่อยเหมือนที่เดือนเคยทำให้กินไม่มีผิดเพี้ยน ชายหนุ่มถึงกับน้ำตาคลอ คิดถึงเจ้าของสูตรอาหารใจจะขาด เดือนเองก็คิดถึงเขามากเช่นกัน...
ด้วยความที่อยากกินแกงผักหวานมาก เดือนลงมือทำกินเองที่บ้านของแสวง อัญชลีไม่เคยกินเมนูนี้มาก่อน แต่พอได้ลิ้มลองถึงกับออกปากชมว่าอร่อยมาก ถามว่าแกงอะไร
“แกงผักหวานค่ะ ความจริงถ้าจะให้อร่อยต้องใส่ไข่มดแดงด้วย แต่เดือนหาไม่ได้ก็เลยใส่เห็ดแทน”
“อร่อยอย่างนี้ผมว่าน่าจะให้หนูเดือนเป็นคนทำกับข้าวให้พวกเรากินทุกวัน...ดีไหมจ๊ะหนูเดือน” แสวงส่งตาหวานให้เดือนโดยไม่คิดอะไร อัญชลีตีมือสามีเป็นเชิงกระเซ้า
“นี่น้อยๆหน่อยคุณ ทำตาหวานเยิ้มจนจะหกลงถ้วยแกงแล้ว”
แสวงหัวเราะ “ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นสักหน่อย”
อัญชลีเห็นเดือนหน้าเศร้า เข้าใจไปเองว่าหญิงสาวอึดอัดใจ แต่ที่จริงแล้ว เดือนเห็นแกงผักหวานก็อดคิดถึงบ้านไม่ได้ ยิ่งใกล้วันสงกรานต์ยิ่งอยากกลับไปทำบุญ อยากไปเยี่ยมพ่อกับแม่ ขออนุญาตอัญชลีกลับบ้าน อัญชลีหันไปขอความเห็นจากแสวง
“ผมไม่มีปัญหาหรอก...ว่าแต่หนูเดือนไปลางานกับเจ้าสุดเขตหรือยัง” แสวงยิ้มให้เดือนอย่างเอ็นดู
ooooooo
ที่ค่ายเพลง จี.มิวสิค สุดเขตมีเวลาว่างช่วงหยุดสงกรานต์ 3 วัน โทร.ชวนแม่ไปพักผ่อนที่หัวหิน มาลัยสั่งให้ลูกชวนเดือนไปด้วย ไปกันหลายคนจะได้สนุก สุดเขตไม่เข้าใจทำไมแม่ต้องชวนผู้หญิงคนนั้นไปด้วย
“ก็หนูเดือนเป็นลูกสาวของเพื่อนเก่าแม่แล้วก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวของลูก อีกอย่าง...หนูเดือนเพิ่งมาจากต่างจังหวัดก็น่าจะพาไปเปิดหูเปิดตาที่อื่นบ้าง ขืนปล่อยให้ทำงานกับลูกทุกวัน มีหวังหนูเดือนประสาทเสียซะเปล่าๆ” มาลัยพูดพลางหัวเราะอารมณ์ดี
“คุณแม่พูดเหมือนกับผมเป็นเจ้านายที่ใช้ไม่ได้”
“ลูกพูดเองนะแม่ไม่ได้พูด...เอาเป็นว่าแม่อยากให้หนูเดือนไปด้วย อย่าลืมชวนเธอมาล่ะ” มาลัยวางสาย
“...นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแม่ อย่าหวังเลยว่าฉันจะชวนเธอไป” สุดเขตบ่นกับตัวเองจบหันกลับมาเห็นเดือนยืนอยู่ ถึงกับสะดุ้งโหยงต่อว่ามายืนเงียบๆทำไมไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมด เดือนมองอย่างหมั่นไส้
“ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ ทำเป็นขวัญอ่อนเหมือนเด็กๆไปได้...ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
สุดเขตก็มีเรื่องจะคุยกับเดือนเช่นกัน ในฐานะที่เดือนเป็นผู้หญิง เขาจึงให้เธอพูดก่อน เดือนขอลาหยุดช่วงสงกรานต์จะกลับไปเยี่ยมบ้าน ทีแรกสุดเขตไม่ยอมให้ลา แต่ฟังเสียงรบเร้าของเดือนแล้วชักใจอ่อน
“นี่เธอคิดถึงบ้านจริงๆหรือ”
“ถ้าคุณเคยจากบ้านไปที่ไหนไกลๆคุณคงจะไม่ถามฉันอย่างนี้”
สุดเขตหน้าเศร้าเสียงอ่อย “ฉันถูกส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็กๆทำไมฉันจะไม่รู้...งั้นจะไปกี่วัน”
ไหนๆเจ้านายจะให้ลาทั้งทีเดือนขอหยุด 5 วันรวด สุดเขตโวยลั่นไม่ยอม ให้ลาได้แค่ 2 วันเท่านั้น และยังห้าม ลาตรงกับวันที่เขาหยุด เดือนอ้าปากจะค้าน ชายหนุ่มชิงถามตัดบท จะเอาหรือไม่เอา
“เอาก็ได้ ว่าแต่เมื่อกี้บอกมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน”
“ตอนนี้ไม่มีแล้ว” สุดเขตแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ พึมพำเบาๆ “มัดมือชกสนุกกว่า”
หญิงสาวได้ยินไม่ถนัด เมื่อกี้เขาพูดอะไร สุดเขตชี้หน้าเดือน บอกกฎข้อที่ 2 ของการเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขาคือ ห้ามถามเซ้าซี้น่ารำคาญ เดือนขัดใจ แต่ทำอะไรไม่ได้...
เดือนรีบเขียนจดหมายบอกข่าวดีนี้ให้พิณรู้ แต่จดหมายของเธอกลับไม่ถึงมือพิณ ขุนทองรับจดหมายของเดือนจากไปรษณีย์แล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะทำงานพิณ ทองสาเห็นชื่อเดือนที่มุมผู้ฝากแอบเอาจดหมายไปเปิดอ่านแถวมุมลับตาคน พอหันมามองอีกทางหนึ่งต้องตกใจหน้าซีดเมื่อเห็นคำหล้ายืนถือตะกร้าใส่ผักมองอยู่ ทองสารีบเอาจดหมายซ่อนไว้ด้านหลัง ถามเสียงแข็งมองอะไรคำหล้า ไม่ตอบเอาแต่จ้องหน้า
ทองสาโวยวายกลบเกลื่อน “เรื่องวันก่อนฉันยังไม่ได้คิดบัญชี”
“วันนี้ฉันอารมณ์ดี ไม่อยากมีเรื่อง” คำหล้าพูดจบผละจากไปไม่ติดใจสงสัยอะไร ทองสาค้อนขวับ รีบคลี่จดหมายออกอ่าน...ด้านคำหล้าเอาตะกร้าผักที่แม่ฝากมาให้ขุนทองแล้วทำท่าจะกลับ พิณเดินเข้ามาพอดี คำหล้าไม่อยากพูดกับคนหลายใจรีบเดินหนี พิณเดินตามพยายามอธิบายเรื่องของเขากับทองสา หญิงสาวไม่อยากฟัง ไล่พิณกลับไปหาทองสาผู้หญิงที่เขาต้องรับผิดชอบ
“เธอก็รู้ว่าพี่รักเดือนแค่ไหน พี่ไม่มีวันทรยศหักหลังความรักที่เดือนมีต่อพี่แน่”
“สงกรานต์นี้เดือนจะกลับมา พี่ไปอธิบายกับเดือนเองแล้วกัน” คำหล้าพูดแล้วสะบัดหน้าหนี
“ว่าไงนะ สงกรานต์นี้เดือนจะกลับมา” พิณทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ คำหล้าแปลกใจที่พิณไม่ได้รับจดหมายแจ้งข่าวนี้จากเดือน พิณเอะใจรีบกลับมาที่ห้องพักครู ค้นหาบนโต๊ะทำงานตัวเองแต่ไม่เจอจดหมาย เขาเหลือบเห็นขุนทองเดิน อยู่หน้าห้อง เรียกมาถามเรื่องจดหมาย ขุนทองไม่ตอบกลับ ชี้ไม้ชี้มือเป็นเชิงว่าอยู่บนโต๊ะ แล้วเข้ามาช่วยหา แต่ไม่เจอ ขุนทองนึกขึ้นได้ รีบเขียนใส่สมุดฉีกที่คล้องคอ แล้วส่งให้พิณอ่าน
“ทองสามานี่” พิณตาวาวโรจน์
ooooooo
พอทองสารู้ว่าเดือนจะกลับมาวันสงกรานต์ที่จะถึงนี้ จัดการฉีกจดหมายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความไม่พอใจ ระหว่างนั้น มีเสียงเรียกชื่อเธอจากด้านหลัง ทองสาสะดุ้งเฮือก หันไปเห็นพิณ คำหล้ากับขุนทองเดินตรงมาหา ก้มมองเศษจดหมายในมือไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะยัดใส่อกเสื้อก็ยัดไม่เข้า
“ทองสาเห็นจดหมายของพี่ไหม”
เสียงพิณใกล้เข้ามาทุกที ทองสาจวนตัวตัดสินใจยัดเศษจดหมายใส่ปาก คำหล้าหมั่นไส้ที่ทองสาไม่ยอมตอบคำถาม กระชากแขนให้หันมาแล้วถามซ้ำอีกครั้ง ทองสาทำเสียงอู้อี้ โบกมือเป็นทำนองไม่เห็น
“มันโกหกพี่พิณ เมื่อกี้ฉันยังเห็นมันยืนอ่านอยู่เลย” คำหล้าหันไปทางทองสา “...ฉันรู้ว่าแกเป็นคนเอาไป...เอาไปซ่อนไว้ไหน...เอาคืนมาเดี๋ยวนี้” คำหล้าค้นตัวทองสาให้ควั่ก ทองสาเคี้ยวจดหมายในปากรีบกลืน
คำหล้าชักสงสัย จับปากทองสาง้างออก พิณกับขุนทองรีบเข้าไปห้าม แต่ไม่ทัน คำหล้าล้วงคอทองสาจนอ้วกออกมาเป็นเศษจดหมายเต็มไปหมด ทองสาถึงกับหน้าถอดสี พิณตำหนิเธออย่างแรงที่ทำแบบนี้ ทองสาอ้างทำไปเพราะรักเขาไม่อยากเห็นเขาเป็นของคนอื่น พิณเคยบอกแล้วเรื่องของเธอกับเขาเป็นไปไม่ได้ เขารักเดือนคนเดียว ทองสาไม่พอใจทวงถามสัญญาที่พิณเคยพูดไว้จะให้ผู้ใหญ่ไปผูกข้อมือเธอ
“พี่ไม่เคยพูดอย่างนั้นนะทองสา พี่บอกว่าจะรับผิดชอบก็คือพี่จะพูดความจริงกับทุกคนว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น เราต่างรู้กันอยู่แก่ใจว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น อย่าหลอกตัวเอง อย่าโกหกคนอื่นอีกเลยทองสา”
พิณเดินหนีอย่างไม่สบอารมณ์ ทองสาไม่ยอมทิ้งกันง่ายๆ จะวิ่งตาม คำหล้าขวางหน้าไว้ ถ้าสิ่งที่พี่พิณพูดเมื่อกี้ยังไม่เข้าหูทองสาเดี๋ยวเธอจะช่วย แล้วเงื้อมือจะตบบ้องหู ทองสาร้องกรี๊ดๆ ชี้หน้าจะเอาเรื่อง คำหล้าขยับเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัว นางมารร้าย
เลยต้องเป็นฝ่ายถอย...
หลังจากแผนทำให้ชาวบ้านไม่ชอบใจแคนสำเร็จด้วยดี ศรีไพรเริ่มแผนสองทันที เขากับสมุนคู่ใจเอาขนมปังปี๊บราคาถูกไปเป็นของกำนัลแทนคำขอบใจที่ตามาช่วยเขาไว้จากแคนเมื่อวันก่อน แล้วพูดใส่ร้ายป้ายสีคำหล้า หาว่าคอย
ปั่นหูแคนจนเกิดเรื่องลุกลามใหญ่โต ยายมีได้ยินเข้า กระแทกกระด้งฟัดข้าวไม่พอใจ
“ผู้ชายอะไรวะ พอถูกผู้หญิงทิ้งแล้ว ยังมีหน้ามาพูดจาสาดโคลนใส่เขาอีก”
“ป้ามีจะเชื่อหรือไม่เชื่อที่ฉันพูดก็ได้ แต่ความจริงก็คือคำหล้ามันเป็นของฉันแล้ว แต่พอมันเห็นว่าไอ้แคนทำท่าจะดัง มันก็เลยตีจากฉัน”
“นั่นปะไร ฉันว่าแล้ว อยู่ดีๆอีคำหล้ามันจะทิ้งลูกเศรษฐีอย่างพ่อศรีไพรมาเอาลูกชายเราทำไม”
ตามาเชื่อสนิทใจ แต่ยายมีไม่เชื่อ ศรีไพรยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ใครไม่เชื่อก็ตามใจ ถ้าวันไหนแคนเสียคนเมื่อไหร่อย่าหาว่าเขาไม่เตือนก็แล้วกัน จากนั้นศรีไพรเดินตามแผนสาม ตรงไปบ้านคำหล้าพูดให้ร้ายแคนให้ตาสีกับยายสาพ่อแม่ของคำหล้าฟังว่าเป็นคนจับจด ไม่ทำมาหากิน เอาแต่ร้องรำทำเพลงไปวันๆ
“งานสวนงานไร่ก็ไม่เคยจับ ถ้าคำหล้าแต่งงานกับมัน จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องทำงานหาเลี้ยงมันหรือ”
ยายสากับตาสีไม่เชื่อว่าแคนจะเป็นคนแบบนั้น ศรีไพร แล้วแต่สองผัวเมียจะคิด เขาแค่มาเตือนเอาไว้แล้วขอตัวกลับ...ระหว่างทางกลับร้านคาราโอเกะ ไอ้ขาวยกนิ้วหัวแม่โป้ง ให้เจ้านายพร้อมกันสองข้าง
“แหม แผนแอ๊บแบ๊ว นกสองหัว ตีสองหน้า ลิ้นสองแฉกยุให้พวกมันตีกันเองของตั่วเฮียนี่แจ๋วจริงๆ...ว่าแต่พวกมันจะเชื่อที่ตั่วเฮียพูดหรือ”
“ถ้าคราวนี้ไม่สำเร็จ คราวต่อไปก็ต้องเอาให้หนักขึ้น” ศรีไพรยิ้มเจ้าเล่ห์
ooooooo
ศรีไพรไม่ต้องถึงคราวหน้า ตามาเชื่อคำยุแหย่ของเขา ด่าคำหล้าเสียๆหายๆ และยังกล่าวหาเธอได้เสียกับศรีไพรมาแล้ว คำหล้าน้ำตาคลอปฏิเสธว่าไม่เป็นเรื่องจริง ตามาไม่เชื่อ
“หน้าด้าน ฉันรู้ความจริงจากพ่อศรีไพรหมดแล้ว แกคิดจะจับไอ้แคน ฉันไม่ต้องการผู้หญิงสกปรกอย่างแกมาเป็นลูกสะใภ้...ไป...ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว” ตามายกขันน้ำสำหรับล้างมือสาดหน้าคำหล้า
แคนกับยายมีตะลึง คำหล้าอายแทบแทรกแผ่นดิน ทนอยู่ต่อไม่ไหว ผลุนผลันออกไป แคนต่อว่าพ่อที่ทำเกินเหตุแล้ววิ่งตามคำหล้าทันที่หน้าบ้าน ฉุดมือเธอไว้ขอร้องอย่าเพิ่งไป
“พ่อพี่ด่าฉันขนาดนี้ ยังจะให้ฉันหน้าทนอยู่ที่นี่อีกหรือ” คำหล้าสะบัดมือแคนออกวิ่งร้องไห้กลับไป แคนได้แต่มองตามหญิงคนรัก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ครู่ต่อมา คำหล้ากลับถึงบ้านด้วยน้ำตานองหน้า ตาสีเห็นสภาพลูก คาดคั้นให้บอกว่าเกิดอะไรขึ้น พอรู้ว่าลูกโดนตามาเล่นงาน ตาสีตรงลิ่วไปบ้านแคน คำหล้ากับยายสาวิ่งตามมาติดๆ พยายามจะห้ามตาสีแต่ไม่สำเร็จ ตา
มากับตาสีทะเลาะกันอุตลุดถึงขั้นวางมวย ลูกเมียของแต่ละฝ่ายต้องช่วยกันแยกคนของตนออก
“มันด่าแกขนาดนี้มาห้ามฉันทำไม ฉันจะเอาเลือดหัว
มันออก” ตาสีโวยวายใส่คำหล้า
“ก็ลูกสาวแกมันหน้าด้าน แน่จริงก็เข้ามาเลย...คิดว่าฉันกลัวหรือไงวะ”
“แล้วแกคิดว่าฉันอยากได้คนไม่เป็นโล้เป็นพาย วันๆ
เอาแต่ร้องรำทำเพลง หนักไม่เอาเบาไม่สู้อย่างลูกชายแกมาเป็นลูกเขยหรือไง...คำหล้า...ฉันขอสั่งห้ามแก ต่อไปนี้เลิกติดต่อกับมันเด็ดขาด...ไป...กลับบ้าน”
ตาสีฉุดมือลูกสาวออกไปด้วยความโมโห แคนจะตาม ตามาดึงมือไว้ ขู่ว่าถ้าตามนังผู้หญิงสกปรกนั่นไปก็ไม่ต้องกลับมาบ้านนี้อีก แคนหนักใจไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร
ooooooo
ทองสายอมเสียพิณให้ผู้หญิงอื่นไม่ได้ ใช้ไม้ตายขั้นสุดท้าย เอาเรื่องพิณไปฟ้องพ่อ แล้วแกล้งร้องไห้ฟูมฟายปานจะขาดใจตาย เถ้าแก่เส็งเอะอะลั่น ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้
“ตอนนั้นพี่พิณบอกจะรับผิดชอบ แต่สุดท้ายก็ไม่ อั๊วอยากตายๆๆ” ทองสาร้องไห้ตีอกชกตัว
“เรื่องเก่ายังไม่ได้สะสาง ดี...อั๊วจะได้ปิดบัญชีลื้อซะทีเดียวเลยไอ้ครูพิณ”
เถ้าแก่เส็งตาวาวอย่างเคียดแค้น จากนั้น เถ้าแก่เส็ง อ่อนทากับสมุนมือดีอีกคนออกตามล่าตัวพิณให้ควั่ก พอรู้ว่าชายหนุ่ม
อยู่ที่เวทีริมแม่น้ำมูล ทั้งสามคนเจ้านายลูกน้อง บ่ายหน้าไปที่นั่นทันที...
บรรยากาศบริเวณเวทีริมแม่น้ำมูลเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงดนตรีดังกระหึ่ม บัวผันกับแก๊งนางไหเซิ้งอยู่บนเวทีอย่างสนุกสนาน ชาวบ้านที่มาดูการแสดงเซิ้งตามอย่างเมามัน หนุ่มสาวอีกส่วนหนึ่งเล่นน้ำสงกรานต์อยู่แถวริมแม่น้ำ
มูล เถ้าแก่เส็ง อ่อนทา และสมุนมาถึงบริเวณงาน ซะเง้อมองหาพิณแต่ไม่เจอ...
ที่ด้านหลังเวที พิณแต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ เข้ามาบอกคำแปงว่าวันนี้ขอกลับก่อน คำหล้าบอกเดือนจะกลับมาถึงเย็นวันนี้ เขากะจะไปรอเธอที่บ้าน คำแปงอดดีใจไปกับพิณไม่ได้ที่จะได้เจอหญิงคนรัก บอกให้รีบไปเดี๋ยวจะไม่ทันนัด พิณพยักหน้า เดินออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเถ้าแก่เส็งถือปืนเล็งมายังตน
“ลื้อข่มเหงลูกสาวอั๊ว อย่างนี้มันหยามกันชัดๆ...จับมัน คนอย่างมันมีกฎหมายเท่านั้นที่จะจัดการได้”
อ่อนทากับสมุนเข้ามาช่วยกันล็อกตัวพิณ ซึ่งพยายามจะเล่าความจริงให้เถ้าแก่เส็งฟัง ทองสาเกรงความลับจะแตกรีบเข้ามาขัดจังหวะ ขอร้องพ่ออย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ พูดจากันดีๆก็ได้
“มันทำกับลื้อขนาดนี้ ลื้อจะให้อั๊วพูดดีกับมันอีกหรือ”
“แล้วเตี่ยไม่คิดหรือ ถ้าเรื่องบานปลายใหญ่โตแล้วอั๊วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เตี่ยจัดงานแต่งงานให้ฉันกับพี่พิณ แค่นี้ก็ไม่มีใครต้องเสียหาย”
เถ้าแก่เส็งไม่มีทางญาติดีกับคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตนเด็ดขาด ทองสาไม่พอใจ ถ้าพ่อไม่ช่วย เธอขู่จะฆ่าตัวตายให้ดู แล้ววิ่งลุยลงไปในแม่น้ำ เถ้าแก่เส็งวิ่งตาม อ่อนทาเห็นเจ้านายหมดแรงจะจมน้ำรีบโดดลงไปช่วย สมุนเกรงอ่อนทาจะ
เป็นอะไรไป โดดตามลงไปอีกคน ไม่มีใครสนใจทองสา
หญิงสาวเกิดสำลักน้ำทำท่าจะตายจริง ร้องขอความช่วยเหลือลั่น พิณกระโดดลงไปช่วยไว้ได้ทัน ประคองเธอขึ้นมาบนฝั่ง สมุนทั้งสองช่วยกันหิ้วปีกเถ้าแก่เส็งตามมาข้างหลัง เถ้าแก่เส็งรีบเข้าไปดูลูกด้วยความเป็นห่วง คนที่มาเล่นน้ำสงกรานต์เข้ามามุงดูเหตุการณ์กันเต็มพรืด
“ทำไมลื้อคิดสั้นอย่างนี้อาหมวย...ทำไม...เพราะลื้อคนเดียวไอ้พิณ” เถ้าแก่เส็งแค้นใจมากชักปืนจ่อหัวพิณ ทองสาตกใจรีบเข้าไปแย่งปืน ร้องห้ามไม่ให้พ่อทำอะไรพิณ เถ้าแก่เส็งไม่ยอมจะฆ่าพิณให้ได้
ทองสากลัวพิณจะเป็นอันตรายรีบสารภาพ “พี่พิณไม่ได้ทำอะไรผิด เรื่องทั้งหมดฉันโกหก ฉันเป็นคนแต่ง
เรื่องขึ้นมาเอง ฉันอยากแต่งงานกับพี่พิณก็เลยแต่งเรื่องทั้งหมดขึ้นมา ไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้”
“โธ่เว้ย...ทำไมอั๊วมีแต่ลูกไม่ได้เรื่อง วันๆก็หาแต่เรื่องปวดหัวมาให้ แล้วนี่อั๊วจะเอาหน้าไปไว้ไหน” เถ้าแก่เส็ง เดินจากไปอย่างสุดเซ็ง...
ครู่ต่อมา พิณพาทองสามาหลังเวที เห็นเธอตัวเปียกม่อลอกม่อแลก เกรงจะไม่สบายรีบหาผ้าขนหนูมาให้เช็ดตัว
ทองสารับผ้าขนหนูมาอย่างตื้นตันใจ ขนาดเธอทำไม่ดีกับเขา แต่เขายังมีแก่ใจเป็นห่วงเป็นใย ทองสาซาบซึ้งใจมาก โผกอดพิณ
“ฉันขอโทษ...ฉันทำทั้งหมดเพราะรักพี่จริงๆนะพี่พิณ”
“เรื่องความรักบางทีก็เข้าใจยาก พี่ไม่โกรธหรอก” พิณดันตัวทองสาออก “อ้อ...เกือบลืมไปพี่มีนัด...พี่ต้องรีบไป อย่าคิดมากนะ”
“ชอบให้อ้อนก็ไม่บอกตั้งแต่แรก” ทองสาหรี่ตามองตามพิณที่เดินออกไปอย่างมีความหวัง
ขณะเดียวกัน ที่ห้องทำงานของสุดเขต เดือน สะพายกระเป๋า ถือสมุดคิวเตรียมจะกลับบ้าน ดูนาฬิกาข้อมืออย่างร้อนใจเกรงจะไปไม่ทันนัดพิณ พอหันมาเห็นสุดเขตกลับจากถ่ายทีเซอร์เปิดตัวอัลบั้มใหม่ของตัวเอง เดือนยิ้มออก ในเมื่อเขาเสร็จงานแล้วเธอขอกลับก่อน จองตั๋วรถทัวร์ไว้เดี๋ยวไปไม่ทัน
“ฉันก็ลืมไปว่าวันนี้เธอขอลากลับบ้าน...งั้นไปตามพี่บิ๋มมา ฉันจะให้ทำงานแทนเธอระหว่างที่เธอไม่อยู่”
เดือนดีใจรีบวางกระเป๋าสะพายและสมุดคิวงานลงบนโต๊ะทำงาน แล้ววิ่งปรู๊ดออกไป สุดเขตเห็นจดหมายฉบับหนึ่งวางคั่นไว้ในสมุดคิว เหลียวซ้ายแลขวาเห็นปลอดคน ถือวิสาสะหยิบซองจดหมายขึ้นมาดูเห็นจ่าหน้าซองถึง “พิณ เคียงมูล” นึกสงสัยเปิดจดหมายออกอ่าน อารมณ์บูดขึ้นมาทันที
“บอกว่าจะกลับไปหาพ่อแม่ ที่แท้ก็นัดผู้ชายไว้นี่เอง” สุดเขตขบกรามแน่น...
สักพัก เดือนกลับเข้ามาพร้อมบิ๋ม จะส่งต่อสมุดคิว ให้แต่หาไม่เจอ สุดเขตแกล้งเอาสมุดคิวไปซ่อนไว้ใน ลิ้นชักโต๊ะตัวเอง ทำไม่รู้ไม่ชี้ปล่อยให้เดือนหน้าดำคร่ำเคร่งค้นหาให้ควั่ก เดือนค้นบนโต๊ะทำงานตัวเองก็ไม่เจอ ถามสุดเขตเห็นบ้างไหม เขากลับทำเป็นโกรธ ขู่ว่าถ้าหาสมุดคิวไม่เจอ จะไม่ให้เธอกลับบ้าน
“แต่ฉันจองตั๋วรถทัวร์ไว้แล้ว”
“งั้นก็รีบหาสิ ไม่มีสมุดนั่นแล้วคนอื่นจะทำงานแทนเธอได้อย่างไร”
บิ๋มอาสาจะช่วยหา แต่สุดเขตไม่ยอม ใครทำหายคนนั้นต้องรับผิดชอบเอง ถ้าเขากลับมาแล้วเดือนยังหาไม่เจอมีเรื่องแน่ สุดเขตทำทีเดินออกจากห้องทำงาน พอบิ๋มลับสายตาไปแล้ว เขาย้อนกลับมาแง้มประตูห้องทำงานดู เห็นเดือนหน้าเครียดค้นหาไปทั่วทุกซอกทุกมุม หญิงสาวนึกขึ้นได้ เหลืออีกที่หนึ่งที่ยังไม่ได้หาจึงเดินไปที่โต๊ะทำงานของสุดเขต กำลังจะเปิดลิ้นชักดู สุดเขตเข้ามาโวยลั่น ไม่ยอมให้ค้น
“คิดว่าฉันจะเอาสมุดบ้าๆของเธอไปทำไม”
“จะไปรู้หรือ คนอย่างคุณมันปกติเหมือนคนอื่นที่ไหน” เดือนว่าแล้วจับลิ้นชักโต๊ะดึง
สุดเขตรั้งไว้ไม่ยอมให้เปิด ทั้งคู่ยื้อกันไปมาจนลิ้นชัก กระแทกมือสุดเขตถึงกับร้องโอดโอย เดือนตกใจจับมือเขา ขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วง ไม่ทันเห็นสมุดคิวในลิ้นชักที่แง้มอยู่ สุดเขตมองเธอด้วยความซาบซึ้งใจแต่ไม่ลืมใช้ตัวดันลิ้นชักปิด ทันใดนั้น มีเสียงมือถือของสุดเขตดังขึ้น เขาลืมตัวเปิดลิ้นชักหยิบมือถือขึ้นมารับสาย
เดือนเห็นสมุดคิวอยู่ในลิ้นชักโต๊ะก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สุดเขตเห็นท่าไม่ดีเดินหนีไปดื้อๆ เดือนไม่ปล่อยให้ลอยนวลง่ายๆ เดินตามไปต่อว่า ทำไมต้องทำกับเธอแบบนี้
“ก็เธอโกหกฉันก่อน...เธอบอกว่าจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ แต่ที่จริงเธอนัดผู้ชายไว้...เธอมีแฟนแล้วทำไมไม่บอกฉัน” สุดเขตหึงเลยพาลหาเรื่อง
“ฉันจะมีแฟนหรือไม่มีมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
“ทำไมฉันจะไม่เกี่ยว ก็ฉัน...” สุดเขตอยากบอกรักเดือน แต่ฟอร์มจัดค้ำคอ เลยพูดไม่ออก
“ก็ฉันอะไร...คนไม่รู้จักเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นอย่างคุณใครอยู่ด้วยก็ไม่มีความสุข...หลีกไปฉันจะกลับบ้าน” เดือนผลักเขาพ้นทาง ขยับจะเดินหนี สุดเขตดึงข้อมือเธอไว้
“ไม่...ฉันไม่ยอมให้เธอไปไหนเด็ดขาด เธอต้องอยู่กับฉันที่นี่”
เดือนพยายามแกะมือเขาออก “คุณมีสิทธิอะไรมาห้ามฉัน คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชีวิตคนอื่นหรือไงถึงได้ชอบบังคับให้คนอื่นทำโน่นทำนี่ รู้ไหมฉันเกลียดคนอย่างคุณที่สุด...ได้ยินไหม ฉันเกลียดคุณๆ”
สุดเขตโกรธจัด ลืมตัวกระชากเดือนเข้ามาจูบปาก หญิงสาวตกใจยืนแข็งทื่อเหมือนถูกสาป แฟนคลับที่มาดักรอดูดาราอยู่หน้าตึกต่างหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมากดชัตเตอร์รัวกระหน่ำ เดือนได้สติ ผลักสุดเขตออกแล้วฟาดฝ่ามือใส่ แต่เขาเอาแขนกันไว้ เงื้อหมัดจะต่อย เดือนตกใจร้องไห้โฮ
“คุณก็ดีแต่รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้ เอาสิ...เอาเลย ต่อยฉันให้ตายไปเลย แล้วไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก” เดือนผลักอกเขา แล้ววิ่งร้องไห้ออกไปอย่างไร้จุดหมาย วิ่งจนหมดแรง ทรุดตัวนั่งร้องไห้ริมถนนด้วยความอัดอั้นตันใจ ไม่แคร์สายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา
ooooooo
ขณะเดียวกัน พิณจอดรถจักรยานพิงต้นไม้หน้าปากทางเข้าบ้านเดือน เปิดหม้อดูแกงผักหวานไข่มดแดงที่บรรจงทำอย่างสุดฝีมือเพื่อหญิงคนรัก แต่รอแล้วรอเล่าจนตะวันลับขอบฟ้า ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ...
ทันทีที่ถึงบ้านแสวง เดือนเก็บเสื้อผ้าข้าวของทั้งหมดของตัวเองใส่กระเป๋าเดินทางด้วยน้ำตานองหน้า อัญชลีกับแสวงเข้ามาเห็น แปลกใจค่ำมืดป่านนี้แล้วทำไมเดือนยังไม่เดินทางอีก และทำไมต้องเก็บของไปหมด ทั้งๆที่จะไปแค่ 2 วัน เดือนบอกผู้มีพระคุณทั้งสองว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว
“หนูเดือนร้องไห้ เกิดอะไรขึ้น มีใครทำอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ แต่หนูคิดว่าหนูคงไม่เหมาะกับที่นี่ ขอบคุณคุณลุงคุณป้ามากนะคะที่ดูแลหนูเป็นอย่างดี” เดือนยกมือไหว้ทั้งสองท่าน แล้วหิ้วกระเป๋าเดินทางออกจากห้อง แสวงกับอัญชลีเดินตามมาพูดให้เดือนได้คิด
“ป้าไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หนูจำได้ไหมว่าหนูมาอยู่ที่นี่ทำไม...หนูมาเรียนต่อ มาหางานดีๆทำเพื่อที่จะได้กลับไปดูแลพ่อแม่ แต่ถ้าหนูยอมแพ้เสียตั้งแต่วันนี้ ความตั้งใจของหนูก็จะไม่มีวันสำเร็จ”
“แรกๆมันอาจจะลำบากหน่อย แต่ถ้าหนูปรับตัวได้ ทุกอย่างก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เราทุกคนกำลังเอาใจช่วยหนูอยู่นะ...หนูเดือน” ความปรารถนาดีของแสวงกับอัญชลี ทำให้เดือนซาบซึ้งใจมาก กลั้นน้ำตาไม่อยู่ปล่อยโฮ อัญชลีกอดเธอไว้ปลอบใจ
ooooooo
สองวันถัดมา มาลัยถือหนังสือซุบซิบดาราจ้ำพรวดตรงไปหาสุดเขตกับนพที่ห้องทำงานของนพ แล้วยื่นหนังสือเล่มนั้นให้นพดู
“เห็นนี่หรือยังคุณนพ น้องนักข่าวบอกว่าสำนักพิมพ์ถึงกับเปลี่ยนปกใหม่ ก่อนหน้าตีพิมพ์แค่วันเดียว”
นพมองภาพหน้าปก แม้จะไม่ชัดมากแต่ก็พอดูออกว่าเป็นภาพสุดเขตกำลังจูบเดือน “นี่แกกับหนูเดือนนี่ เกิดอะไรขึ้น” นพยื่นหนังสือให้ลูกชายดู สุดเขตไม่พอใจมาก
“นี่มันก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลกันชัดๆ ผมจะตั้งทนายฟ้อง มันทำให้ผมเสียชื่อเสียงมันต้องรับผิดชอบ”
“แล้วที่ลูกทำให้หนูเดือนเสียชื่อเสียงล่ะ ลูกจะทำอย่างไร...บอกแม่มามันเกิดอะไรขึ้น”
สุดเขตแก้ตัวว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่มาลัยไม่เชื่อ ภาพโจ่งแจ้งขนาดนั้นจะเป็นอุบัติเหตุได้อย่างไร สุดเขตเถียงไม่ออกในที่สุดก็ยอมรับ แต่ไม่วายโทษว่าเป็นความผิดของเดือนที่มาทำปากดีกับเขาก่อน
“ตายๆ อกอีแป้นจะแตก นี่ลูกจูบผู้หญิงเพราะเถียงไม่ทันเขาเนี่ยนะ”
“แกเป็นผู้ชายนะสุดเขต ทำอะไรต้องรับผิดชอบ” นพปรามเสียงแข็ง
“แล้วคุณพ่อจะให้ผมทำอย่างไร แต่งงานกับแม่นั่นเหรอ ฝันไปเถอะ คนอย่างผมมีตัวเลือกเยอะแยะ ไม่มีวันคว้าแม่นั่นมาเป็นแฟนแน่ๆ” สุดเขตพูดจบ เดินออกจากห้องอย่างหัวเสีย...
มาลัยร้อนใจมาก เกรงอัญชลีกับแสวงจะเข้าใจผิด รีบชวนนพไปบ้านแสวงทันที อธิบายความจริงทุกอย่างให้สองสามีภรรยาฟัง แล้วขอโทษทั้งคู่ที่ดูแลหนูเดือนไม่ดี มาทำงานไม่ถึงเดือนก็เจอฤทธิ์เดชลูกชายของเธอเข้าไปเต็มๆ แสวงถึงบางอ้อ ทำไมวันก่อนหนูเดือนถึงร้องห่มร้องไห้จะลาออกจากงานกลับบ้านนอก
“ต๊าย...นี่หนูเดือนถึงขั้นจะกลับบ้านนอกเลยหรือคะ”
“แกคงจะอายมาก” อัญชลีพูดแล้วอดสงสารเดือนไม่ได้
“เรื่องนี้คงจะเป็นข่าวไปอีกนาน มาช่วยกันคิดดีกว่าจะทำอย่างไรให้ข่าวนี้ซาไป หนูเดือนกับสุดเขตจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ” นพถอนใจเหนื่อยใจกับความเอาแต่ใจตัวเองของลูกชาย...
ในเวลาเดียวกัน คำหล้าส่งผักเสร็จ แวะแผงขายหนังสือหน้าตลาด หยิบหนังสือเรื่องย่อละครขึ้นมาดูไม่ทันสังเกตเห็นหนังสือซุบซิบดาราวางอยู่ข้างล่าง จนกระทั่งได้ยินเสียงหญิงสาวสองคนคุยกันถึงภาพหลุดของสุดเขตนักร้องสุดฮิต และพูดถึงผู้หญิงที่มีภาพหลุดกับสุดเขตว่าชื่อเดือน คำหล้าหันมองแต่ไม่สนใจนัก
“ยัยเดือนเนี่ยนะจะเป็นข่าวกับนักร้องดังระดับประเทศ ฉันว่าไม่ใช่หรอก คนหน้าเหมือนมากกว่า”
คำหล้าวางหนังสือเรื่องย่อละครลง ขยับจะออกไปเป็นจังหวะเดียวกับสองสาววางหนังสือซุบซิบดาราลงบนหนังสือเล่มนั้น คำหล้าชะงัก หยิบหนังสือซุบซิบดาราขึ้นมาดู จำได้ทันที รีบพลิกเนื้อในอ่านเพื่อความแน่ใจ ถึงกับตาโต ใช่เดือนเพื่อนรักของเธอจริงๆ
ooooooo
ทองสาในชุดสวยงามทันสมัย เดินสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ในมือมีหนังสือซุบซิบดารามาถึงหน้าบ้านคำแปง โดยมีกิ๊บกับเชอร์รี่เดินตาม กิ๊บถามทองสา จะเอาหนังสือเล่มนี้ให้พิณดูจริงๆหรือ
“ก็ใช่นะสิ ถ้าพี่พิณรู้ว่านังเดือนมีแฟนใหม่ก็จะได้ตัดใจ คราวนี้ประตูสวรรค์สำหรับฉันจะได้เปิดซะที”
จังหวะนั้นมีเสียงดังออกมาจากในบ้าน “ถ้าจะมาหาครูพิณก็กลับไปเลย ครูพิณไม่อยู่”
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554
มนต์รักแม่น้ำมูล ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
รถเก๋งคันโก้เลี้ยวเข้ามาจอดในคฤหาสน์แสนโอ่อ่าของแสวง เดือนมองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าอย่างหวั่นๆ เจี๊ยบคนรับใช้ประจำบ้านท่าทางไม่เป็นมิตรเดิน นำเดือนไปพบแสวงกับอัญชลีที่ห้องนั่งเล่น หญิงสาวผู้มาใหม่ ไหว้อัญชลีกับแสวงอย่างเก้อกระดากเจียมตัว เรียกเจ้าของบ้านทั้งสองว่าคุณผู้หญิงกับคุณท่าน
“ทำไมเรียกแม่เรียกพ่ออย่างนั้นล่ะจ๊ะ” อัญชลียิ้มให้อย่างเมตตา
เดือนอึดอัดใจเพราะยังไม่คุ้นเคย แสวงรู้ทันบอกให้เดือนเรียกลุงกับป้าไปก่อนก็ได้ ชินเมื่อไหร่ค่อยเรียกพ่อกับแม่ เดือนรับคำ จากนั้นอัญชลีกับแสวงพาเดือนขึ้นไปดูห้องนอน ทั้งเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเดือนถูกจัดไว้ในห้องนั้นอย่างเป็นระเบียบ
“ขาดเหลืออะไรก็บอกลุงกับป้าได้นะจ๊ะ”
เดือนไหว้ขอบคุณทั้งสองท่าน แสวงจับมือเธอเป็นเชิงรับไหว้ หญิงสาวตกใจรีบชักมือออก แสวงมองเธออย่างแปลกใจ ขณะที่อัญชลีมองยิ้มๆ ชวนแสวงออกมาคุยนอกห้อง อธิบายให้เขาฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เดือนมีท่าทีอย่างนั้น คงเป็นเพราะท่าทางกรุ้มกริ่มของเขา แสวงมองเมียรักสีหน้าไม่สบายใจ
“คุณก็รู้ ผมเป็นเสือถอดเล็บมานานแล้ว ก็แค่เอ็นดู...”
“แต่หนูเดือนไม่ทราบนี่คะ...คงต้องให้เวลา ทั้งคุณทั้งหนูเดือนปรับตัวสักระยะ คุณก็อย่าคิดมากเลยค่ะ”
แสวงพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่วายเป็นกังวล
ooooooo
พิณในสภาพสะบักสะบอม เข็นรถจักรยานล้อเบี้ยวเข้ามาในโรงเรียน เห็นครูตะวันยืนคุยกับชายคนหนึ่ง อยู่ พิณปรี่เข้าไปต่อว่าที่เดือนต้องไปกรุงเทพฯโดยที่เขาไม่ได้รํ่าลา เป็นเพราะครูไม่ตั้งใจสอนหนังสือเด็กๆ
มัวแต่เอาเวลาไปจับพวกดูดทราย ถ้าเด็กๆมีความรู้ คงไม่ต้องหนีไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ ครูตะวันชักโกรธ
“เพราะเรื่องนี้นี่เองแกถึงมาพาลเอากับฉัน ฉันจะบอกให้ที่ไอ้บุญโฮมมานี่ มันมาบอกเรื่องคำหล้าถูกศรีไพรยิงอาการเป็นตายเท่ากัน”
พิณตกใจ รีบชวนครูตะวันไปโรงพยาบาล ครู่ต่อมา พิณกับครูตะวันมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ทันได้ฟังข่าวดีจากหมอว่าคำหล้าพ้นขีดอันตรายแล้ว กระสุนทะลุปอดแต่ไม่โดนเส้นเลือดใหญ่ แคน คำแปง ครูตะวันกับพิณต่างดีใจโล่งใจ รีบเข้าไปเยี่ยม แคนจับมือคำหล้าขึ้นมากุมไว้
“เธอช่วยชีวิตพี่ไว้ ก็เท่ากับว่าชีวิตพี่เป็นของเธอ พี่ขอสัญญาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะอยู่ดูแลเธอตลอดไป ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเธอได้อีก” แคนจูบมือเธออย่างทะนุถนอม คำหล้ายิ้มตื้นตันใจ.
..
อีกมุมหนึ่งของโรงพยาบาล สีกับสาพ่อแม่ของคำหล้า รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากอ่อนทาคนของเถ้าแก่เส็งแล้ว ก็ถูกหลอกให้เซ็นสัญญาเงินกู้โดยอ้างว่าเป็นแค่หลักประกันให้สีกับสารักษาคำพูดไม่กลับคำมาฟ้องร้องทีหลัง แคนเพิ่งออกจากห้องฉุกเฉินเห็นเข้า เกรงสีกับสาจะถูกอ่อนทาข่มขู่รีบเดินมาดู
พอรู้ว่าสองผัวเมียรับเงินค่าสินไหมแลกกับการไม่เอาเรื่องศรีไพร แคนไม่พอใจโวยลั่นที่สีกับสาปล่อยให้ศรีไพรลอยนวลไปง่ายๆ บอกให้ทั้งคู่เอาเงินคืนเถ้าแก่เส็งไป พวกเราจะได้เอาเรื่องศรีไพรให้ถึงที่สุด สีอยากให้จบๆเรื่อง ไม่อยากมีปัญหา และที่สำคัญเขาเซ็นชื่อรับเงินไปแล้ว อ่อนทาเห็นแคนท่าทางเอาเรื่องรีบชี้แจง
“เถ้าแก่ให้ฉันมาไกล่เกลี่ยเพราะอยากให้เรื่องจบลงด้วยดี แต่ถ้าแกกลัวว่าศรีไพรจะกลับมาทำร้ายทุกคนอีกล่ะก็...
ไม่ต้องกลัว เรื่องนั้นเถ้าแก่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมาย”
แคนมองหน้าอ่อนทาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ...
ขณะศรีไพรกำลังอาละวาดฟาดงวงฟาดงาอยู่ในห้องขัง จ่าเวรเข้ามาแจ้งว่ามีคนมาประกันตัวเขาแล้ว ศรีไพรเดินยิ้มออกจากห้องขังพร้อมกับไอ้ดำและไอ้ขาวมาที่ห้องร้อยเวร แต่ต้องแปลกใจที่เห็นคนมาประกันตัวเขาคือทองสาน้องสาวของเขาเอง ทันทีที่เห็นหน้าพี่ชาย ทองสาต่อว่าอย่างไม่พอใจ
“ที่แท้พี่ทำตัวกุ๊ยอย่างนี้นี่เอง เตี่ยถึงต้องตามฉันกลับมาจากกรุงเทพฯ”
“ฉันว่าเพราะแกเรียน 8 ปีไม่จบ เตี่ยก็เลยเบื่อส่งแรดเรียนมากกว่า...เร็วๆเข้า รีบพาฉันออกไปเสียที เบื่อเต็มทนแล้ว” ศรีไพรว่าแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้อง
“เสียใจ...เตี่ยให้ฉันมาบอกว่าจะไม่มีการประกันตัวอะไรทั้งนั้นจนกว่าพี่จะสำนึก”
ศรีไพรไม่ยอม จะออกจากที่นี่ให้ได้ ตำรวจเข้ามาขวางศรีไพรฮึดสู้ แต่สุดท้ายก็ถูกจับขังอย่างเดิม
ooooooo
พิณเห็นเดือนต้องทิ้งบ้านเกิดไปแสวงหาความก้าวหน้าที่อื่น เขาจึงคิดจะใช้ดนตรีปลุกจิตสำนึกให้ชาวบ้านรักถิ่นฐานบ้านเกิดจะได้ไม่ต้องส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือหรือทำงานไกลๆ เด็กๆก็จะได้เติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาหมู่บ้าน พิณเอาเรื่องนี้มาเสนอคำแปงกับชาวคณะแม่มูลลำเพลิน
“ฉันอยากให้แม่ครูตั้งคณะแม่มูลลำเพลินเต็มรูปแบบเพื่อให้ชาวบ้านดูเป็นตัวอย่างว่าภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนสามารถนำมาต่อยอดพัฒนาเป็นอาชีพที่ดีได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน เพียงแต่เราต้องปรับให้ทันยุคทันสมัย ถึงจะเรียกคนดูได้”
แคนเห็นด้วย ชาวบ้านจะได้มีทางเลือกใหม่ๆ พวกเราก็จะได้ไม่ต้องเร่ร่อนร้องเพลงตามตลาดให้คนอื่นดูถูกเอาอีก คำแปงก็เห็นดีด้วย แต่หนักใจเพราะการทำวงดนตรีต้องใช้ เงินเยอะ ในที่สุดเธอตัดสินใจจะเอาบ้านกับที่สวนไปจำนอง เพื่อเอาเงินมาปรับปรุงวงและขอคำมั่นสัญญาจากทุกคนในวงว่าจะไม่ทิ้งวงไปไหน จะอยู่ช่วยกันสร้างวงดนตรีคณะแม่มูลลำเพลินให้เป็นที่รู้จัก ทุกคนให้สัญญาอย่างพร้อมเพรียงกัน...
ขณะเดียวกัน ที่บ้านของแสวง เดือนตั้งใจไว้ว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยเปิด จะได้มีเวลาทำงานพิเศษหาเงินเป็นค่ารักษาแม่ อัญชลีฝากให้แสวงช่วยดูทีว่ามีเพื่อนคนไหนของเขาพอจะฝากเดือนไปทำงานด้วยได้
“จะไปฝากคนอื่นคนไกลทำไม ก็ฝากให้ไปทำงานกับไอ้นพมันสิ”
“จริงสิคะ คุณนพเป็นเจ้าของค่ายเพลงใหญ่ ส่วนแม่มาลัยก็เป็นคนบ้านเดียวกับแม่เพ็ง หนูเดือนรู้จักค่ายจีมิวสิค ไหมจ๊ะ ที่มีนักร้องชื่อสุดเขต ที่ดังที่สุดตอนนี้ไง”
ooooooo
สุดเขต นักร้องป๊อปแดนซ์สไตล์เกาหลีสุดฮิตกำลังถ่ายมิวสิกวีดิโอเพลงชุดใหม่อยู่ในสตูดิโอ พอผู้กำกับสั่งคัต ไฟในสตูดิโอเปิดพรึบ แฟนคลับถือป้ายไฟ
รออยู่ส่งเสียงกรี๊ด พร้อมกับกรูเข้ามาหา สุดเขตแปลกใจแฟนคลับรู้ได้อย่างไรว่าเขามีคิวที่นี่ พอรู้ความจริงจากเหล่าแฟนคลับ สุดเขตถึงกับของขึ้น...
นักร้องสุดฮิตเดินหน้าหงิกถือมือถือของแฟนคลับเข้ามาในห้องแต่งตัว โยนมือถือให้พลผู้จัดการส่วนตัวของเขา พลเปิดคลิปดูเห็นตัวเองกำลังรับเงินจากแฟนคลับแลกกับตารางงานของสุดเขตถึงกับหน้าซีด
“แฟนคลับผมแอบถ่ายคลิปนี้ไว้ พี่มีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม”
พลเข้ามาเกาะแขนสุดเขต วิงวอนขอร้องให้เขายกโทษให้ สุดเขตไม่ให้โอกาสพลอีกแล้วไล่เขาออกทันที พยายามแกะมือพลออกแต่เขายื้อไว้สุดฤทธิ์ สุดเขตรำคาญผลักพลอย่างแรง หน้ากระแทกมุมโต๊ะเลือดออกจมูก พลแต๋วแตกปรี่เข้าตบตีสุดเขตอุตลุด ช่างแต่งหน้ากับทีมงานต้องมาช่วยกันดึงพลไว้ สุดเขตจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่อย่างเสียอารมณ์ แล้วออกไปขึ้นรถบ่ายหน้าไปยังค่ายเพลงจีมิวสิค...
เดือนมาทำงานเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ที่ค่ายเพลงจีมิวสิคเป็นวันแรก ก็ได้ปะทะคารมทางโทรศัพท์กับสุดเขตที่อารมณ์ค้างเรื่องอดีตผู้จัดการส่วนตัวเลยพาลหาเรื่อง เดือนไม่ได้ทำอะไรผิดจึงต่อปากต่อคำไม่ยอมแพ้ สุดเขตฉุนวางสายใส่ บิ๋มพนักงานรุ่นพี่เดินถือเอกสารเข้ามาได้ยินเสียงเอะอะถามมีเรื่องอะไรกัน
“ไม่ทราบสิคะ มาถึงก็ตะคอกเอาตะคอกเอา แล้วก็วางสายไปเลย ผู้ชายอะไรขี้โมโหชะมัด...พี่บิ๋มจะถ่ายเอกสารหรือคะ เดี๋ยวเดือนถ่ายให้” เดือนรับเอกสารจากบิ๋ม แล้วเดินออกไป บิ๋มพึมพำกับตัวเอง
“ผู้ชายขี้โมโหก็มีอยู่แค่คนเดียว...หรือว่าจะเป็น...ว้ายตายแล้ว...น้องเดือนคะ น้องเดือน” บิ๋มรีบวิ่งตามเดือน แต่ไม่ทันเสียแล้ว เห็นเดือนเดินพ้นมุมตึกชนเข้ากับสุดเขตอย่างจัง
เอกสารในมือเดือนและซองเอกสารสีน้ำตาลในมือสุดเขตตกพื้น เดือนอยู่ในอ้อมกอดของสุดเขต ทั้งสองคนหน้าเกือบชนกัน สุดเขตรู้สึกถูกชะตาหญิงสาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ทำวางฟอร์มผลักเธอออก ต่อว่าว่าเดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ เดือนแดกดันกลับเป็นผู้ชายประสาอะไรเดินชนผู้หญิงไม่ขอโทษสักคำ
สุดเขตจำเสียงเธอได้ เพิ่งพูดโทรศัพท์ด้วยกันเมื่อกี้ เดือนก็จำเสียงเขาได้เช่นกัน จังหวะนั้น เดือนเหยียบซองใส่เอกสารของสุดเขตโดยไม่ตั้งใจ เสียงดังกร๊อบ สุดเขตตกใจ ผลักเดือนออกคว้าซองมาเปิดดู เห็นแผ่นซีดีข้างในหักสองท่อน โวยวายอุตลุด เดือนตัดรำคาญขอรับผิดชอบเอง จะไปหาแผ่นใหม่มาคืนให้
“อวดดี ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าน้ำหน้าอย่างเธอจะทำอะไรได้” สุดเขตตะโกนไล่หลัง...
เดือนโทร.ขออนุญาตนพใช้ห้องอัด เพื่อทำซีดีใหม่ แทนแผ่นเก่าที่หักโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นใช้แทนกันไม่ได้ แต่ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่น ทำให้สุดเขตพึงพอใจหญิงสาวมาก แต่ยังคงวางฟอร์มเช่นเคย
“เอาเป็นว่าถ้าเธออยากไถ่โทษที่ทำงานฉันพัง อย่างนั้นมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวฉันจนกว่าฉันจะหาคนใหม่ได้ มันอาจจะยากกว่างานรับโทรศัพท์ที่เธอเคยทำ แต่ฉันจะลองให้โอกาสเธอดู”
“แต่ฉันรับปากคุณนพแล้วว่าจะทำงานนี้”
“ถ้าเธอกลัวพ่อฉันจะว่า ฉันจะบอกพ่อเอง นอกเสียจากเธอไม่อยากทำเพราะรู้ว่าทำไม่ได้...ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษที่พูดไม่ดีกับฉัน แล้วฉันจะยกโทษให้”
“ใครบอกว่าฉันทำไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ถือว่าเธอรับปาก นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอเป็นผู้จัดการคนใหม่ของฉัน” สุดเขตเห็นเดือนอ้าปากจะเถียง ชี้หน้าปรามไม่ให้พูด “เป็นผู้จัดการฉัน...กฎข้อแรกคือห้ามขัดใจ”
เดือนฮึดฮัด ขณะที่สุดเขตแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่แกล้งหญิงสาวสำเร็จ
ooooooo
วงดนตรีคณะแม่มูลลำเพลินพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ แถมได้บัวผัน นักร้องวัยใสลูกศิษย์ชั้น ม.3 ของพิณมาเป็นนักร้องนำฝ่ายหญิงคู่กับแคนทำให้วงมีสีสันมากขึ้น หลังจากฝึกซ้อมกันอย่างหนัก วงดนตรีคณะแม่มูลลำเพลินเปิดแสดงสดครั้งแรกที่เวทีริมแม่น้ำมูล ชาวบ้านมาดูกันล้นหลาม
พอจบเพลงสุดท้ายผู้ฟังลุกขึ้นตบมือเกรียว แคน บัวผัน บุญเหลือ บุญหลาย และลูกวงโค้งคำนับคนดูอย่างภาคภูมิใจ มีชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “เอาอีกๆ” คนดูพากันขานรับเสียงดังกระหึ่ม คำแปงซาบซึ้งใจกลั้นน้ำตาไม่อยู่ พิณยกนิ้วแม่โป้งให้บัวผันซึ่งยกนิ้วโป้งตอบครูพิณเช่นกัน...
ศรีไพรแข็งขืนอยู่ในห้องขังได้ไม่กี่คืน ยอมสำนึกผิด ขอโทษพ่อของเขาและสัญญาจะไม่ทำอย่างนี้อีก พ่อจะให้ทำอะไรยอมทุกอย่างขอให้ประกันตัวเขาออกจากที่นี่ เถ้าแก่เส็งสั่งให้อ่อนทาไปจัดการเรื่องเอกสารประกันตัว จากนั้น เขาพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปยังร้านคาราโอเกะของเขา
“อั๊วอยากให้ลื้อช่วยงานอั๊ว แล้วงานแรกที่อั๊วจะให้ทำ ก็คือดูแลร้านนี้”
“ถ้าเตี่ยต้องการแค่คนคุมร้าน ทำไมไม่ไปจ้างคนอื่น ทำไมต้องให้อั๊วทำด้วย”
“เพราะธุรกิจริงๆของที่นี่มันไม่ใช่อย่างที่ลื้อเห็นนะสิ”
ศรีไพรมองพ่องงๆ ทันใดนั้น มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นจากหลังร้าน ศรีไพรหันไปมองตามเสียงเห็นเด็กหญิงหน้าตาดีอายุประมาณ 15 ปีวิ่งออกมา ผลักเถ้าแก่เส็งล้มกระแทกโต๊ะแล้ววิ่งหนีไม่สนใจจะหันมามองด้วยซ้ำ ศรีไพรรีบเข้าไปดูพ่อเห็นไม่เป็นอะไร วิ่งตามจะไปเอาเรื่องเด็กหญิงคนนั้นจนทัน กระชากแขนมาตบคว่ำ เด็กหญิงยกมือไหว้ปลกๆ ด้วยความหวาดกลัว อ้อนวอนอย่าทำร้ายตนเลย
“คนที่กล้าลองดีกับฉันมันต้องตาย” ศรีไพรพูดจบ ยกเท้าจะถีบหน้าเด็กหญิง เถ้าแก่เส็งร้องห้ามไว้ทัน ศรีไพรงง ไม่เข้าใจพ่อจะห้ามทำไม มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
“ถ้าหน้ามันชํ้า...อั๊วจะจ่ายแค่ครึ่งเดียว”
ศรีไพรหันไปมองตามเสียง เห็นนายหน้าค้าเด็กทั้งชายและหญิงจากกรุงเทพฯยืนเต๊ะจุ๊ยอยู่ ชายคนนั้นลากเด็กหญิงไปรวมไว้กับเด็กคนอื่นๆที่กำลังต่อแถวรอขึ้นรถ เถ้าแก่เส็งเดินเข้ามาหาลูกชาย
“คราวนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมอั๊วถึงอยากให้ลื้อทำงานนี้”
“แค่ฉันทะเลาะกับไอ้แคน เตี่ยโกรธฉันแทบตาย แต่เตี่ยกลับมาบอกให้ฉันทำเรื่องผิดกฎหมายนี่นะ”
“ปากเสีย ผิดกฎหมายที่ไหนอั๊วแค่เป็นนายหน้าหางานให้พวกมันทำ พอมันไปถึงกรุงเทพฯแล้วมันจะทำ
อะไรก็เรื่องของมัน...หรือว่าแกไม่อยากทำงานนี้”
ศรีไพรก็แค่บ่นไปอย่างนั้นเอง เถ้าแก่เส็งพอใจที่ลูกรับงานนี้ไปดูแล เพราะเขาจะได้มีเวลาไปคุมเรือดูดทรายได้เต็มที่ นายหน้าเอาเงินมายื่นให้ เถ้าแก่เส็งสงสัยทำไมน้อยนัก
“ก็นอกจากอีนังเด็กคนนั้นแล้วไม่เห็นมีใครหน้าตาดีอีกเลย จะขายก็ได้แค่แรงงานสวะ”
เถ้าแก่เส็งหันมาถามอ่อนทา ช่วงนี้เด็กเพิ่งจบ ม.3ไม่ใช่หรือ แล้วมันหายหัวไปไหนหมด
ooooooo
หลังเวทีริมแม่น้ำมูล บัวผันพาเพื่อนหน้าตาสะสวยรุ่นราวคราวเดียวกันมาขอคำแปงเข้าร่วมวงดนตรีด้วย แต่พวกเด็กๆร้องเพลงไม่เป็นสักคน พิณจำได้ว่าวิทยาลัยนาฏศิลป์เคยมาสอนพวกนี้ฟ้อน ถ้าให้เป็นนางไหคงพอทำได้ บุญหลายกับบุญเหลือตาโตด้วยความดีใจที่จะมีเด็กสาวหน้าตาดีๆมาร่วมวง คำแปงลังเล
เด็กๆช่วยกันอ้อนวอน “ถ้าครูให้พวกเราเป็น เราจะได้มีงานทำไม่ต้องไปทำงานโรงงานยังไงจ๊ะ”
“ฉันก็จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย...แม่ครูรับพวกฉันนะ”
คำแปงเห็นความมุ่งมั่นของเด็กแล้วปฏิเสธไม่ลง บัวผัน กับผองเพื่อนส่งเสียงเฮด้วยความดีใจ...
ด้านหน้าเวที คนดูเริ่มทยอยกันกลับบ้าน ทองสาบ่นกับกิ๊บและเชอร์รี่เพื่อนสก๊อตที่พามาดูการแสดงว่านี่ไม่ใช่ คอนเสิร์ตอย่างเพื่อนว่าสักหน่อย แต่เป็นวงหมอลำชัดๆ กิ๊บยืนยันวงนี้ดังที่สุด
“แหวะบ้านนอก...ทีหลังอย่าพาฉันมาดูอะไรแบบนี้อีกนะ ฉันรับไม่ได้” ทองสาเดินสะบัดออกไป แต่เหลือบเห็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งยืนคุยกับกลุ่มเด็กสาวอยู่ข้างเวที หันมาถามกิ๊บว่าใคร พอรู้ว่าเป็นพิณเด็กวัดที่ไม่มีพ่อมีแม่คนนั้น ทองสาจำได้ ยิ้มเจ้าเล่ห์ ปรี่เข้าไปหาทิ้งเพื่อนหน้าตาเฉย กิ๊บกับเชอร์รี่รีบวิ่งตาม...
ทองสาแกล้งเดินชนพิณแล้วอ่อยเหยื่อเต็มที่ ถึงขนาดชวนขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปบ้านเธอด้วยกัน พิณไปไม่ได้ มีงาน
ต้องเคลียร์อีกหลายอย่าง และยังต้องอยู่ฉลองความสำเร็จกับเพื่อนร่วมวง แล้วผละจากมาอย่างไม่สนใจ ทองสาหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ เจ็บใจเดินกระฟัดกระเฟียดมาที่รถมอเตอร์ไซค์
“เป็นที่กรุงเทพฯหน่อยไม่ได้ อ่อยขนาดนี้ยังไงก็ต้องมีได้เสีย”
กิ๊บเตือนทองสาอย่าเสียเวลากับพิณเลย เขามีแฟนแล้วชื่อเดือน เป็นลูกของลุงบุญกับป้าเพ็ง ได้ข่าวว่าทั้งคู่รักกันมาก พิณคงไม่เปลี่ยนใจง่ายๆหรอก ทองสาวีนแตก
“นี่เธอจะบอกว่าฉันไม่มีทางสู้อีเดือนดำงั้นหรือ ฉันเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯนะ แถมยังสวยขนาดนี้ มันต่างหากที่ต้องทำใจที่เจอคู่แข่งอย่างฉัน คอยดูฉันจะเอาพิณมาเป็นของฉันให้ได้” ทองสาสีหน้าเอาจริง...
ตกเย็น ทองสาสืบรู้ว่าพิณกับเพื่อนๆมาฉลองกันที่บ้านคำแปง หอบเหล้านอกติดมือมาด้วย อ้างเถ้าแก่เส็งฝากมาให้แทนคำขอโทษที่ศรีไพรทำไม่ดีกับทุกคน แคนไม่อยากได้ บอกปัดที่นี่ไม่มีใครดื่มเหล้า แต่ทองสาคะยั้นคะยอให้รับไว้ คำแปงอยากให้เรื่องขุ่นข้องนี้จบๆไป ขอร้องแคนให้อภัยศรีไพร แคนไม่ยอมญาติดีกับพวกนี้เด็ดขาด คว้ามือคำหล้าออกไป พิณเห็นทองสาหน้าเศร้า รีบเอ่ยปากขอโทษเธอแทนแคน
เข้าทางทองสาทันที “งั้นพิณก็ช่วยรับเหล้าขวดนี้ไว้หน่อยสิ คิดเสียว่าเป็นคำขอโทษ”
คำแปงพยักพเยิดให้พิณรับไว้ พิณรับเหล้ามาอย่างลำบากใจ ทองสายิ้มแฉ่ง เชิญทุกคนร่วมดื่มด้วยกัน เจ้ากี้เจ้าการชงเหล้าแจก ไม่นานนัก ชาวคณะต่างเมาปลิ้น คำแปงมองสภาพลูกวงตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ทองสาจะชงเหล้าให้พิณอีกแก้ว ชายหนุ่มส่ายหน้า พรุ่งนี้เขามีคุมสอบแต่เช้าแล้วลุกขึ้นจะกลับ แต่ด้วยความเมามาย ถึงกับเซหัวทิ่ม ทองสาเข้าไปช่วยประคอง
“เมาขนาดนี้ เดี๋ยวฉันไปส่งดีกว่า” ทองสายิ้มพอใจแผนที่วางไว้สำเร็จไปอีกขั้น
ครู่ต่อมา ทองสาพยุงพิณเข้ามาที่เตียงนอนภายในห้องพักของเขา แกล้งทำเสียหลักดึงพิณล้มลงบนเตียงด้วยกัน พิณคร่อมอยู่บนร่างของหญิงสาว ทั้งสองมองหน้ากันนิ่ง ทองสาทำอิดออดพอเป็นพิธี ขณะที่พิณเห็นหน้าทองสาเป็นเดือน พึมพำชื่อเธอเบาๆ ทองสาขัดใจเล็กๆที่เขาเรียกชื่อคนอื่น ก่อนยักไหล่ไม่สนใจ หลับตาพริ้มยื่นปากให้จูบ แต่พิณกลับเมาหลับไปเสียก่อน ทิ้งทองสาให้อารมณ์ค้างอยู่อย่างนั้น
ooooooo
เช้าวัดถัดมา คำหล้าทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจมากที่ได้รับจดหมายจากเดือน เมื่อคืนนี้ เธอกับพิณเพิ่งบ่น
ถึงเดือนที่ไม่ส่งข่าวมาหา คำหล้าผลุนผลันออกจากบ้านพร้อมจดหมาย...
ขณะเดียวกัน ขุนทองทำความสะอาดโรงเรียนมาถึงหน้าห้องพักพิณก็เปิดประตูจะเข้าไปกวาดห้องให้เหมือนเช่นทุกวัน แต่ต้องตกใจที่เห็นพิณกับทองสานอนอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่ามีผ้าห่มคลุมแค่อก ขุนทองรีบปิดประตูหันมาเจอครูตะวันที่มาตามหาพิณ พอรู้ว่าพิณอยู่ในห้อง ครูตะวันเปิดประตูจะเข้าไปหา
แต่ขุนทองรีบดึงประตูปิด ครูตะวันมองหน้าถามว่า
มีอะไร ขุนทองส่ายหน้า ครูตะวันเปิดประตูจะเข้าไปอีก ขุนทองก็ดึงปิดอีก ทั้งสองคนยื้อประตูกันไปมา สุดท้ายขุนทองดึงประตูปิดแรงไปหน่อยเสียงดังปัง
พิณนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่น ได้ยินเสียงครูตะวันด่าขุนทองอยู่หน้าห้อง พิณพลิกตัวมาเจอทองสานอนร้องไห้กระซิกๆอยู่ ตกใจลุกพรวด ถามว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทองสาบีบน้ำตาปั้นเรื่องโกหกว่าพิณขอให้เธอมาส่งที่ห้อง แล้วใช้ กำลังปลุกปล้ำเธอ ถึงพิณจะเมามาย แต่เขาไม่มีทางทำอย่างที่ทองสาพูดแน่นอน
“พูดอย่างนี้จะไม่รับผิดชอบใช่ไหม...ได้” ทองสาว่าแล้วลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า “ฉันจะประกาศให้รู้กันทั้งโรงเรียนว่าคนอย่างครูพิณไม่มีความรับผิดชอบ”
พิณร้องห้ามเสียงหลงกระชากแขนทองสาไว้จนเสียหลักล้มลงบนเตียงด้วยกันทั้งคู่ เป็นจังหวะเดียวกับครูตะวันเปิดประตูเข้ามาในห้อง เห็นพิณกำลังคร่อมทองสาอยู่ก็ตกใจ ทองสาได้ทีรีบผลักพิณออกแล้ววิ่งไปหาครูตะวันในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย คร่ำครวญว่าถูกพิณข่มขืนและยังขู่ไม่ให้เธอบอกใคร ถ้าครูตะวันไม่ช่วยเธอจะตายให้ดู ครูตะวันปลอบให้ใจเย็นๆจะให้ช่วยอะไรก็บอกมา
ทองสาแอบยิ้มก่อนตีหน้าเศร้า บีบน้ำตาสุดฤทธิ์ “ให้พี่พิณส่งผู้ใหญ่ไปผูกข้อมือฉัน...แต่ถ้าพี่พิณไม่ยอมรับผิดชอบ ฉันก็ขอตายดีกว่าทนอดสูเป็นขี้ปากชาวบ้านให้คนเขาดูแคลน”
ครูตะวันหลงเชื่อ หันไปด่าพิณเป็นชุด จังหวะนั้น คำหล้า มาถึงพอดี ถามว่ามีเรื่องอะไรกัน พอรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอปราดเข้าไปจิกหัวทองสาตบไม่เลี้ยง ครูตะวัน ขุนทองกับพิณต้องช่วยกันกันคำหล้าไว้ คำหล้าไม่เชื่อเรื่องที่ทองสากล่าวอ้าง พี่พิณต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกนังผู้หญิงหน้าด้านคนนี้มอมเหล้า เมื่อคืนนี้ทองสาเอาเหล้าไปให้ที่งานฉลองแต่ไม่มีใครอยากกิน มันก็คะยั้นคะยอให้รับไว้
“พี่พิณบอกครูไปสิว่า ที่ฉันพูดเป็นความจริง พี่รักเดือน พี่ไม่ได้มีอะไรกับมัน”
พิณหนักใจ ด้วยความเป็นลูกผู้ชายถึงเขาจะจำเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้ทองสาเสียชื่อเสียง ดังนั้น เขาต้องรับผิดชอบ คำหล้าผิดหวังทำท่าจะร้องไห้
“พี่รู้ไหมทำไมฉันถึงมาหาพี่แต่เช้า เพราะเดือนมันเขียนจดหมายมาหาฉัน มันถามถึงพี่ มันคิดถึงพี่ แต่เวลาแค่ไม่กี่วันพี่กลับนอกใจมัน” คำหล้าพูดจบ ปาจดหมายของเดือนใส่หน้าพิณ แล้ววิ่งออกไป พิณตะลึงหยิบจดหมายขึ้นมาดู เห็นชื่อเดือนที่ช่องผู้ฝาก ใช้นิ้วลูบเบาๆด้วยความคิดถึง...
จากนั้น พิณเอาจดหมายมานั่งอ่านใต้ต้นคูนริมแม่น้ำต้นเดิม ได้รู้ว่าระหว่างรอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เดือนได้งานพิเศษทำ พิณละสายตาไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า ก่อนจะอ่านจดหมายต่อ
“แล้วพี่พิณเป็นอย่างไรบ้าง คงได้เป็นครูอย่างที่เขาฝันไว้สินะ ฉันอดดีใจด้วยไม่ได้จริงๆ...ทุกคืนก่อนนอนฉันจะสวดมนต์ไหว้พระขอให้เขามีความสุข มีชีวิตที่ดีอย่างที่หวังไว้ ฉันก็คงทำได้แค่นี้ เฝ้ามองเขาอยู่ห่างๆแค่ได้รู้ว่าเขามีความสุข ฉันก็มีความสุขแล้ว” พิณอ่านถึงตรงนี้ เห็นเหมือนคราบน้ำตาหยดเปื้อนหมึกเป็นดวง เขาเอามือลูบไล้เบาๆรับรู้ถึงความเศร้าของหญิงคนรักด้วยหัวใจปวดร้าว
ooooooo
เดือนได้รับจดหมายฉบับหนึ่งตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน กว่าจะเคลียร์งานเสร็จก็ใกล้เที่ยงถึงได้มีเวลาว่างเปิดอ่าน มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ เดือนเอาจดหมายเหน็บไว้ในสมุดคิวงาน ก่อนรับสาย
“สวัสดีค่ะ ติดต่องานโฆษณานมเปรี้ยวหรือคะ สุดเขตมีคิวคอนเสิร์ตต่างจังหวัดจนถึงสิ้นเดือนเลยค่ะ”
“เลื่อนงานอื่นไปก่อนไม่ได้หรือคะ ลูกค้าอยากได้น้องเขตมาก เรียกเท่าไหร่ก็ได้” เอเจนซี่อ้อนวอน
“แต่ว่าคิวไม่ได้จริงๆเอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะคะ... สวัสดีค่ะ” เดือนวางสายแล้วหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านต่อจนจบ เป็นจังหวะเดียวกับสุดเขตเดินหน้าหงิกเข้ามาในห้องทำงานโวยวายเรื่องที่เธอปฏิเสธงานถ่ายโฆษณานมเปรี้ยว เดือนไม่รู้โฆษณาชิ้นนี้จะสำคัญกับเขามาก
“แล้วทำไมไม่ถาม มัวแต่นั่งอ่านจดหมายบ้าๆนี่อยู่ล่ะสิ” สุดเขตดึงจดหมายไปจากมือเดือน หญิงสาวพยายามขอคืน นอกจากเขาจะไม่ให้ยังฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโยนทิ้งถังขยะ เดือนโกรธตบหน้าเขาอย่างแรง
“คุณทำอย่างนี้กับจดหมายพ่อแม่ฉันได้อย่างไร” เดือนพูดจบวิ่งร้องไห้ออกจากห้อง สวนกับนพและมาลัย พ่อแม่ของสุดเขตที่ผลักประตูเข้ามาพอดี สองผัวเมียมองตามเดือนงงๆพอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด นพตำหนิลูกชายอย่างแรง มาลัยเล่าให้ลูกฟังว่าที่เดือนต้องมาทำงานที่นี่ก็เพราะแม่ของเธอป่วยเป็นมะเร็ง
“ลูกลองคิดดูสิ หนูเดือนจะรู้สึกยังไงที่ต้องจากแม่มาทั้งยังเป็นห่วง แล้วยังมาเจอลูกทำอย่างนี้อีก”
“ลูกมีโอกาสที่ดีในชีวิตมากกว่าคนอื่น อย่าใช้โอกาสนั้นเหยียบย่ำทำร้ายหัวใจใครนะลูก”
สุดเขตทบทวนคำพูดของพ่อกับแม่แล้วคิดได้ ยืนมองเศษจดหมายในถังขยะอย่างสำนึกผิด...
คืนวันเดียวกัน เดือนเอาแต่นั่งร้องไห้อยู่ในห้องนอนตัวเองอย่างท้อแท้หมดกำลังใจ ดีที่ได้อัญชลีคอยปลอบโยนและพูดให้กำลังใจ จนเดือนมีแรงฮึดสู้อีกครั้ง
ooooooo
เดือนมาถึงโต๊ะทำงานแต่เช้า สะดุดตากับอะไรบางอย่าง หยิบสมุดจดคิวงานขึ้นมาเปิดดู เห็นจดหมายตัวเองซึ่งถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเรียงต่อกันอย่างเรียบร้อยด้วยสก๊อตเทป เดือนบ่นด้วยความแปลกใจว่าใครทำให้ แต่สุดท้ายเธอก็รู้ว่าเป็นสุดเขตนั่นเองที่นั่งหลังขดหลังแข็งติดจดหมายพวกนั้น...
ในเวลาต่อมา เดือนได้รับจดหมายจากพิณรีบเปิดอ่าน จึงได้รู้ความจริง วันนั้น พิณไม่ได้ไปรายงานตัวพยายามปั่นจักรยานกลับมาหาเดือนเพื่อจะล่ำลา แต่ไม่ทัน
“พี่ไม่อยากให้เดือนนึกน้อยใจหรือท้อแท้ใจในวาสนา อยากให้เดือนกลับมาเป็นคนเข้มแข็งเหมือนเดิม ตั้งใจเรียนหนังสือให้จบเร็วๆ อย่านึกกังวลกับสิ่งใด ส่วนตัวพี่ก็มุ่งมั่นเป็นครูให้ได้ตามใฝ่ฝันเหมือนกัน”
เดือนอ่านจดหมายจบ เผลอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข...
วงดนตรีคณะแม่มูลลำเพลินได้รับความนิยมไปทั่ว ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงบนเวที คนดูต่างเซิ้งตามอย่างสนุกสนานวันนี้ก็เช่นกัน คำแปงกับพิณเห็นคนดูมีความสุขก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย ไม่ทันสังเกตเห็นศรีไพรกับสมุนยืนมองการแสดงของพวกตนอย่างมาดร้าย พอเห็นคนดูลุกขึ้นตบมือเกรียวเมื่อ การแสดงจบ ศรีไพรแทบอกแตกตายด้วยความริษยาที่เห็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของวงดนตรีคณะนี้...
ครู่ต่อมา แคนเข้ามาหลังเวที เห็นศรีไพรกับสมุนยืนอยู่กับคำแปงและพิณ มองมาทางเขาด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท แคนไม่พอใจเดินเข้าไปถามศรีไพรว่ามาทำไม
คำแปงยกมือเป็นเชิงปรามแคนให้ใจเย็นๆ
“ฉันมาแสดงความยินดีที่วงของแกโด่งดังขนาดนี้”
“เอาความหวังดีของแกกลับไปซะ แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก”
“ฉันขอให้เรื่องบาดหมางในอดีตของเราจบลงแค่นี้”
แคนยังโกรธไม่หายเข้าไปกระชากคอเสื้อศรีไพรจะเอาเรื่อง แต่เขากลับไม่สู้ แคนขัดใจมากไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ผลักเขาออก ศรีไพรจัดเสื้อให้เข้าที่ อวยพรให้คำหล้ากับแคนรักกันนานๆ ส่วนเขายอมรับสภาพได้แล้วที่คำหล้าเลือกแคนไม่ใช่เขา แล้วบอกลาทุกคน คำหล้ามองตามศรีไพร รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล
เป็นจริงอย่างคำหล้าคาด ศรีไพรส่งสมุนอีกกลุ่มหนึ่งไปเผาบ้านกับกระต๊อบเก็บของของคำแปง โชคดีที่ชาวบ้านช่วยกันดับไฟที่ไหม้บ้านได้ทัน แต่กระต๊อบเก็บของวอดเป็นจุณ คำแปงมองอย่างสิ้นหวัง น้ำตาซึม
“ทุกอย่างกำลังจะดีอยู่เชียว”
แคนกำมือแน่นด้วยความแค้น ก่อนจะวิ่งลิ่วออกไป ไม่นานนัก แคนมาถึงตลาด เห็นศรีไพรกับสองสมุนคนสนิทกำลังเดินชมตลาดอย่างเย็นใจ แคนปราดเข้าไปชี้หน้า
“ฉันรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือแก...ไอ้ศรีไพร”
ooooooo
รถเก๋งคันโก้เลี้ยวเข้ามาจอดในคฤหาสน์แสนโอ่อ่าของแสวง เดือนมองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าอย่างหวั่นๆ เจี๊ยบคนรับใช้ประจำบ้านท่าทางไม่เป็นมิตรเดิน นำเดือนไปพบแสวงกับอัญชลีที่ห้องนั่งเล่น หญิงสาวผู้มาใหม่ ไหว้อัญชลีกับแสวงอย่างเก้อกระดากเจียมตัว เรียกเจ้าของบ้านทั้งสองว่าคุณผู้หญิงกับคุณท่าน
“ทำไมเรียกแม่เรียกพ่ออย่างนั้นล่ะจ๊ะ” อัญชลียิ้มให้อย่างเมตตา
เดือนอึดอัดใจเพราะยังไม่คุ้นเคย แสวงรู้ทันบอกให้เดือนเรียกลุงกับป้าไปก่อนก็ได้ ชินเมื่อไหร่ค่อยเรียกพ่อกับแม่ เดือนรับคำ จากนั้นอัญชลีกับแสวงพาเดือนขึ้นไปดูห้องนอน ทั้งเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเดือนถูกจัดไว้ในห้องนั้นอย่างเป็นระเบียบ
“ขาดเหลืออะไรก็บอกลุงกับป้าได้นะจ๊ะ”
เดือนไหว้ขอบคุณทั้งสองท่าน แสวงจับมือเธอเป็นเชิงรับไหว้ หญิงสาวตกใจรีบชักมือออก แสวงมองเธออย่างแปลกใจ ขณะที่อัญชลีมองยิ้มๆ ชวนแสวงออกมาคุยนอกห้อง อธิบายให้เขาฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เดือนมีท่าทีอย่างนั้น คงเป็นเพราะท่าทางกรุ้มกริ่มของเขา แสวงมองเมียรักสีหน้าไม่สบายใจ
“คุณก็รู้ ผมเป็นเสือถอดเล็บมานานแล้ว ก็แค่เอ็นดู...”
“แต่หนูเดือนไม่ทราบนี่คะ...คงต้องให้เวลา ทั้งคุณทั้งหนูเดือนปรับตัวสักระยะ คุณก็อย่าคิดมากเลยค่ะ”
แสวงพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่วายเป็นกังวล
ooooooo
พิณในสภาพสะบักสะบอม เข็นรถจักรยานล้อเบี้ยวเข้ามาในโรงเรียน เห็นครูตะวันยืนคุยกับชายคนหนึ่ง อยู่ พิณปรี่เข้าไปต่อว่าที่เดือนต้องไปกรุงเทพฯโดยที่เขาไม่ได้รํ่าลา เป็นเพราะครูไม่ตั้งใจสอนหนังสือเด็กๆ
มัวแต่เอาเวลาไปจับพวกดูดทราย ถ้าเด็กๆมีความรู้ คงไม่ต้องหนีไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ ครูตะวันชักโกรธ
“เพราะเรื่องนี้นี่เองแกถึงมาพาลเอากับฉัน ฉันจะบอกให้ที่ไอ้บุญโฮมมานี่ มันมาบอกเรื่องคำหล้าถูกศรีไพรยิงอาการเป็นตายเท่ากัน”
พิณตกใจ รีบชวนครูตะวันไปโรงพยาบาล ครู่ต่อมา พิณกับครูตะวันมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ทันได้ฟังข่าวดีจากหมอว่าคำหล้าพ้นขีดอันตรายแล้ว กระสุนทะลุปอดแต่ไม่โดนเส้นเลือดใหญ่ แคน คำแปง ครูตะวันกับพิณต่างดีใจโล่งใจ รีบเข้าไปเยี่ยม แคนจับมือคำหล้าขึ้นมากุมไว้
“เธอช่วยชีวิตพี่ไว้ ก็เท่ากับว่าชีวิตพี่เป็นของเธอ พี่ขอสัญญาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะอยู่ดูแลเธอตลอดไป ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเธอได้อีก” แคนจูบมือเธออย่างทะนุถนอม คำหล้ายิ้มตื้นตันใจ.
..
อีกมุมหนึ่งของโรงพยาบาล สีกับสาพ่อแม่ของคำหล้า รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากอ่อนทาคนของเถ้าแก่เส็งแล้ว ก็ถูกหลอกให้เซ็นสัญญาเงินกู้โดยอ้างว่าเป็นแค่หลักประกันให้สีกับสารักษาคำพูดไม่กลับคำมาฟ้องร้องทีหลัง แคนเพิ่งออกจากห้องฉุกเฉินเห็นเข้า เกรงสีกับสาจะถูกอ่อนทาข่มขู่รีบเดินมาดู
พอรู้ว่าสองผัวเมียรับเงินค่าสินไหมแลกกับการไม่เอาเรื่องศรีไพร แคนไม่พอใจโวยลั่นที่สีกับสาปล่อยให้ศรีไพรลอยนวลไปง่ายๆ บอกให้ทั้งคู่เอาเงินคืนเถ้าแก่เส็งไป พวกเราจะได้เอาเรื่องศรีไพรให้ถึงที่สุด สีอยากให้จบๆเรื่อง ไม่อยากมีปัญหา และที่สำคัญเขาเซ็นชื่อรับเงินไปแล้ว อ่อนทาเห็นแคนท่าทางเอาเรื่องรีบชี้แจง
“เถ้าแก่ให้ฉันมาไกล่เกลี่ยเพราะอยากให้เรื่องจบลงด้วยดี แต่ถ้าแกกลัวว่าศรีไพรจะกลับมาทำร้ายทุกคนอีกล่ะก็...
ไม่ต้องกลัว เรื่องนั้นเถ้าแก่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมาย”
แคนมองหน้าอ่อนทาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ...
ขณะศรีไพรกำลังอาละวาดฟาดงวงฟาดงาอยู่ในห้องขัง จ่าเวรเข้ามาแจ้งว่ามีคนมาประกันตัวเขาแล้ว ศรีไพรเดินยิ้มออกจากห้องขังพร้อมกับไอ้ดำและไอ้ขาวมาที่ห้องร้อยเวร แต่ต้องแปลกใจที่เห็นคนมาประกันตัวเขาคือทองสาน้องสาวของเขาเอง ทันทีที่เห็นหน้าพี่ชาย ทองสาต่อว่าอย่างไม่พอใจ
“ที่แท้พี่ทำตัวกุ๊ยอย่างนี้นี่เอง เตี่ยถึงต้องตามฉันกลับมาจากกรุงเทพฯ”
“ฉันว่าเพราะแกเรียน 8 ปีไม่จบ เตี่ยก็เลยเบื่อส่งแรดเรียนมากกว่า...เร็วๆเข้า รีบพาฉันออกไปเสียที เบื่อเต็มทนแล้ว” ศรีไพรว่าแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้อง
“เสียใจ...เตี่ยให้ฉันมาบอกว่าจะไม่มีการประกันตัวอะไรทั้งนั้นจนกว่าพี่จะสำนึก”
ศรีไพรไม่ยอม จะออกจากที่นี่ให้ได้ ตำรวจเข้ามาขวางศรีไพรฮึดสู้ แต่สุดท้ายก็ถูกจับขังอย่างเดิม
ooooooo
พิณเห็นเดือนต้องทิ้งบ้านเกิดไปแสวงหาความก้าวหน้าที่อื่น เขาจึงคิดจะใช้ดนตรีปลุกจิตสำนึกให้ชาวบ้านรักถิ่นฐานบ้านเกิดจะได้ไม่ต้องส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือหรือทำงานไกลๆ เด็กๆก็จะได้เติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาหมู่บ้าน พิณเอาเรื่องนี้มาเสนอคำแปงกับชาวคณะแม่มูลลำเพลิน
“ฉันอยากให้แม่ครูตั้งคณะแม่มูลลำเพลินเต็มรูปแบบเพื่อให้ชาวบ้านดูเป็นตัวอย่างว่าภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนสามารถนำมาต่อยอดพัฒนาเป็นอาชีพที่ดีได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน เพียงแต่เราต้องปรับให้ทันยุคทันสมัย ถึงจะเรียกคนดูได้”
แคนเห็นด้วย ชาวบ้านจะได้มีทางเลือกใหม่ๆ พวกเราก็จะได้ไม่ต้องเร่ร่อนร้องเพลงตามตลาดให้คนอื่นดูถูกเอาอีก คำแปงก็เห็นดีด้วย แต่หนักใจเพราะการทำวงดนตรีต้องใช้ เงินเยอะ ในที่สุดเธอตัดสินใจจะเอาบ้านกับที่สวนไปจำนอง เพื่อเอาเงินมาปรับปรุงวงและขอคำมั่นสัญญาจากทุกคนในวงว่าจะไม่ทิ้งวงไปไหน จะอยู่ช่วยกันสร้างวงดนตรีคณะแม่มูลลำเพลินให้เป็นที่รู้จัก ทุกคนให้สัญญาอย่างพร้อมเพรียงกัน...
ขณะเดียวกัน ที่บ้านของแสวง เดือนตั้งใจไว้ว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยเปิด จะได้มีเวลาทำงานพิเศษหาเงินเป็นค่ารักษาแม่ อัญชลีฝากให้แสวงช่วยดูทีว่ามีเพื่อนคนไหนของเขาพอจะฝากเดือนไปทำงานด้วยได้
“จะไปฝากคนอื่นคนไกลทำไม ก็ฝากให้ไปทำงานกับไอ้นพมันสิ”
“จริงสิคะ คุณนพเป็นเจ้าของค่ายเพลงใหญ่ ส่วนแม่มาลัยก็เป็นคนบ้านเดียวกับแม่เพ็ง หนูเดือนรู้จักค่ายจีมิวสิค ไหมจ๊ะ ที่มีนักร้องชื่อสุดเขต ที่ดังที่สุดตอนนี้ไง”
ooooooo
สุดเขต นักร้องป๊อปแดนซ์สไตล์เกาหลีสุดฮิตกำลังถ่ายมิวสิกวีดิโอเพลงชุดใหม่อยู่ในสตูดิโอ พอผู้กำกับสั่งคัต ไฟในสตูดิโอเปิดพรึบ แฟนคลับถือป้ายไฟ
รออยู่ส่งเสียงกรี๊ด พร้อมกับกรูเข้ามาหา สุดเขตแปลกใจแฟนคลับรู้ได้อย่างไรว่าเขามีคิวที่นี่ พอรู้ความจริงจากเหล่าแฟนคลับ สุดเขตถึงกับของขึ้น...
นักร้องสุดฮิตเดินหน้าหงิกถือมือถือของแฟนคลับเข้ามาในห้องแต่งตัว โยนมือถือให้พลผู้จัดการส่วนตัวของเขา พลเปิดคลิปดูเห็นตัวเองกำลังรับเงินจากแฟนคลับแลกกับตารางงานของสุดเขตถึงกับหน้าซีด
“แฟนคลับผมแอบถ่ายคลิปนี้ไว้ พี่มีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม”
พลเข้ามาเกาะแขนสุดเขต วิงวอนขอร้องให้เขายกโทษให้ สุดเขตไม่ให้โอกาสพลอีกแล้วไล่เขาออกทันที พยายามแกะมือพลออกแต่เขายื้อไว้สุดฤทธิ์ สุดเขตรำคาญผลักพลอย่างแรง หน้ากระแทกมุมโต๊ะเลือดออกจมูก พลแต๋วแตกปรี่เข้าตบตีสุดเขตอุตลุด ช่างแต่งหน้ากับทีมงานต้องมาช่วยกันดึงพลไว้ สุดเขตจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่อย่างเสียอารมณ์ แล้วออกไปขึ้นรถบ่ายหน้าไปยังค่ายเพลงจีมิวสิค...
เดือนมาทำงานเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ที่ค่ายเพลงจีมิวสิคเป็นวันแรก ก็ได้ปะทะคารมทางโทรศัพท์กับสุดเขตที่อารมณ์ค้างเรื่องอดีตผู้จัดการส่วนตัวเลยพาลหาเรื่อง เดือนไม่ได้ทำอะไรผิดจึงต่อปากต่อคำไม่ยอมแพ้ สุดเขตฉุนวางสายใส่ บิ๋มพนักงานรุ่นพี่เดินถือเอกสารเข้ามาได้ยินเสียงเอะอะถามมีเรื่องอะไรกัน
“ไม่ทราบสิคะ มาถึงก็ตะคอกเอาตะคอกเอา แล้วก็วางสายไปเลย ผู้ชายอะไรขี้โมโหชะมัด...พี่บิ๋มจะถ่ายเอกสารหรือคะ เดี๋ยวเดือนถ่ายให้” เดือนรับเอกสารจากบิ๋ม แล้วเดินออกไป บิ๋มพึมพำกับตัวเอง
“ผู้ชายขี้โมโหก็มีอยู่แค่คนเดียว...หรือว่าจะเป็น...ว้ายตายแล้ว...น้องเดือนคะ น้องเดือน” บิ๋มรีบวิ่งตามเดือน แต่ไม่ทันเสียแล้ว เห็นเดือนเดินพ้นมุมตึกชนเข้ากับสุดเขตอย่างจัง
เอกสารในมือเดือนและซองเอกสารสีน้ำตาลในมือสุดเขตตกพื้น เดือนอยู่ในอ้อมกอดของสุดเขต ทั้งสองคนหน้าเกือบชนกัน สุดเขตรู้สึกถูกชะตาหญิงสาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ทำวางฟอร์มผลักเธอออก ต่อว่าว่าเดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ เดือนแดกดันกลับเป็นผู้ชายประสาอะไรเดินชนผู้หญิงไม่ขอโทษสักคำ
สุดเขตจำเสียงเธอได้ เพิ่งพูดโทรศัพท์ด้วยกันเมื่อกี้ เดือนก็จำเสียงเขาได้เช่นกัน จังหวะนั้น เดือนเหยียบซองใส่เอกสารของสุดเขตโดยไม่ตั้งใจ เสียงดังกร๊อบ สุดเขตตกใจ ผลักเดือนออกคว้าซองมาเปิดดู เห็นแผ่นซีดีข้างในหักสองท่อน โวยวายอุตลุด เดือนตัดรำคาญขอรับผิดชอบเอง จะไปหาแผ่นใหม่มาคืนให้
“อวดดี ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าน้ำหน้าอย่างเธอจะทำอะไรได้” สุดเขตตะโกนไล่หลัง...
เดือนโทร.ขออนุญาตนพใช้ห้องอัด เพื่อทำซีดีใหม่ แทนแผ่นเก่าที่หักโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นใช้แทนกันไม่ได้ แต่ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่น ทำให้สุดเขตพึงพอใจหญิงสาวมาก แต่ยังคงวางฟอร์มเช่นเคย
“เอาเป็นว่าถ้าเธออยากไถ่โทษที่ทำงานฉันพัง อย่างนั้นมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวฉันจนกว่าฉันจะหาคนใหม่ได้ มันอาจจะยากกว่างานรับโทรศัพท์ที่เธอเคยทำ แต่ฉันจะลองให้โอกาสเธอดู”
“แต่ฉันรับปากคุณนพแล้วว่าจะทำงานนี้”
“ถ้าเธอกลัวพ่อฉันจะว่า ฉันจะบอกพ่อเอง นอกเสียจากเธอไม่อยากทำเพราะรู้ว่าทำไม่ได้...ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษที่พูดไม่ดีกับฉัน แล้วฉันจะยกโทษให้”
“ใครบอกว่าฉันทำไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ถือว่าเธอรับปาก นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอเป็นผู้จัดการคนใหม่ของฉัน” สุดเขตเห็นเดือนอ้าปากจะเถียง ชี้หน้าปรามไม่ให้พูด “เป็นผู้จัดการฉัน...กฎข้อแรกคือห้ามขัดใจ”
เดือนฮึดฮัด ขณะที่สุดเขตแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่แกล้งหญิงสาวสำเร็จ
ooooooo
วงดนตรีคณะแม่มูลลำเพลินพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ แถมได้บัวผัน นักร้องวัยใสลูกศิษย์ชั้น ม.3 ของพิณมาเป็นนักร้องนำฝ่ายหญิงคู่กับแคนทำให้วงมีสีสันมากขึ้น หลังจากฝึกซ้อมกันอย่างหนัก วงดนตรีคณะแม่มูลลำเพลินเปิดแสดงสดครั้งแรกที่เวทีริมแม่น้ำมูล ชาวบ้านมาดูกันล้นหลาม
พอจบเพลงสุดท้ายผู้ฟังลุกขึ้นตบมือเกรียว แคน บัวผัน บุญเหลือ บุญหลาย และลูกวงโค้งคำนับคนดูอย่างภาคภูมิใจ มีชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “เอาอีกๆ” คนดูพากันขานรับเสียงดังกระหึ่ม คำแปงซาบซึ้งใจกลั้นน้ำตาไม่อยู่ พิณยกนิ้วแม่โป้งให้บัวผันซึ่งยกนิ้วโป้งตอบครูพิณเช่นกัน...
ศรีไพรแข็งขืนอยู่ในห้องขังได้ไม่กี่คืน ยอมสำนึกผิด ขอโทษพ่อของเขาและสัญญาจะไม่ทำอย่างนี้อีก พ่อจะให้ทำอะไรยอมทุกอย่างขอให้ประกันตัวเขาออกจากที่นี่ เถ้าแก่เส็งสั่งให้อ่อนทาไปจัดการเรื่องเอกสารประกันตัว จากนั้น เขาพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปยังร้านคาราโอเกะของเขา
“อั๊วอยากให้ลื้อช่วยงานอั๊ว แล้วงานแรกที่อั๊วจะให้ทำ ก็คือดูแลร้านนี้”
“ถ้าเตี่ยต้องการแค่คนคุมร้าน ทำไมไม่ไปจ้างคนอื่น ทำไมต้องให้อั๊วทำด้วย”
“เพราะธุรกิจริงๆของที่นี่มันไม่ใช่อย่างที่ลื้อเห็นนะสิ”
ศรีไพรมองพ่องงๆ ทันใดนั้น มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นจากหลังร้าน ศรีไพรหันไปมองตามเสียงเห็นเด็กหญิงหน้าตาดีอายุประมาณ 15 ปีวิ่งออกมา ผลักเถ้าแก่เส็งล้มกระแทกโต๊ะแล้ววิ่งหนีไม่สนใจจะหันมามองด้วยซ้ำ ศรีไพรรีบเข้าไปดูพ่อเห็นไม่เป็นอะไร วิ่งตามจะไปเอาเรื่องเด็กหญิงคนนั้นจนทัน กระชากแขนมาตบคว่ำ เด็กหญิงยกมือไหว้ปลกๆ ด้วยความหวาดกลัว อ้อนวอนอย่าทำร้ายตนเลย
“คนที่กล้าลองดีกับฉันมันต้องตาย” ศรีไพรพูดจบ ยกเท้าจะถีบหน้าเด็กหญิง เถ้าแก่เส็งร้องห้ามไว้ทัน ศรีไพรงง ไม่เข้าใจพ่อจะห้ามทำไม มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
“ถ้าหน้ามันชํ้า...อั๊วจะจ่ายแค่ครึ่งเดียว”
ศรีไพรหันไปมองตามเสียง เห็นนายหน้าค้าเด็กทั้งชายและหญิงจากกรุงเทพฯยืนเต๊ะจุ๊ยอยู่ ชายคนนั้นลากเด็กหญิงไปรวมไว้กับเด็กคนอื่นๆที่กำลังต่อแถวรอขึ้นรถ เถ้าแก่เส็งเดินเข้ามาหาลูกชาย
“คราวนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมอั๊วถึงอยากให้ลื้อทำงานนี้”
“แค่ฉันทะเลาะกับไอ้แคน เตี่ยโกรธฉันแทบตาย แต่เตี่ยกลับมาบอกให้ฉันทำเรื่องผิดกฎหมายนี่นะ”
“ปากเสีย ผิดกฎหมายที่ไหนอั๊วแค่เป็นนายหน้าหางานให้พวกมันทำ พอมันไปถึงกรุงเทพฯแล้วมันจะทำ
อะไรก็เรื่องของมัน...หรือว่าแกไม่อยากทำงานนี้”
ศรีไพรก็แค่บ่นไปอย่างนั้นเอง เถ้าแก่เส็งพอใจที่ลูกรับงานนี้ไปดูแล เพราะเขาจะได้มีเวลาไปคุมเรือดูดทรายได้เต็มที่ นายหน้าเอาเงินมายื่นให้ เถ้าแก่เส็งสงสัยทำไมน้อยนัก
“ก็นอกจากอีนังเด็กคนนั้นแล้วไม่เห็นมีใครหน้าตาดีอีกเลย จะขายก็ได้แค่แรงงานสวะ”
เถ้าแก่เส็งหันมาถามอ่อนทา ช่วงนี้เด็กเพิ่งจบ ม.3ไม่ใช่หรือ แล้วมันหายหัวไปไหนหมด
ooooooo
หลังเวทีริมแม่น้ำมูล บัวผันพาเพื่อนหน้าตาสะสวยรุ่นราวคราวเดียวกันมาขอคำแปงเข้าร่วมวงดนตรีด้วย แต่พวกเด็กๆร้องเพลงไม่เป็นสักคน พิณจำได้ว่าวิทยาลัยนาฏศิลป์เคยมาสอนพวกนี้ฟ้อน ถ้าให้เป็นนางไหคงพอทำได้ บุญหลายกับบุญเหลือตาโตด้วยความดีใจที่จะมีเด็กสาวหน้าตาดีๆมาร่วมวง คำแปงลังเล
เด็กๆช่วยกันอ้อนวอน “ถ้าครูให้พวกเราเป็น เราจะได้มีงานทำไม่ต้องไปทำงานโรงงานยังไงจ๊ะ”
“ฉันก็จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย...แม่ครูรับพวกฉันนะ”
คำแปงเห็นความมุ่งมั่นของเด็กแล้วปฏิเสธไม่ลง บัวผัน กับผองเพื่อนส่งเสียงเฮด้วยความดีใจ...
ด้านหน้าเวที คนดูเริ่มทยอยกันกลับบ้าน ทองสาบ่นกับกิ๊บและเชอร์รี่เพื่อนสก๊อตที่พามาดูการแสดงว่านี่ไม่ใช่ คอนเสิร์ตอย่างเพื่อนว่าสักหน่อย แต่เป็นวงหมอลำชัดๆ กิ๊บยืนยันวงนี้ดังที่สุด
“แหวะบ้านนอก...ทีหลังอย่าพาฉันมาดูอะไรแบบนี้อีกนะ ฉันรับไม่ได้” ทองสาเดินสะบัดออกไป แต่เหลือบเห็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งยืนคุยกับกลุ่มเด็กสาวอยู่ข้างเวที หันมาถามกิ๊บว่าใคร พอรู้ว่าเป็นพิณเด็กวัดที่ไม่มีพ่อมีแม่คนนั้น ทองสาจำได้ ยิ้มเจ้าเล่ห์ ปรี่เข้าไปหาทิ้งเพื่อนหน้าตาเฉย กิ๊บกับเชอร์รี่รีบวิ่งตาม...
ทองสาแกล้งเดินชนพิณแล้วอ่อยเหยื่อเต็มที่ ถึงขนาดชวนขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปบ้านเธอด้วยกัน พิณไปไม่ได้ มีงาน
ต้องเคลียร์อีกหลายอย่าง และยังต้องอยู่ฉลองความสำเร็จกับเพื่อนร่วมวง แล้วผละจากมาอย่างไม่สนใจ ทองสาหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ เจ็บใจเดินกระฟัดกระเฟียดมาที่รถมอเตอร์ไซค์
“เป็นที่กรุงเทพฯหน่อยไม่ได้ อ่อยขนาดนี้ยังไงก็ต้องมีได้เสีย”
กิ๊บเตือนทองสาอย่าเสียเวลากับพิณเลย เขามีแฟนแล้วชื่อเดือน เป็นลูกของลุงบุญกับป้าเพ็ง ได้ข่าวว่าทั้งคู่รักกันมาก พิณคงไม่เปลี่ยนใจง่ายๆหรอก ทองสาวีนแตก
“นี่เธอจะบอกว่าฉันไม่มีทางสู้อีเดือนดำงั้นหรือ ฉันเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯนะ แถมยังสวยขนาดนี้ มันต่างหากที่ต้องทำใจที่เจอคู่แข่งอย่างฉัน คอยดูฉันจะเอาพิณมาเป็นของฉันให้ได้” ทองสาสีหน้าเอาจริง...
ตกเย็น ทองสาสืบรู้ว่าพิณกับเพื่อนๆมาฉลองกันที่บ้านคำแปง หอบเหล้านอกติดมือมาด้วย อ้างเถ้าแก่เส็งฝากมาให้แทนคำขอโทษที่ศรีไพรทำไม่ดีกับทุกคน แคนไม่อยากได้ บอกปัดที่นี่ไม่มีใครดื่มเหล้า แต่ทองสาคะยั้นคะยอให้รับไว้ คำแปงอยากให้เรื่องขุ่นข้องนี้จบๆไป ขอร้องแคนให้อภัยศรีไพร แคนไม่ยอมญาติดีกับพวกนี้เด็ดขาด คว้ามือคำหล้าออกไป พิณเห็นทองสาหน้าเศร้า รีบเอ่ยปากขอโทษเธอแทนแคน
เข้าทางทองสาทันที “งั้นพิณก็ช่วยรับเหล้าขวดนี้ไว้หน่อยสิ คิดเสียว่าเป็นคำขอโทษ”
คำแปงพยักพเยิดให้พิณรับไว้ พิณรับเหล้ามาอย่างลำบากใจ ทองสายิ้มแฉ่ง เชิญทุกคนร่วมดื่มด้วยกัน เจ้ากี้เจ้าการชงเหล้าแจก ไม่นานนัก ชาวคณะต่างเมาปลิ้น คำแปงมองสภาพลูกวงตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ทองสาจะชงเหล้าให้พิณอีกแก้ว ชายหนุ่มส่ายหน้า พรุ่งนี้เขามีคุมสอบแต่เช้าแล้วลุกขึ้นจะกลับ แต่ด้วยความเมามาย ถึงกับเซหัวทิ่ม ทองสาเข้าไปช่วยประคอง
“เมาขนาดนี้ เดี๋ยวฉันไปส่งดีกว่า” ทองสายิ้มพอใจแผนที่วางไว้สำเร็จไปอีกขั้น
ครู่ต่อมา ทองสาพยุงพิณเข้ามาที่เตียงนอนภายในห้องพักของเขา แกล้งทำเสียหลักดึงพิณล้มลงบนเตียงด้วยกัน พิณคร่อมอยู่บนร่างของหญิงสาว ทั้งสองมองหน้ากันนิ่ง ทองสาทำอิดออดพอเป็นพิธี ขณะที่พิณเห็นหน้าทองสาเป็นเดือน พึมพำชื่อเธอเบาๆ ทองสาขัดใจเล็กๆที่เขาเรียกชื่อคนอื่น ก่อนยักไหล่ไม่สนใจ หลับตาพริ้มยื่นปากให้จูบ แต่พิณกลับเมาหลับไปเสียก่อน ทิ้งทองสาให้อารมณ์ค้างอยู่อย่างนั้น
ooooooo
เช้าวัดถัดมา คำหล้าทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจมากที่ได้รับจดหมายจากเดือน เมื่อคืนนี้ เธอกับพิณเพิ่งบ่น
ถึงเดือนที่ไม่ส่งข่าวมาหา คำหล้าผลุนผลันออกจากบ้านพร้อมจดหมาย...
ขณะเดียวกัน ขุนทองทำความสะอาดโรงเรียนมาถึงหน้าห้องพักพิณก็เปิดประตูจะเข้าไปกวาดห้องให้เหมือนเช่นทุกวัน แต่ต้องตกใจที่เห็นพิณกับทองสานอนอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่ามีผ้าห่มคลุมแค่อก ขุนทองรีบปิดประตูหันมาเจอครูตะวันที่มาตามหาพิณ พอรู้ว่าพิณอยู่ในห้อง ครูตะวันเปิดประตูจะเข้าไปหา
แต่ขุนทองรีบดึงประตูปิด ครูตะวันมองหน้าถามว่า
มีอะไร ขุนทองส่ายหน้า ครูตะวันเปิดประตูจะเข้าไปอีก ขุนทองก็ดึงปิดอีก ทั้งสองคนยื้อประตูกันไปมา สุดท้ายขุนทองดึงประตูปิดแรงไปหน่อยเสียงดังปัง
พิณนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่น ได้ยินเสียงครูตะวันด่าขุนทองอยู่หน้าห้อง พิณพลิกตัวมาเจอทองสานอนร้องไห้กระซิกๆอยู่ ตกใจลุกพรวด ถามว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทองสาบีบน้ำตาปั้นเรื่องโกหกว่าพิณขอให้เธอมาส่งที่ห้อง แล้วใช้ กำลังปลุกปล้ำเธอ ถึงพิณจะเมามาย แต่เขาไม่มีทางทำอย่างที่ทองสาพูดแน่นอน
“พูดอย่างนี้จะไม่รับผิดชอบใช่ไหม...ได้” ทองสาว่าแล้วลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า “ฉันจะประกาศให้รู้กันทั้งโรงเรียนว่าคนอย่างครูพิณไม่มีความรับผิดชอบ”
พิณร้องห้ามเสียงหลงกระชากแขนทองสาไว้จนเสียหลักล้มลงบนเตียงด้วยกันทั้งคู่ เป็นจังหวะเดียวกับครูตะวันเปิดประตูเข้ามาในห้อง เห็นพิณกำลังคร่อมทองสาอยู่ก็ตกใจ ทองสาได้ทีรีบผลักพิณออกแล้ววิ่งไปหาครูตะวันในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย คร่ำครวญว่าถูกพิณข่มขืนและยังขู่ไม่ให้เธอบอกใคร ถ้าครูตะวันไม่ช่วยเธอจะตายให้ดู ครูตะวันปลอบให้ใจเย็นๆจะให้ช่วยอะไรก็บอกมา
ทองสาแอบยิ้มก่อนตีหน้าเศร้า บีบน้ำตาสุดฤทธิ์ “ให้พี่พิณส่งผู้ใหญ่ไปผูกข้อมือฉัน...แต่ถ้าพี่พิณไม่ยอมรับผิดชอบ ฉันก็ขอตายดีกว่าทนอดสูเป็นขี้ปากชาวบ้านให้คนเขาดูแคลน”
ครูตะวันหลงเชื่อ หันไปด่าพิณเป็นชุด จังหวะนั้น คำหล้า มาถึงพอดี ถามว่ามีเรื่องอะไรกัน พอรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอปราดเข้าไปจิกหัวทองสาตบไม่เลี้ยง ครูตะวัน ขุนทองกับพิณต้องช่วยกันกันคำหล้าไว้ คำหล้าไม่เชื่อเรื่องที่ทองสากล่าวอ้าง พี่พิณต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกนังผู้หญิงหน้าด้านคนนี้มอมเหล้า เมื่อคืนนี้ทองสาเอาเหล้าไปให้ที่งานฉลองแต่ไม่มีใครอยากกิน มันก็คะยั้นคะยอให้รับไว้
“พี่พิณบอกครูไปสิว่า ที่ฉันพูดเป็นความจริง พี่รักเดือน พี่ไม่ได้มีอะไรกับมัน”
พิณหนักใจ ด้วยความเป็นลูกผู้ชายถึงเขาจะจำเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้ทองสาเสียชื่อเสียง ดังนั้น เขาต้องรับผิดชอบ คำหล้าผิดหวังทำท่าจะร้องไห้
“พี่รู้ไหมทำไมฉันถึงมาหาพี่แต่เช้า เพราะเดือนมันเขียนจดหมายมาหาฉัน มันถามถึงพี่ มันคิดถึงพี่ แต่เวลาแค่ไม่กี่วันพี่กลับนอกใจมัน” คำหล้าพูดจบ ปาจดหมายของเดือนใส่หน้าพิณ แล้ววิ่งออกไป พิณตะลึงหยิบจดหมายขึ้นมาดู เห็นชื่อเดือนที่ช่องผู้ฝาก ใช้นิ้วลูบเบาๆด้วยความคิดถึง...
จากนั้น พิณเอาจดหมายมานั่งอ่านใต้ต้นคูนริมแม่น้ำต้นเดิม ได้รู้ว่าระหว่างรอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เดือนได้งานพิเศษทำ พิณละสายตาไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า ก่อนจะอ่านจดหมายต่อ
“แล้วพี่พิณเป็นอย่างไรบ้าง คงได้เป็นครูอย่างที่เขาฝันไว้สินะ ฉันอดดีใจด้วยไม่ได้จริงๆ...ทุกคืนก่อนนอนฉันจะสวดมนต์ไหว้พระขอให้เขามีความสุข มีชีวิตที่ดีอย่างที่หวังไว้ ฉันก็คงทำได้แค่นี้ เฝ้ามองเขาอยู่ห่างๆแค่ได้รู้ว่าเขามีความสุข ฉันก็มีความสุขแล้ว” พิณอ่านถึงตรงนี้ เห็นเหมือนคราบน้ำตาหยดเปื้อนหมึกเป็นดวง เขาเอามือลูบไล้เบาๆรับรู้ถึงความเศร้าของหญิงคนรักด้วยหัวใจปวดร้าว
ooooooo
เดือนได้รับจดหมายฉบับหนึ่งตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน กว่าจะเคลียร์งานเสร็จก็ใกล้เที่ยงถึงได้มีเวลาว่างเปิดอ่าน มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ เดือนเอาจดหมายเหน็บไว้ในสมุดคิวงาน ก่อนรับสาย
“สวัสดีค่ะ ติดต่องานโฆษณานมเปรี้ยวหรือคะ สุดเขตมีคิวคอนเสิร์ตต่างจังหวัดจนถึงสิ้นเดือนเลยค่ะ”
“เลื่อนงานอื่นไปก่อนไม่ได้หรือคะ ลูกค้าอยากได้น้องเขตมาก เรียกเท่าไหร่ก็ได้” เอเจนซี่อ้อนวอน
“แต่ว่าคิวไม่ได้จริงๆเอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะคะ... สวัสดีค่ะ” เดือนวางสายแล้วหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านต่อจนจบ เป็นจังหวะเดียวกับสุดเขตเดินหน้าหงิกเข้ามาในห้องทำงานโวยวายเรื่องที่เธอปฏิเสธงานถ่ายโฆษณานมเปรี้ยว เดือนไม่รู้โฆษณาชิ้นนี้จะสำคัญกับเขามาก
“แล้วทำไมไม่ถาม มัวแต่นั่งอ่านจดหมายบ้าๆนี่อยู่ล่ะสิ” สุดเขตดึงจดหมายไปจากมือเดือน หญิงสาวพยายามขอคืน นอกจากเขาจะไม่ให้ยังฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโยนทิ้งถังขยะ เดือนโกรธตบหน้าเขาอย่างแรง
“คุณทำอย่างนี้กับจดหมายพ่อแม่ฉันได้อย่างไร” เดือนพูดจบวิ่งร้องไห้ออกจากห้อง สวนกับนพและมาลัย พ่อแม่ของสุดเขตที่ผลักประตูเข้ามาพอดี สองผัวเมียมองตามเดือนงงๆพอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด นพตำหนิลูกชายอย่างแรง มาลัยเล่าให้ลูกฟังว่าที่เดือนต้องมาทำงานที่นี่ก็เพราะแม่ของเธอป่วยเป็นมะเร็ง
“ลูกลองคิดดูสิ หนูเดือนจะรู้สึกยังไงที่ต้องจากแม่มาทั้งยังเป็นห่วง แล้วยังมาเจอลูกทำอย่างนี้อีก”
“ลูกมีโอกาสที่ดีในชีวิตมากกว่าคนอื่น อย่าใช้โอกาสนั้นเหยียบย่ำทำร้ายหัวใจใครนะลูก”
สุดเขตทบทวนคำพูดของพ่อกับแม่แล้วคิดได้ ยืนมองเศษจดหมายในถังขยะอย่างสำนึกผิด...
คืนวันเดียวกัน เดือนเอาแต่นั่งร้องไห้อยู่ในห้องนอนตัวเองอย่างท้อแท้หมดกำลังใจ ดีที่ได้อัญชลีคอยปลอบโยนและพูดให้กำลังใจ จนเดือนมีแรงฮึดสู้อีกครั้ง
ooooooo
เดือนมาถึงโต๊ะทำงานแต่เช้า สะดุดตากับอะไรบางอย่าง หยิบสมุดจดคิวงานขึ้นมาเปิดดู เห็นจดหมายตัวเองซึ่งถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเรียงต่อกันอย่างเรียบร้อยด้วยสก๊อตเทป เดือนบ่นด้วยความแปลกใจว่าใครทำให้ แต่สุดท้ายเธอก็รู้ว่าเป็นสุดเขตนั่นเองที่นั่งหลังขดหลังแข็งติดจดหมายพวกนั้น...
ในเวลาต่อมา เดือนได้รับจดหมายจากพิณรีบเปิดอ่าน จึงได้รู้ความจริง วันนั้น พิณไม่ได้ไปรายงานตัวพยายามปั่นจักรยานกลับมาหาเดือนเพื่อจะล่ำลา แต่ไม่ทัน
“พี่ไม่อยากให้เดือนนึกน้อยใจหรือท้อแท้ใจในวาสนา อยากให้เดือนกลับมาเป็นคนเข้มแข็งเหมือนเดิม ตั้งใจเรียนหนังสือให้จบเร็วๆ อย่านึกกังวลกับสิ่งใด ส่วนตัวพี่ก็มุ่งมั่นเป็นครูให้ได้ตามใฝ่ฝันเหมือนกัน”
เดือนอ่านจดหมายจบ เผลอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข...
วงดนตรีคณะแม่มูลลำเพลินได้รับความนิยมไปทั่ว ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงบนเวที คนดูต่างเซิ้งตามอย่างสนุกสนานวันนี้ก็เช่นกัน คำแปงกับพิณเห็นคนดูมีความสุขก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย ไม่ทันสังเกตเห็นศรีไพรกับสมุนยืนมองการแสดงของพวกตนอย่างมาดร้าย พอเห็นคนดูลุกขึ้นตบมือเกรียวเมื่อ การแสดงจบ ศรีไพรแทบอกแตกตายด้วยความริษยาที่เห็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของวงดนตรีคณะนี้...
ครู่ต่อมา แคนเข้ามาหลังเวที เห็นศรีไพรกับสมุนยืนอยู่กับคำแปงและพิณ มองมาทางเขาด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท แคนไม่พอใจเดินเข้าไปถามศรีไพรว่ามาทำไม
คำแปงยกมือเป็นเชิงปรามแคนให้ใจเย็นๆ
“ฉันมาแสดงความยินดีที่วงของแกโด่งดังขนาดนี้”
“เอาความหวังดีของแกกลับไปซะ แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก”
“ฉันขอให้เรื่องบาดหมางในอดีตของเราจบลงแค่นี้”
แคนยังโกรธไม่หายเข้าไปกระชากคอเสื้อศรีไพรจะเอาเรื่อง แต่เขากลับไม่สู้ แคนขัดใจมากไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ผลักเขาออก ศรีไพรจัดเสื้อให้เข้าที่ อวยพรให้คำหล้ากับแคนรักกันนานๆ ส่วนเขายอมรับสภาพได้แล้วที่คำหล้าเลือกแคนไม่ใช่เขา แล้วบอกลาทุกคน คำหล้ามองตามศรีไพร รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล
เป็นจริงอย่างคำหล้าคาด ศรีไพรส่งสมุนอีกกลุ่มหนึ่งไปเผาบ้านกับกระต๊อบเก็บของของคำแปง โชคดีที่ชาวบ้านช่วยกันดับไฟที่ไหม้บ้านได้ทัน แต่กระต๊อบเก็บของวอดเป็นจุณ คำแปงมองอย่างสิ้นหวัง น้ำตาซึม
“ทุกอย่างกำลังจะดีอยู่เชียว”
แคนกำมือแน่นด้วยความแค้น ก่อนจะวิ่งลิ่วออกไป ไม่นานนัก แคนมาถึงตลาด เห็นศรีไพรกับสองสมุนคนสนิทกำลังเดินชมตลาดอย่างเย็นใจ แคนปราดเข้าไปชี้หน้า
“ฉันรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือแก...ไอ้ศรีไพร”
ooooooo
มนต์รักแม่น้ำมูล ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
ณ ใต้ต้นคูนริมฝั่งแม่น้ำมูล ดวงอาทิตย์กำลัง จะลับขอบฟ้า แสงสีทองฉาบท้องน้ำเป็นประกายระยิบ ระยับดูสวยงามยิ่งนัก แต่บรรยากาศเช่นนี้พิณกลับยืนมองด้วยสีหน้าหม่นหมอง ครุ่นคิดถึงอดีตที่ผ่านมา
ยิ่งคิดถึงเรื่องที่กำลังจะสูญเสียเดือน หญิงคนรักซึ่งเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เป็นดังลมหายใจที่ทำให้รู้ว่าชีวิตของเขายังดำเนินอยู่และเป็นคนเดียวที่เขาจะคิดถึงยามอ่อนล้า ยิ่งทำให้เขาท้อแท้หงายหลังทิ้งตัวลงน้ำอย่างสิ้นหวัง ปล่อยให้ร่างดำดิ่งสู่ก้นแม่น้ำเหมือนจำนนต่อโชคชะตา
แต่แล้วพิณกลับได้ยินเสียงกระซิบจากแม่น้ำมูลบอกให้เขาทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อเป็นแบบอย่างและถ่ายทอดสิ่งดีงามให้แก่เด็กๆซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขา พิณได้สติ สำลักน้ำ ทะลึ่งพรวดขึ้นสู่ผิวน้ำสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ รู้แล้วว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไร พลันภาพในอดีตผุดเข้ามาในความคิดคำนึงของพิณ...
วันนั้น พิณกับเดือนนอนคุยกันอย่างมีความสุขใต้ต้นคูนริมแม่น้ำมูลต้นเดิม เดือนทวงถามเรื่องที่พิณจะให้ผู้ใหญ่มาคุยกับพ่อแม่ของเธอเรื่องเราสองคน พิณหน้าสลดเล็กน้อย พลิกตัวนอนหงายมองท้องฟ้า
“พี่เป็นแค่ครูช่วยสอน อาศัยนอนใต้ถุนโรงเรียน ไม่มีสมบัติพัสถาน...ไม่รู้พ่อแม่เดือนจะว่าอย่างไร”
“เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่งงานแล้วเราค่อยช่วยกันหาก็ได้”
พิณไม่อยากให้เดือนต้องมากัดก้อนเกลือกิน แต่แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ ยิ้มดีใจ เมื่อเดือนก่อนเขาไปสอบครูเอาไว้ ถ้าได้บรรจุเมื่อไหร่ จะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเธอทันที แล้วนึกสนุก ลุกขึ้นตะโกนไปยังแม่น้ำมูลเบื้องหน้า
“ลูกขอสัญญาต่อหน้าแม่มูล หากวันใดที่ลูกได้เป็นครู ลูกจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเดือน”
หญิงสาวเขินอายรีบลุกขึ้นห้าม แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ พิณป้องปากตะโกนเสียงลั่น ว่ารักเดือนมากอยากแต่งงานกับเธอจนแทบจะรอไม่ไหว สองหนุ่มสาวยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ต่างช่วยกันสลักรูปหัวใจและชื่อของทั้งคู่ลงบนต้นคูณไว้เป็นพยานแห่งรัก จากนั้น พิณถีบรถจักรยานมาส่งเดือนที่บ้านของเธอ
“พรุ่งนี้พี่ต้องคุมนักเรียนไปงานแห่พระเวส...เจอกันนะเดือน”
“เดี๋ยวฉันจะแกงผักหวานไข่มดแดงไปเผื่อ” สองหนุ่มสาวมองสบตากันด้วยความรักเต็มหัวใจ
ooooooo
เช้าวันงานแห่พระเวส เสียงดนตรีดังกระหึ่มไปทั้งหมู่บ้าน ขบวนแห่นำโดยวงดนตรีแม่มูลลำเพลิน ซึ่งประกอบด้วย คำแปง หัวหน้าวงและเป็นนักร้องนำฝ่ายหญิง แคน หนุ่มหมอลำอารมณ์ดีเป็นนักร้องนำฝ่ายชาย บุญเหลือ บุญหลาย และชาวคณะเป็นลูกคู่ ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน
ขบวนฟ้อนรำ เซิ้งกันมันหยด พิณพาเด็กนักเรียนร่วมเซิ้งกับพวกชาวบ้าน ขณะที่เดือนเซิ้งกับพ่อและแม่ของเธอ ตามมาด้วยขบวนพระแล้วต่อด้วยองค์สมมติพระเวสสันดรและนางมัทรีที่นั่งมาบนเสลี่ยง ปิดท้ายด้วยขบวนเครื่องบูชาที่ประดับบนบั้งไม้ไผ่อย่างสวยงาม
ไม่นานนัก แคนเดินนำขบวนแห่พระเวสมาถึงบริเวณวัด พิณเข้าไปเซิ้งกับเดือนโดยพ่อกับแม่ของเธอมองห่างๆ ไม่ค่อยชอบใจ ขบวนแห่มาถึงหน้าอุโบสถ องค์สมมติพระเวสสันดรและนางมัทรีลงจากเสลี่ยง เป็นจังหวะเดียวกับเพลงแห่จบพอดี ผู้เฒ่าผู้แก่เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง จับมือแคนด้วยความเอ็นดู บางคนก็แบ่งอาหารที่เอามาทำบุญให้ คำแปงร้องบอกทุกคนว่า
“สนุกกันแล้วก็อย่าลืมเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วย เราจะอยู่สร้างความสุขให้พวกท่านนานๆ”
“แรงเงินของพวกท่าน คือแรงใจของพวกเรา” บุญเหลือเสริม
ชาวบ้านพากันเจียดเงินคนละเล็กละน้อยเป็นค่าแสดงให้แคนและคำแปง แคนเห็นคำหล้ายืนคุยกับเพื่อนอยู่ไม่ไกล จึงปลีกตัวออกไป...
ขณะเดือนกำลังยกปิ่นโตใส่อาหารที่เตรียมมาจะไปให้พิณ เพ็งแม่ของเดือนเข้ามาขวาง ดึงลูกสาวออกมานอกศาลาการเปรียญ บอกให้รู้ว่าพ่อกับแม่ต้องการให้เดือนไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เพื่อนของเพ็งชื่อแสวงกับอัญชลีไม่มีลูก อยากจะรับเดือนเป็นลูกบุญธรรมและจะส่งเสียให้เรียนต่อสูงๆ
เดือนอิดออดไม่อยากไป อยากเรียนที่นี่มากกว่า จะได้ช่วยพ่อกับแม่ทำมาหากินไปด้วย ที่สำคัญอีกไม่นานพิณ จะได้เป็นครูและเธอกับเขามีแผนจะแต่งงานกัน เพ็งฉุนขาด
“ที่แท้ที่ไม่อยากไปก็เพราะเป็นห่วงไอ้พิณนี่เอง...มันก็แค่ครูช่วยสอน อาศัยกินนอนอยู่ใต้ถุนโรงเรียน พ่อแม่ก็ไม่มี ทำไมต้องเอาชีวิตไปฝากไว้กับมันด้วย”
“พี่พิณไม่ได้เป็นแค่ครูช่วยสอน แต่เขาเป็นคนที่เดือนรักและอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย แม่ไม่มีสิทธิ์ไปว่าพี่พิณอย่างนั้น” เดือนเริ่มเดือดปุดๆ
สองแม่ลูกโต้เถียงกันอย่างรุนแรง เดือนไม่พอใจที่แม่มาก้าวก่ายชีวิตตนเอง ส่วนเพ็งก็ไม่ชอบใจที่ลูกแข็งข้อ ตัดสินใจใช้ไม้แข็ง สั่งห้ามเดือนยุ่งเกี่ยวกับพิณเด็ดขาด และให้เตรียมตัวไปกรุงเทพฯ ถ้าไม่ยอมทำตาม ก็ไม่ต้องมาเรียกตนว่าแม่อีกต่อไป จากนั้น เพ็งตามไปเล่นงานพิณ สั่งห้ามเขาติดต่อกับเดือนอีก
เธอต้องการให้ลูกไปเรียนต่อกรุงเทพฯ จึงไม่อยากให้มีอะไรมาทำให้สับสน พิณมองอย่างงงๆ เดือนตามเข้ามาต่อว่าแม่ที่พูดจาไม่ดีกับพิณ เพ็งไม่พอใจมากฉุดแขนเธอลากกลับบ้าน เดือนขอร้องให้บุญพ่อของเธอช่วย เขากลับบอกให้ทำตามที่แม่สั่ง แล้วหันมาขอร้องพิณช่วยพูดให้เดือนยอมไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ
“จะให้ผมทำอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อเราสัญญาว่าจะแต่งงานกัน”
บุญขอให้พิณเห็นแก่อนาคตของเดือน ลำพังเงินเดือนครูช่วยสอนจะทำให้ลูกสาวของเขามีความสุขได้อย่างไร พิณถึงกับอึ้ง มองตามบุญไปด้วยความปวดร้าวใจ
ooooooo
อีกมุมหนึ่งของวัด คำหล้าโบกมือลาเพื่อนๆ พอหันกลับมาจ๊ะเอ๋กับแคนที่ยืนทำหน้าทะเล้นอยู่ เธอขยับจะเดินหนี แคนรีบวิ่งมาดักหน้า พูดจาหยอกล้อสนุกปาก เลยถูกเธอตบหนึ่งฉาดแถมด่าว่าไอ้หมาแคน
“นี่เธอว่าพี่เป็นหมาหรือคำหล้า...ถ้าเป็นหมาก็ต้องไล่กัดคนนะสิ” แคนยิ้มหน้าเป็นแล้วโดดใส่ทันที
คำหล้าร้องลั่นรีบวิ่งหนี มัวแต่เหลียวหลังมองแคนที่วิ่งไล่ตาม จึงไม่ทันเห็นรถมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้าหา ดีที่แคนดึงตัวเธอหลบได้ทัน แต่ก็เสียหลักล้มกลิ้งไปด้วยกัน คำหล้าอยู่ในอ้อมแขนแคน ทั้งสองคนมองสบตากันนิ่งงันราวกับทั้งโลกจะหยุดหมุน คำหล้าต้องหลบสายตาด้วยความเขินอาย ทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นว่า
“อยู่ในวัดแท้ๆ แกยังกล้าก่อเรื่องบัดสีขนาดนี้เลยหรือวะ ไอ้แคน”
คำหล้ากับแคนลุกพรวด หันมองตามเสียงเห็นศรีไพร นักเลงใหญ่แห่งลุ่มแม่น้ำมูล ลูกคนเดียวของเถ้าแก่เส็งยืนอยู่กับสมุนคู่ใจสองคนชื่อไอ้ดำและไอ้ขาว คำหล้าพยายามอธิบาย ให้ศรีไพรเข้าใจ แต่เขากลับพูดจาดูถูก เธอเลยตบสั่งสอนหนึ่งฉาด ศรีไพรไม่พอใจกระชากแขนคำหล้าเข้ามาใกล้ แคนทนดูต่อไปไม่ไหว
สองหนุ่มเลยวางมวยกันโดยไม่สนใจคำห้ามปรามของคำแปง ศรีไพรใช้วิธีหมาหมู่สั่งให้สองสมุนช่วยกันล็อกแขนแคนไว้อัดเสียน่วม พิณมาเห็นพอดีรีบวิ่งเข้าไปห้าม ไอ้ขาวกับไอ้ดำเลยหันมาเล่นงานพิณแทน แต่สู้เขาไม่ได้ถอยกรูด ด้านศรีไพรชักมีดขึ้นมาหมายจะจัดการแคนขั้นเด็ดขาด คำหล้าเห็นท่าไม่ดีตะโกนลั่นว่าตำรวจมาๆ ศรีไพรผงะด้วยความตกใจ เอามีดชี้หน้าแคน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ...ไปเว้ย” ศรีไพรตะโกนเรียกสองสมุน แล้วพากันเผ่นแน่บ...
ที่ริมแม่น้ำมูล เขียว ขุนทองกับครูตะวันจอดเรือซุ่มดูเรือดูดทราย พอเห็นออกมาดูดทรายนอกพื้นที่สัมปทาน ครูตะวันสั่งให้ชาวบ้านที่จอดเรือซุ่มดูอยู่ด้วยกันล้อมกรอบพวกนั้นทันที แทนที่เรือดูดทรายจะเกรงกลัว กลับแล่นเข้าใส่กลุ่มเรือของ ครูตะวัน ทุกคนพากันโดดลงน้ำหนีตายอลหม่าน ครูตะวันหนีตาย ท่าไหนไม่รู้ หัวแตกเลือดอาบ ขุนทองรีบว่ายน้ำขึ้นฝั่ง ไปตาม แคนกับพิณที่วัด
ครู่ต่อมา พิณกับแคนรีบพาครูตะวันไปส่งสถานีอนามัย ครูตะวันกลัวถูกเย็บแผลร้องลั่นดิ้นพราดๆไม่ยอมท่าเดียว แต่พอได้ยินเสียงหวานๆกับหน้าสวยๆของสายไหม พยาบาลสาวที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ แต่ใครๆมักจะเรียกเธอว่า “หมอไหม” ครูตะวันกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำท่าทีขึงขังยอมให้เย็บแต่โดยดี แต่ทันทีที่เข็มฉีดยาชาแทงถูกเนื้อ เสียงร้องโอ๊ยของครูตะวันดังลั่น พิณกับแคนพากันขำกลิ้ง...
หลังจากทำแผลเรียบร้อย ครูตะวันออกมารอรับยาด้วยสีหน้าเขินๆที่เผลอร้องเสียงดังไปหน่อย สายไหมจ่ายยาแก้อักเสบกับแก้ปวดให้ ครูตะวันออกลายทันที ถามว่าเธอชื่ออะไร
“สายไหมค่ะ...จะเรียกสั้นๆว่าหมอไหมก็ได้” สายไหมส่งยิ้มหวานให้
ครูตะวันถึงกับเดินตาลอยออกมาหน้าสถานีอนามัย เพ้อถึงสายไหมให้แคนกับพิณฟังว่าคนอะไรก็ไม่รู้ หวานทั้งชื่อหวานทั้งคน แคนกระเซ้าว่าอย่างนี้ครูตะวันคงต้องหาเรื่องหัวแตกบ่อยๆ ครูตะวันหันขวับ
“หัวแกน่ะสิ...ว่าแต่คุณหมอเพิ่งมาอยู่ที่นี่ใช่ไหม...ฉันไม่เคยเห็น”
“ใช่ครู เห็นว่าเพิ่งย้ายจากกรุงเทพฯยังไม่ถึงเดือนเลยมั้ง ว่าแต่ครูถามทำไม” พิณเหล่ครูตะวัน
แคนสงสัยครูตะวันจะแอบชอบสายไหมเข้าให้แล้ว ครูตะวันเกลียดคนรู้ทัน หาไม้ไล่ตีแคนแก้เขิน
ooooooo
เถ้าแก่เส็งโกรธจัดตบหน้าลูกชายตัวดีอย่างแรงเมื่อรู้เรื่องที่เขาไปก่อไว้ ศรีไพรแก้ตัวว่าไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เถ้าแก่เส็งไม่สนใจใครจะเริ่มก่อนเริ่มหลังแต่การไปมีเรื่องในวัด เกิดชาวบ้านไม่พอใจขึ้นมาแจ้งตำรวจจับจะยุ่งเปล่าๆ เดี๋ยวพาลมาเล่นงานเขาเรื่องดูดทรายนอกสัมปทานแล้วจะทำอย่างไรกัน
“นั่นมันเรื่องของเตี่ย” ศรีไพรโต้อย่างไม่ยอมแพ้ เถ้าแก่เส็งโกรธแทบควันออกหู
“แล้วที่ลื้อมีกินมีใช้ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะเงินนี่เหรอ...อั๊ว ขอสั่งลื้อเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ให้ลื้อไปก่อเรื่องที่ไหนอีก ไม่ อย่างนั้น อั๊วนี่แหละจะเป็นคนลากคอลื้อเข้าตะรางเอง” เถ้าแก่เส็ง มองหน้าลูกชายเขม็ง
ศรีไพรถึงกับอึ้ง เดินหน้าบอกบุญไม่รับออกมา เจอสองสมุนคนสนิทถีบโครมกระเด็นไปคนละทิศละทาง โทษฐานเอาเรื่องที่วัดไปฟ้องเตี่ย ไอ้ดำกับไอ้ขาวรีบปฏิเสธว่าไม่ใช่ พวกตน ลูกพี่น่าจะไปสงสัยคนอื่นที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มากกว่า ศรีไพรสีหน้าครุ่นคิด...
ที่บ้านของคำแปง แคนช่วยคำแปงนับเงินที่เก็บมาได้ ขณะที่บุญเหลือ บุญหลาย และชาวคณะร่วมวงดนตรีนั่งทำความสะอาดเครื่องดนตรีของตน แคนขอโทษคำแปงและทุกคน ถ้าไม่มีเรื่องกับศรีไพรเสียก่อน พวกเราคงได้เงินมากกว่านี้ จังหวะนั้น ศรีไพรตามมาหาเรื่องแคนหาว่าคาบเรื่องที่วัดไปฟ้องเตี่ยของเขา
“ฉันไม่ได้ฟ้อง...คนเห็นกันทั้งวัดจะต้องมีใครไปฟ้องด้วย”
คำแปงช่วยแคนแก้ต่างอีกแรง แต่ศรีไพรไม่เชื่อ พาลถีบโต๊ะเก้าอี้ในบ้านคำแปงกระจุยกระจาย แคนฮึดฮัดจะเอาเรื่อง คำแปงรั้งไว้ ศรีไพรขู่ไม่ให้คำแปงมายุ่ง แล้วชี้หน้าแคน
“ถ้าเอ็งยังเป็นผู้ชายอยู่ก็อย่าหลบอยู่หลังผู้หญิง มาดวลกันตัวต่อตัวให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย”
“เลิกทำตัวเป็นหมาบ้าสักทีได้ไหมพี่ศรีไพร...ฉันนี่แหละเป็นคนไปฟ้องพ่อพี่เอง”
ศรีไพรหันไปมองตามเสียง เห็นคำหล้าถือลูกประคบเดินเข้ามา คำหล้าขู่ศรีไพรว่าถ้าไม่เลิกทำตัวแบบนี้ เธอจะไปฟ้องเถ้าแก่เส็งอีก แล้วขยับจะทำตามคำขู่ ศรีไพรเจ็บใจมาก อาฆาตแค้นแคนไว้ก่อนจะพาพวกล่าถอยกลับไป แคนขอบใจคำหล้าที่ช่วยพวกตนไว้ แล้วถามว่ามาถึงที่นี่มีธุระอะไร
“เมื่อกลางวันพี่ต้องมาเจ็บตัวเพราะฉัน ฉันก็เลยเอาลูกประคบมาให้” คำหล้าว่าแล้วยื่นลูกประคบให้
แคนจับมือเธอไว้ ทำตาหวานใส่ “รู้หรือเปล่า ความห่วงใยเป็นบ่อเกิดของความรัก”
“แต่ความกะล่อนจะเป็นจุดจบของคนอย่างพี่” คำหล้าผลักแคนออกอย่างไม่พอใจ แคนแกล้งร้องโอดโอย หญิงสาวตกใจรีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง พอรู้ว่าถูกหลอก กระทืบเท้า เขาอย่างแรงก่อนจะเดินหนี
แคนร้องลั่น ตะโกนไล่หลัง “ไม่รักแล้วทำไมต้องเป็นห่วงด้วย”
คำหล้ายืนยันไม่มีวันรักเขาแน่ๆ แล้วหันมาแลบลิ้นใส่ แคนหัวเราะชอบใจ ตะโกนไล่หลังอีก “ถึงวันนี้เธอจะยังไม่รักพี่ แต่วันหนึ่งพี่จะทำให้เธอรักให้ได้...คอยดู”
ooooooo
พิณได้รับจดหมายแจ้งผลสอบครูจากครูตะวันแต่เช้า รีบฉีกซองอ่าน แล้วผลุนผลันออกจากโรงเรียนตรงไปหาเดือนซึ่งกำลังจะลงเรือไปหาปลากับคำหล้า เขายื่นซองจดหมายให้ เดือนอ่านแล้วยิ้มดีใจ
“พี่พิณสอบได้”
“ใช่...พี่กำลังจะได้เป็นครูๆ” พิณคว้ามือเดือนไว้ “ไปบอกพ่อกับแม่เดือนกันเถอะ พี่ไม่ใช่แค่ครูช่วยสอนอีกต่อไปแล้ว พี่กำลังจะได้เป็นครูจริงๆ” พิณยิ้มหน้าบาน เดือนกลับชะงัก เกรงจะไม่ง่ายอย่างนั้น
“ถ้าพี่ไปพูดพ่อแม่คงไม่ยอมฟัง แถมจะยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่าฉันไม่ยอมไปเพราะพี่ ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันก็แค่ส่วนหนึ่ง” เดือนวางแผนให้พิณไปขอร้องครูตะวันช่วยเป็นธุระเรื่องนี้ให้...
ในเวลาต่อมา ครูตะวันรับหน้าที่เป็นเถ้าแก่มาสู่ขอ เดือนให้พิณ พยายามพูดโน้มน้าวบุญยอมให้เด็กทั้งสองแต่งงานกัน ส่วนเรื่องที่เรียนของเดือน เดี๋ยวนี้เรียนที่ไหนก็เหมือนกันไม่จำเป็นต้องไปกรุงเทพฯ แต่บุญไม่ยอม เขากับเพ็งตัดสินใจจะส่งเดือนไปอยู่กับเพื่อนของเพ็งที่กรุงเทพฯ
“แล้วทำไมต้องห้ามมันสองคนคบกัน หรือแกรังเกียจที่ไอ้พิณมันจนไม่มีพ่อไม่มีแม่”
“ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น แต่ฉันไม่อยากให้เดือนสับสน มันจะได้ตั้งใจเรียน”
“แล้วแกเคยถามเดือนไหมว่ามันอยากไปหรือเปล่า”
บุญถึงกับอึ้ง ครูตะวันอยากให้บุญถามลูกก่อน ถึงจะเป็นความหวังดีของพ่อแม่ แต่เด็กก็น่าจะมีสิทธิตัดสินใจเองบ้าง บุญคิดคล้อยตาม เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพ็ง แต่เพ็งยืนยันเสียงแข็งเดือนต้องไปกรุงเทพฯ
“แต่ลูกโตแล้ว เราน่าจะพูดความจริงกับลูก อย่างน้อยมันจะได้ไปด้วยความเข้าใจไม่ใช่ความน้อยเนื้อต่ำใจว่าพ่อแม่ไม่รัก”
เพ็งกระแทกตะหลิวในมือ ไม่พอใจ “จะให้บอกเรื่องเงิน 8 หมื่นที่พี่ไปเอาของเขามาน่ะหรือ”
บุญเหลือบเห็นเดือนยืนน้ำตาคลอฟังอยู่ก็ตกใจ เดือนเพิ่งรู้ซึ้งที่แท้พ่อกับแม่ขายเธอให้คนกรุงเทพฯ นี่เอง บุญพยายามอธิบายว่าลูกเข้าใจผิด เพ็งกลับพูดสวนขึ้นทันทีว่า
“รู้อย่างนี้ก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องพูดให้มากความ บอกมันไปเลยว่าเราขายมัน มันจะได้รู้ว่าพ่อกับแม่ลำบากแค่ไหน จะได้เลิกเอาแต่ใจตัวเอง ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่พ่อแม่บ้างไม่ใช่อยู่กับผู้ชาย หากบหาเขียดกินไปวันๆ”
“ที่เดือนอยากอยู่ที่นี่ก็เพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของเดือน แล้วที่สำคัญเดือนอยากจะอยู่ดูแลพ่อแม่ แต่ถ้าเงิน 8 หมื่นมันบังตาจนแม่เห็นสิ่งที่เดือนทำเป็นแค่กบเขียด เดือนก็จะไม่กลับมาให้แม่เห็นอีกต่อไปแล้ว”
เดือนน้ำตาไหลพรากวิ่งออกจากบ้านด้วยความเสียใจน้อยใจ บุญต่อว่าเพ็งไม่น่าจะพูดแบบนี้แล้ววิ่งตามลูก เพ็งน้ำตาซึมทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง...
พอพิณรู้จากคำหล้าว่าเดือนทะเลาะกับพ่อแม่ หายออกจากบ้านไปตั้งแต่บ่ายจนค่ำ ป่านนี้ยังไม่กลับ ที่บ้านเป็นห่วงเกรงเดือนจะฆ่าตัวตาย พิณรีบตรงไปยังบ้านของเดือน ทันทีที่เพ็งเห็นหน้าพิณ ปรี่เข้าไปตบอย่างแรงจนหน้าหันโทษว่าที่เดือนเป็นแบบนี้เพราะพิณยุยงส่งเสริม แล้วตามเข้าไปทุบตีเขาอุตลุด
พิณได้แต่ยืนนิ่งไม่ตอบโต้ บุญต้องเข้ามาลากตัวเพ็ง ออกมา จังหวะนั้น แคน บุญเหลือกับบุญหลายกลับจากตามหาเดือน แต่ไม่เจอที่ไหนสักแห่ง บุญเหลือปากเสีย โพล่งขึ้นว่าเหลือแต่ในแม่น้ำมูลที่เดียวที่ยังไม่ได้ลงไปงม แคนต้องหันไปเอ็ด บุญเหลือรู้ตัวรีบหุบปากเงียบ พิณนึกอะไรขึ้นมาได้ ผลุนผลันออกไป
ไม่นานนัก พิณมาถึงต้นคูนริมแม่น้ำมูล เห็นรองเท้าของเดือนถอดทิ้งไว้ ร้องเรียกเธอลั่น กวาดตามองไปริมแม่น้ำเห็นเดือนทำท่าจะกระโดดน้ำตาย เขาปราดเข้าไปรวบตัวเธอไว้ เดือนดิ้นรนจะฆ่าตัวตายให้ได้
พิณระเบิดอารมณ์อย่างเหลืออด “ทำไมเธอถึงเห็นแก่ตัวขนาดนี้ จำได้ไหมเราเคยสัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ถ้าเธอเป็นอะไรไปแล้วพี่จะอยู่อย่างไร...ถ้าเธอยืนยันจะตายให้ได้ งั้นเราก็ตายด้วยกัน” พิณทำท่าจะกระโดดลงน้ำ เดือนกอดเขาไว้แน่น สัญญาจะไม่ฆ่าตัวตายอีกแล้ว
“ถ้าเธอไม่อยากเห็นพี่ขาดใจตาย ก็บอกพี่ ทำไมถึงทำอย่างนี้”
เดือนเล่าเรื่องทั้งหมดให้พิณฟังด้วยความเศร้า พิณปลอบให้ใจเย็นๆก่อน บางทีพ่อกับแม่ของเดือนอาจไม่ได้คิดจะขายเดือนก็ได้หรือบางทีท่านทั้งสองอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่บอกเดือนไม่ได้
“บอกไม่ได้ก็แสดงว่าไม่ใช่เหตุผลที่ดี พี่ต้องช่วยฉันนะพี่พิณ ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
พิณสงสัยจะให้ช่วยอย่างไร เดือนอยากให้เขาพาหนี ...หลังจากวางแผนเสร็จสรรพ พิณพาเดือนไปส่งบ้าน บุญดีใจโผกอดลูกแน่น ถามด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“ไม่เป็นอะไร...ฉันตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปกรุงเทพฯ” เดือนตอบเสียงเย็นชาแล้วเดินเข้าบ้าน เพ็งมองตาม แปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของลูก
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่บุญรู้ว่าเดือนเก็บเสื้อผ้าหนี ออกจากบ้านไปแล้ว เขารีบตรงไปหาพิณที่โรงเรียน...
ด้านพิณเก็บเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นยัดใส่กระเป๋าอย่างรีบร้อน เดินออกจากห้องพักใต้ถุนโรงเรียนเจอครูตะวันพอดี พอเขารู้ว่าพิณจะพาเดือนหนีไม่สนใจจะเป็นครูอีกต่อไปก็ทักท้วง
“เดี๋ยวก่อนบักพิณ ถ้าแกไม่ไปรายงานตัวครั้งนี้ก็เท่ากับสละสิทธิ์”
พิณไม่สนใจ ขยับจะเดินต่อ แต่ต้องหยุดกึกเพราะบุญยืนขวางทางไว้ พิณรู้ว่าเขามาตามหาเดือน รีบเดินหนีไม่อยากเสวนากับคนขายลูกกิน บุญไม่เคยคิดจะขายลูกทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดและที่เขาห้ามพิณกับเดือนคบกันก็เพื่ออนาคตของทั้งคู่ การที่เดือนไปกรุงเทพฯ ไม่ได้หมายความว่าความรักสิ้นสุด ถ้าพิณกับเดือนรักกัน
จริง เวลาและระยะทางก็ไม่ใช่อุปสรรค พิณมีท่าทีอ่อนลง แต่ยังไม่ยอมบอกว่าเดือนอยู่ไหน
บุญทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าพิณ “บอกฉันมาเถอะบักพิณ เดือนอยู่ไหน จะให้ฉันทำอย่างไรก็ยอม...ปล่อยเดือนไปเถอะ ฉันขอร้อง” บุญว่าแล้วร้องไห้ พิณรีบเข้าไปประคองสีหน้าหนักใจ ในที่สุด พิณตัดสินใจเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บเปลี่ยนเสื้อชุดใหม่เตรียมไปรายงานตัว...
ฝ่ายเดือนนั่งหน้าเศร้ารอพิณอยู่ใต้ต้นคูณต้นเดิมอย่างสิ้นหวัง รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา ก้มลงคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าหันกลับมาเจอบุญยืนมองอยู่ เดือนโผซบหน้าร้องไห้กับอกพ่อ จากนั้น สองพ่อลูกพากันกลับบ้าน เพ็งเห็นลูกกลับมา ดีใจมาก แต่ทำไม่สน แดกดันลูกว่าถูกผู้ชายทิ้งใช่ไหมถึงได้ซมซานกลับมา
“พี่พิณไม่ได้ทิ้งฉัน” เดือนเถียงเสียงแข็ง
“แล้วกลับมาที่นี่ทำไม นัดกันไว้ไม่ใช่เหรอ”
เดือนฉุกคิดขึ้นมาได้ หันไปถามพ่อ รู้ได้อย่างไรว่า เธออยู่ที่นั่น บุญอึกๆอักๆ เดือนปรี่เข้าไปถามคาดคั้นพ่อไปพูดอะไร พี่พิณถึงไม่ไปตามนัด เพ็งทนฟังไม่ได้สวนขึ้นอย่างมีอารมณ์
“จะไปโทษพ่อทำไมในเมื่อไอ้พิณไม่ยอมมา ก็แสดงว่ามันไม่ได้รักแกจริง...เตรียมตัวเก็บของไปกรุงเทพฯได้แล้ว เดี๋ยวจะมีคนมารับ” เพ็งกระชากเดือนเข้ามาใกล้ เดือนไม่พอใจมากที่แม่บังคับให้ไปกรุงเทพฯ ด้วยอารมณ์ชั่ววูบเผลอผลักแม่แรงไปหน่อยจนล้ม บุญโกรธจัด ตบหน้าเดือนเปรี้ยง
“ไอ้ลูกทรพี...ทำไมทำกับแม่อย่างนี้ รู้ไหมแม่แกไม่สบาย”
“อย่าพี่บุญ...อย่าบอกลูก” เพ็งร้องห้ามเสียงหลง
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วจะปิดมันอีกทำไม หรือต้องรอให้มันเป็นลูกทรพีฆ่าแกก่อนแกถึงจะยอมพูด...รู้ไหม แม่แกเป็นมะเร็ง...มะเร็งเม็ดเลือด ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
เดือนตกใจ ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน บุญเล่าความจริง ทั้งหมดให้ลูกฟัง ส่วนเงิน 8 หมื่นบาทนั่น ลุงแสวงให้ไว้ใช้ เป็นค่ารักษาเพ็ง เขากับเมียต้องการรับเดือนเป็นลูกบุญธรรม ต่อให้เดือนต้องไปในฐานะคนรับใช้ก็ต้องไปเพื่อตอบแทนบุญคุณพวกเขา เดือนน้ำตาไหลพราก แม่ป่วยแบบนี้จะให้เธอทิ้งไปได้อย่างไร
“เรื่องเดียวที่แม่เป็นห่วง ก็คือเรื่องเรียนต่อ ทำให้แม่ ได้ไหมเดือน”
เดือนพยักหน้าแทนคำตอบ โผกอดแม่ร้องไห้โฮ เพ็งลูบหัวลูกอย่างอ่อนโยน บุญขอให้เดือนตั้งใจเรียนไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ปล่อยให้เรื่องดูแลแม่เป็นหน้าที่เขา...
ศรีไพรยังเจ็บแค้นแคนไม่หาย พาไอ้ขาวกับไอ้ดำใช้ผ้าคลุมอำพรางใบหน้าดักรอทำร้ายแคนระหว่างทางกลับบ้านคำแปงพร้อมกับพวกนักดนตรี ศรีไพรสู้กับแคนตัวต่อตัว ส่วนไอ้ดำกับไอ้ขาวคอยกันพวกที่เหลือไม่ให้เข้าไปช่วยแคน คำแปงคิดว่าพวกศรีไพรเป็นโจรปล้นทรัพย์ เสนอจะให้เงิน แต่อย่าทำร้ายพวกตน
แคนบอกให้คำแปงหนีไป พวกนี้ไม่ต้องการเงิน คำแปง เห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือ เจอคำหล้าผ่านมาพอดี คำหล้ารู้ว่าแคนถูกทำร้ายรีบตามไปช่วย...
ศรีไพรพลาดท่าถูกแคนล็อกตัวได้ กำลังจะดึงผ้าคลุมหน้าออก เป็นจังหวะเดียวกับคำหล้าวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ แคนละสายตาไปมอง ศรีไพรได้ทีศอกกลับจนหน้าหงาย ผ้าคลุมหน้าหลุดติดมือแคนไปด้วย เผยให้เห็นใบหน้าแท้จริง ศรีไพรเจ็บใจชักปืนออกมายิงใส่แคน คำหล้าโดดขวางกระสุนพุ่งเข้าอกถึงกับทรุดฮวบ
แคนปรี่เข้าไปประคองเธอไว้ ศรีไพรยืนตะลึง คาดไม่ถึง ว่าคำหล้าจะรักแคนขนาดนี้ เพิ่งรู้ว่าตัวเองรักคำหล้าข้างเดียว แค้นใจเล็งปืนใส่แคนอีก คำหล้าขอร้องอย่าทำร้ายแคน ถ้าจะยิงให้ยิงเธอ พอศรีไพรหันปืนเล็งคำหล้า แคนก็ขอร้องให้ยิงเขาแทน ศรีไพรเล็งปืนใส่แคนสลับกับคำหล้าจนสับสน หันปืนไปทางอื่น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างโล่งใจ แคนประคองคำหล้าจะส่งไปโรงพยาบาล ศรีไพรเห็นภาพบาดใจ เฮี้ยนขึ้นมาอีก
“วันนี้พวกแกสองคนย่ำยีหัวใจฉันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ดี...ในเมื่อพวกแกสองคนรักกันมาก ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้” ศรีไพรเล็งปืนใส่ทั้งคู่ พลันมีเสียงตำรวจพูดผ่านโทรโข่งสั่งให้ศรีไพรวางอาวุธ ศรีไพรมองตามเสียงเห็นเตี่ยตัวเองยืนอยู่กับคำแปงและพวกตำรวจ เถ้าแก่เส็งรำคาญแย่งโทรโข่งจากตำรวจมาพูดเอง
“ไม่ได้ยินที่ตำรวจพูดหรือไงไอ้ลูกเวร...วางปืนลงเดี๋ยวนี้”
เถ้าแก่เส็งเห็นลูกชายเงอะๆงะๆ เอาโทรโข่งยัดใส่มือตำรวจ แล้วเดินเข้าไปหา แทนที่จะพูดดีๆ กับลูกกลับด่าไฟแลบ ศรีไพรไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทั้งกลัวทั้งสับสน เลยหันปากกระบอกปืนจ่อขมับตัวเอง เถ้าแก่เส็งตาเหลือก ตรงเข้ายื้อแย่งปืน ทันใดนั้น ปืนลั่นเปรี้ยงกระสุนเจาะท้องเถ้าแก่เส็งเลือดอาบ ทรุดลงกับพื้น ศรีไพรยืนตะลึง ตำรวจสบช่องพุ่งล็อกตัวศรีไพรไว้ได้ และช่วยนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
ooooooo
ขณะรถสองแถวที่พิณนั่งเข้าเมืองจอดรับคนที่ ศาลาริมทาง มีชายท่าทางภูมิฐานลงจากรถเก๋งคันโก้ เข้ามาถามทางไปบ้านบุญ คนขับรถสองแถวหันมาถามผู้โดยสารอีกทอดว่ามีใครรู้จักทางบ้าง
“ขับเลียบแม่มูลไป เจอแยกแล้วก็เลี้ยว”
ชายคนนั้นขอบใจคนบอกทาง เดินกลับไปขึ้นรถที่จอด ฝั่งตรงข้าม พิณเพิ่งสังเกตเห็นป้ายทะเบียนรถคันนั้นเป็นป้ายกรุงเทพฯ ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคงอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีเดือน รีบกดกริ่งให้รถสองแถวจอด คว้ารถจักรยานของใครไม่รู้ จอดอยู่ แถวนั้น ถีบตามรถของคนกรุงเทพฯไป...
ในเวลาเดียวกัน คำหล้าบาดเจ็บสาหัสถูกนำตัวเข้าห้อง ฉุกเฉิน แคนจะตามเข้าไปด้วย แต่พยาบาลห้ามไว้ เขาได้แต่ มองตามอย่างสิ้นหวัง...
พิณปั่นจักรยานอย่างรวดเร็วลัดเลาะไปตามทางท้องทุ่ง พอถึงถนนใหญ่ เห็นรถของคนกรุงเทพฯแล่นตามหลังมาไกลๆ พิณยิ้มดีใจ แต่ล้อรถจักรยานดันสะดุดหิน ทั้งคนทั้งรถกลิ้งไม่เป็นท่า ได้แต่มองรถของคนกรุงเทพฯแล่นผ่านไปอย่างเจ็บใจ รีบยันตัวลุกขึ้นพอทิ้งน้ำหนักลงเท้าต้องทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
ชายหนุ่มกัดฟันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เห็นเข่าตัวเองเป็นแผลเหวอะหวะ ข่มความเจ็บปวดขึ้นรถจักรยานขี่ตัดถนนลัดไปอีกทาง โชคไม่เข้าข้าง กว่าพิณจะปั่นจักรยานไปถึงบ้านบุญ เดือนก็ไปไกลแล้ว
“เดือนฝากจดหมายนี่ไว้ให้” บุญยื่นซองจดหมายให้ แล้วพาเพ็งเข้าบ้าน พิณเปิดจดหมายออกอ่าน
“เมื่อพี่เปิดอ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันคงอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ตัวฉันเองก็ไม่รู้จัก...แต่พ่อกับแม่บอกว่ามันเป็นหนทางไปสู่ ความสำเร็จ มันจะทำให้ชีวิตฉันมีความสุข ถึงฉันไม่รู้ว่าความสุข ที่ท่านพูดหมายถึงอะไร แต่ฉันก็รู้ว่าท่านทำด้วยความรักความ ปรารถนาดี...ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำตัวเป็นลูกที่ดี ทำอะไรเอา แต่ใจตัวเองจนเกือบจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แต่มันก็ทำให้ฉันรู้ว่าความรักที่แท้จริงคืออะไร
ฉันรู้ว่าการเป็นครูสำคัญกับพี่มากแค่ไหน ฉันก็คงทำได้ แค่อวยพรให้พี่ทำตามความฝันตัวเองสำเร็จ เป็นครูได้ตามที่ตั้งใจ ส่วนตัวฉันเองก็จะตั้งใจเรียนหางานดีๆทำ ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง แม้หนทางระหว่างเราจะห่างไกลกันออกไปทุกที จนฉันไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ หรือจะต้องจากกันอย่างนี้ตลอดไป
แต่ฉันก็อยากให้พี่รู้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะไม่มี วันลืมพี่ จะเก็บความทรงจำดีๆของเราไว้ในใจตลอดไป...ลาก่อน พี่พิณ คนดีของฉัน...เดือน ดารา”
พิณน้ำตาไหลพรากไม่รู้ตัว คว้าจักรยานมาขี่อย่างบ้าคลั่งลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำตัดขึ้นถนนใหญ่ เหมือนต้องการระบายความอัดอั้น ทันใดนั้น มีเสียงแตรรถสิบรถบีบดังลั่น ก่อนที่พิณจะรู้ตัว ร่างของเขานอนตาลอยเหมือนคนไร้ความรู้สึกอยู่บนถนน รถจักรยานล้มตะแคงอยู่ข้างทาง ผู้คนค่อยๆเดินเข้ามามุงดู
ooooooo
ดอกส้มสีทอง ตอนที่ 10
ตอนที่ 10
แม้จะร้องไห้เสียน้ำตาสักแค่ไหน แต่คนอย่างเรยาก็ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ
เย็นวันรุ่งขึ้น เรยาขับรถไปจอดหน้าบริษัทก้องเกียรติ รอให้พนักงานทยอยกลับบ้านจนบางตาแล้วเรยาถึงก้าวเข้าไปในตึกอย่างรวดเร็ว เธอตรงเข้าไปที่ห้องทำงานก้องเกียรติ ด้วยความมั่นใจว่าเขายังไม่กลับเพราะเห็นรถยังจอดอยู่
แต่แล้วเรยาต้องผิดหวังอย่างแรงเพราะในห้องเงียบ เชียบไร้ผู้คน ขณะเธอกำลังหันรีหันขวางก็ได้ยินเสียงกุกกักหน้าห้อง จึงรีบเดินไปหลบในห้องน้ำแล้วแง้มประตูแอบมอง ปรากฏว่าเป็นพนักงานทำความสะอาดเข้ามาพร้อมเครื่องดูดฝุ่น
เรยาซ่อนตัวเงียบรอคอยด้วยความหงุดหงิดว่าเมื่อไหร่พนักงานจะทำความสะอาดเสร็จเสียที...ครั้นพนักงานกลับออกไปแล้ว เรยาถือโอกาสค้นโต๊ะทำงานดูโน่นนี่ไปเรื่อย เปื่อยฆ่าเวลา เผื่อก้องเกียรติจะกลับเข้ามาอีก แต่นานเข้าก็รอไม่ไหว จึงตัดสินใจจะกลับแต่ดันเปิดประตูห้องไม่ได้เพราะมันถูกล็อกจากข้างนอกไปแล้ว
ค่ำมืดแล้ว เรยาหงุดหงิดหัวเสียไม่รู้จะออกจากที่นี่ไปได้ยังไง ที่สุดก็ต้องส่งข้อความไปหาก้องเกียรติว่าเธอติดอยู่ในออฟฟิศของเขา...
เสียงสัญญาณส่งข้อความดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ ทำให้ก้องเกียรติกับณฤดีที่กำลังเริ่มต้นบทรักมีอันต้องหยุดชะงัก ณฤดีบอกให้เขาดูข้อความก่อนเผื่อจะเป็นเรื่องด่วน
เขากลับไม่ใส่ใจ ทำท่าจะเล้าโลมภรรยาอีก แต่แล้วเสียงส่งข้อความก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ก้องเกียรติเซ็งนิดๆ หันไปหยิบโทรศัพท์มากดดูข้อความ แล้วก็นิ่งอึ้งไปทันที
“เรื่องด่วนหรือคะคุณใหญ่”
“ครับ ผมลืมนัดงานไปเรื่องหนึ่ง”
“ถ้าเป็นงานสำคัญก็ไปเถอะค่ะ”
“แต่...คุณดี๋” สีหน้าเขาเกรงใจภรรยาอย่างมาก...
ณฤดีเข้าใจและพูดเขินๆว่า เรื่องนี้ไม่เป็นไรหรอก เขาจึงขอบคุณเธอ แล้วขยับเข้ามากระซิบข้างหูว่า “เดี๋ยวผมกลับมา อย่าเพิ่งนอนนะครับ”
ขณะเขาลุกไปแต่งตัว ณฤดีถามเขาว่า อยากให้เธอไปเป็นเพื่อนไหม เขาตอบทันทีว่าไม่เป็นไร แต่กำชับให้เธอคอย อย่าเพิ่งหลับ...
ณฤดียิ้มบางๆแทนคำตอบ และมองตามเขาไปด้วย ความรู้สึกที่ติดค้างในใจ เพราะเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนโดยเฉพาะเรื่องงาน
ooooooo
เมื่อก้องเกียรติมาถึง เรยาแสร้งขวัญเสียตกใจโผเข้ากอดรัดเขาพัลวัน
“ฟ้า...หยุด...คุยกันก่อน” น้ำเสียงขุ่นๆของเขาทำให้เรยาหยุดกึก “นี่มันเรื่องอะไร คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เรยานิ่งไม่ตอบ สีหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ฟ้า...ผมอยากรู้ว่ามันเรื่องอะไร คุณมาติดอยู่ในออฟฟิศ ผมได้ยังไง คุณเข้ามาทางไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฟ้ามาหาคุณใหญ่...คิดถึง คุณใหญ่ไม่ติดต่อฟ้าเลย ฟ้าส่งข้อความตั้งเป็นสิบๆครั้ง ทำไมคุณใหญ่ใจร้าย”
“ผมถามว่าคุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตอนงานเลิกค่ะ ฟ้ายังเห็นรถคุณใหญ่จอดอยู่...ก็ฟ้าคิดถึงคุณใหญ่จนจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ฟ้าแค่อยากมาเห็นหน้าคุณใหญ่ให้หายคิดถึง แล้วฟ้าก็จะไป ฟ้านั่งรอคุณใหญ่จนแน่ใจว่าคุณคงกลับบ้านไปแล้ว ฟ้าก็เลยจะกลับ แต่ตึกมันปิด ประตูก็ล็อกหมด ฟ้าก็เลยออกไม่ได้...ฟ้ากลัวมากเลยค่ะคุณใหญ่”
“ก่อนปิดตึกจะมีคนมาทำความสะอาดห้องผม คุณออกไปพร้อมเขาได้”
“ฟ้าไม่รู้จะตอบว่ายังไงนี่คะ ถ้าเขาถามว่าฟ้าเป็นใคร ฟ้าก็เลยแอบ”
“ผมเชื่อว่าคุณคิดได้อยู่แล้วว่าจะบอกเขาว่าอะไร”
“ตอนนั้นฟ้าตกใจมากจนคิดอะไรไม่ออกจริงๆนะคะ คุณใหญ่ ฟ้าขอโทษค่ะ...ขอโทษนะคะ” เรยาออดอ้อนขอความเห็นใจ แต่สีหน้าเขาดูอึดอัดคับข้องใจอย่างมาก
“นั่งก่อน...ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
เรยาฟังซะที่ไหน เธอขยับเข้ากอดและพยายามรุกไล่จนเขามีทีท่าโอนอ่อนผ่อนตาม แต่จู่ๆเขากลับผลักเธอออกห่าง เมื่อนึกถึงณฤดีที่ตัวเองสั่งให้คอยอยู่ที่บ้าน
“คุณใหญ่...ได้โปรดนะคะ ฟ้ารักคุณใหญ่”
“ผมทราบแล้วฟ้า แต่ที่นี่คือที่ทำงานของผม อย่าทำอะไรอย่างนี้”
เรยาจ้องหน้าเขานิ่งอย่างไม่ยอม แล้วฉับพลันเธอก็ทำท่าขยักขย้อนคลื่นไส้จะอาเจียน วิ่งเข้าไปในห้องน้ำ...แทนที่จะตามเข้าไปดูอาการเธอ เขากลับประเมินว่าต้องใช้เวลาอีกสักพัก จึงโทรศัพท์ไปหาณฤดี
“ฮัลโหล...คุณใหญ่เหรอคะ”
“คุณดี๋ครับ ผมจะเสร็จธุระแล้ว อีกสักครู่กลับแล้วครับ คอยผมนะ”
เรยายืนฟังในห้องน้ำ ทั้งเสียใจทั้งโกรธณฤดี แต่จำต้องออกมาตีหน้าเศร้าเล่นละครต่อไป
“ดีขึ้นไหมครับฟ้า ช่วงนี้อาเจียนอย่างนี้บ่อยรึเปล่า”
“บ่อยค่ะ...ฟ้าคงเริ่มแพ้” เรยามองท้องตัวเองแล้วมองเขาด้วยสายตาวิงวอนขอความกรุณา ซึ่งก้องเกียรติก็เข้าใจแต่ต้องการอธิบายให้เธอเข้าใจเขาด้วยเหมือนกัน
“ฟ้า...ฟังผมนะครับ เมื่อกี้ผมต้องโกหกภรรยาของผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากทำ ฟ้าอย่าก่อเรื่องให้ผมต้องโกหกหรือปิดบังอะไรภรรยาผมอีกได้ไหมครับ”
“คุณใหญ่จะพูดจริงทุกอย่างก็ได้นี่คะ”
“ทำไมฟ้าพูดอย่างนี้”
“ฟ้าขอโทษค่ะ ฟ้าพูดด้วยอารมณ์ อารมณ์ที่รักคุณใหญ่ เหลือเกิน จน...จนอดเสียใจไม่ได้ที่คุณใหญ่ไม่ได้มีใจให้ฟ้าเลยสักนิดเดียว”
ก้องเกียรตินิ่งสนิท นั่นยิ่งทำให้เรยาเสียใจ ก้มหน้าสะอื้นเบาๆ
“ฟ้าครับ...หยุดร้องไห้ก่อนเถอะครับ ผมมีความรู้สึกดีๆให้กับฟ้า...ในฐานะที่ฟ้ากำลังจะเป็นแม่ของลูกผม แต่ผมไม่ได้รักฟ้า ผมเคยบอกฟ้าแล้วว่า...ผมรักภรรยาของผม ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้รักคุณ”
ฟังแล้วเรยาฟิวส์ขาดทันที ฟูมฟายโวยวาย สองมือทุบตีเขาไม่ยั้ง
“ทำไมต้องพูดซ้ำซากว่าไม่รัก...ไม่รัก รู้แล้ว ฟ้ารู้อยู่เต็มอก ไม่ต้องตอกย้ำว่าคุณใหญ่ไม่รักฟ้า... รู้มั้ยว่าเสียใจ...เสียใจ”
ก้องเกียรติปัดป้อง แต่เรยาไม่ยอมหยุดพร่ำรำพัน มือก็ทั้งฟาดทั้งตีจนเขาต้องออกแรงรวบตัวเธอไว้ แล้วจังหวะนี้เอง เรยาก็ได้โอกาสดึงตัวเขาให้ล้มลงไปบนโซฟาด้วยกัน...
ooooooo
ค่อนข้างดึก เรยาขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านด้วยสีหน้าอิ่มเอมเปรมใจ แถมพอลงจากรถก็กางแขนโอบกอดแม่ลำยองที่ออกมาเปิดประตูรั้วให้
“กลับซะดึกเชียว แม่เป็นห่วงแทบแย่...หิวมั้ยลูก”
“อิ่ม...อิ่มที่สุดเลยแม่”
ลำยองเห็นลูกอารมณ์ดีมีรอยยิ้มก็พลอยดีใจไปด้วย... แต่ในเวลาเดียวกัน ก้องเกียรติกำลังทุกข์ใจแสนสาหัสขณะนั่งมองณฤดีที่หลับไปแล้ว เขาทั้งทุกข์ทั้งเสียใจที่ทำผิดต่อเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก แอบมีสัมพันธ์กับเรยาทั้งที่นิวซีแลนด์ ที่บ้านของเรยา และล่าสุดที่ห้องทำงานของเขาเอง
ยิ่งคิดก็ยิ่งทุรนทุรายในใจด้วยความผิดที่ตัวเองเคยทั้งเกลียดทั้งกลัว ปัญหาการมากชู้หลายเมียของบิดานั้น เขาเคยสาบานไว้ว่าจะไม่ทำ แต่บัดนี้เขากลับทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว...
เมื่ออัดอั้นตันใจจนถึงขีดสุด เขาถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่...ณฤดีขยับตัวแล้วลืมตาขึ้นเพราะได้ยินเสียงสะอื้นของสามี
“คุณใหญ่...เป็นอะไรคะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
ก้องเกียรติไม่ตอบแต่โอบกอดณฤดีไว้แน่น
“ไม่เป็นไรนะคะ...ไม่เป็นไร” ณฤดีลูบหลังเขาปลอบใจ
“ขอโทษนะครับ...คุณดี๋”
“คุณใหญ่” ณฤดีชะงักไปนิด พยายามจับสังเกต “แน่ใจนะคะว่าไม่อยากเล่าให้ดี๋ฟัง อย่างน้อยก็เป็นการระบาย เผื่อคุณใหญ่จะสบายใจขึ้นบ้าง ทุกข์ของคุณใหญ่ก็เหมือนทุกข์ ของดี๋”
“ขอบคุณครับ ผม...จะพยายามแก้ปัญหาเอง”
“ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้นะคะคุณใหญ่ แต่ถ้าแก้ไม่ได้จริงๆก็ต้องปล่อยให้มันเกิด เมื่อเราผ่านมันไปได้ มันก็จะกลายเป็นแค่อดีต แต่ไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต คุณใหญ่ยังมีดี๋อยู่เสมอนะคะ”
ทุกถ้อยคำของณฤดีทำให้ก้องเกียรติซาบซึ้งและรู้สึกผิดต่อเธอมากมาย เขาพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เพราะรู้ว่าปัญหาที่กำลังจะเกิดมันอาจจะทำให้ไม่มีณฤดีทั้งปัจจุบันและอนาคต
ooooooo
เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้เรยาย่ามใจและมีความหวังที่จะเขี่ยณฤดีออกจากชีวิตก้องเกียรติไปได้...
เย็นวันนี้เรยาตั้งใจไปดักเจอก้องเกียรติอีก แต่พอดีนัทโทร.มาหา เธอจึงปฏิเสธว่าไม่ว่าง มีนัดกินข้าวกับเพื่อน...เมื่อขับรถมาถึงหน้าบริษัทกลับกลายเป็นว่า
เรยามาช้าไปนิดเดียว ถูกณฤดีตัดหน้ามารับก้องเกียรติกลับบ้านไปต่อหน้าต่อตา
เมื่อผิดหวัง เรยานึกถึงนัท โทร.ย้อนกลับไปชวนเขาออกมากินข้าวด้วยกันในตอนค่ำ...นัทสังเกตเรยาหน้าหมองๆ แต่ก็ไม่กล้าถาม จนกระทั่งเรยาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเองว่า
“นี่...จะไม่ถามเหรอว่าเรามีเรื่องอะไร ถึงได้เรียกนัทมาด่วนอย่างนี้”
“ให้ถามเหรอ นึกว่าจะเรียกมาเป็นเพื่อนเฉยๆ แต่ขออย่างเดียว อย่าเล่าเรื่องทุกข์ร้อนที่ไปเป็นเมียน้อยเขานะ”
เรยาจ้องนัทเขม็งไม่พอใจ นัทสู้ตาไม่ละลด แล้วพอได้ยินเรยายอมรับว่าอยากเล่าเรื่องนั้นจริงๆ นัทถึงกับ
ลุกพรวดขึ้น วางเงินค่าอาหารแล้วเดินออกไปทันที
การกระทำของนัททำให้เรยาไม่พอใจสุดๆ เธอหยิบเงินของเขาขึ้นมาแล้วเอาเงินตัวเองวางไว้แทน ก่อนเดินจ้ำออกจากร้านไป พอเรยานำเงินนั้นไปคืนนัทถึงคอนโดฯนัทประชดว่า
“ลืมไปว่าพูดกับคนรวย” เห็นเรยายังยืนนิ่งไม่ขยับ นัทก็เลยไล่ทางอ้อม “มีอะไรก็พูดมาเลยฟ้า เราไม่มีเวลามาก คนจนต้องทำงาน”
“เราทุกข์ใจมาก อยากมีใครสักคนปลอบใจเรา กอดเราให้เรารู้สึกอบอุ่น” พูดขาดคำ เรยาโผเข้ากอดนัท แต่นัทไม่มีท่าทีใดๆตอบ แถมยังตอกย้ำให้เธอเจ็บจี๊ด
“อ้อมกอดของผัวชาวบ้านมันไม่อุ่นพอเหรอ”
เรยาผงะ...แล้วผลักอกนัทเต็มแรงก่อนผลุนผลันออกจากห้องไปอย่างหัวเสียสุดๆ พอกลับไปถึงบ้านเจอแม่ต้อนหน้าต้อนหลังถามไถ่ว่าหิวไหม แม่จะต้มข้าวต้มให้ เรยา
ไม่พูดไม่ตอบ เดินหน้าตูมขึ้นห้องล็อกประตูทันที
ooooooo
หลังจากเมื่อวานไม่ได้ติดต่อเรยาเลยทั้งวัน เช้านี้ก้องเกียรติแอบโทร.ไปบอกเรยาว่าเขาจะไปหาประมาณหลังเที่ยง เรยาดีใจมาก แล้วรีบจัดแจงส่งแม่ไปทำงานบ้านนายแหม่ม พร้อมกำชับให้แม่กลับตอนเย็น จะได้มากินข้าวพร้อมกัน
แต่แล้วความตั้งใจของก้องเกียรติก็มีอันต้องล้มเลิกเมื่อณฤดีชวนเขาไปหาอาม้า ซึ่งเขาไม่อาจปฏิเสธเธอได้ เพราะวันนี้เป็นวันหยุด แต่ยังดีหน่อยที่ณฤดีต้องออกไปซื้อของก่อน เขาจึงมีเวลาที่จะโทร.ไปบอกยกเลิกเรยา
แต่เพียรโทร.หลายครั้งก็ไม่มีคนรับ นั่นก็เพราะว่าเรยาออกไปธุระข้างนอกแล้วลืมมือถือไว้ที่บ้าน
เรยาไปที่คลินิกเพื่อเอาใบรับรองแพทย์ไปยื่นยืนยันการลางาน ตอนแรกเจ้าหน้าที่ที่จัดคิวงานทำท่าจะไม่ยอมเพราะมันกะทันหันมากหาคนแทนยาก แต่พอเห็นกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงที่เรยาเอามาติดสินบน เจ้าหล่อนก็ยิ้มหวานตอบตกลงทันที
ฝ่ายก้องเกียรติเมื่อโทร.ติดต่อเรยาไม่ได้จึงเปลี่ยนเป็นส่งข้อความไปบอกยกเลิกนัดวันนี้ แล้วจากนั้นเขาก็เตรียมตัวจะไปหาอาม้าพร้อมกับณฤดี
ส่วนที่บ้านเจ้าสัวเชง เช้านี้เจ้าสัวลงมาร่วมโต๊ะอาหารกับเมียทั้งสองคน แต่ไม่ทันจะลงมือ เม่งฮวยกับเยนหลิงก็มี ปากเสียงแขวะกันไปมาด้วยเรื่องอาหารแล้วเลยเถิดไปเรื่องลูกสาวของเยนหลิงที่เม่งฮวยตอกย้ำว่าเยนหลิงเป็นแม่ที่ไม่เอาไหน ลูกสาวถึงได้อายจนต้องหนีไป
“เรื่องอะไรมาว่าฉัน...ไม่ใช่เรื่องของคุณนายใหญ่ ลูกฉันเขารักฉัน เขาไม่ได้หนี เขาเรียนหนังสือที่อเมริกา”
“ฮึ...ไม่ล่ายหนี...แล้วอยู่หนายล่ะ อยู่เมืองอาลาย ตัวเอง ยังม่ายลู้” เม่งฮวยลอยหน้าลอยตาเยาะหยัน...เยนหลิงเถียงสู้ไม่ได้ กรี๊ดใส่อย่างเจ็บใจ
เสียงหัวเราะเยาะของเม่งฮวยและเสียงกรี๊ดของเยนหลิง ประชันกันอึงอลไปหมด จนเจ้าสัวทนไม่ไหวตวาดออกมาด้วยความรำคาญ
“หยุด! อั้วบอกให้หยุด!”
สองคุณนายหยุดกึก แต่ยังจ้องหน้ากันอย่างไม่ยอม
“ลื่อสองคนเป็นบ้าทั้งคู่ เจี๊ยะข้าวโต๊ะเดียวกัน ทะเลาะกันอยู่ได้ทุกวันๆ ไม่เห็นเว้นซักวัน”
ขณะนั้นซิลเวียเดินนวยนาดเข้ามา พอเห็นเจ้าสัวก็พุ่งไปหาด้วยความดีใจ โดยไม่สนอาจิวที่พยายามกางกั้น ซิลเวีย แสดงกิริยาฝรั่งจ๋าออดอ้อนและจูบแก้มเจ้าสัว ทำให้เม่งฮวยกับเยนหลิงหมั่นไส้รุมด่าซิลเวียกันใหญ่ เจ้าสัวทั้งเบื่อทั้งรำคาญ จึงปรามเยนหลิงด้วยสายตา เท่านั้นเองเยนหลิงก็ลุกขึ้นเดินออก จากโต๊ะอาหารไปด้วยความน้อยใจ ส่วนเม่งฮวยที่ยังไม่เลิกด่าซิลเวียก็ถูกเจ้าสัวไล่ให้กลับห้อง
“เฮีย...เฮียไล่อั้วต่อหน้านังอั้งม้อกุ๊ย เห็นอีดีกว่าเมียใหญ่ เหรอเฮีย อีกหน่อยอีก็กำเริบเสิบสานกะอั้ว”
“ลื่อเป็นเมียใหญ่ แต่หาเรื่องกับเมียเล็กๆตลอดเวลา... น่าเบื่อ”
เม่งฮวยจ้องหน้าเจ้าสัว...ความเสียใจแผ่ซ่านไปทั่วหน้า น้ำตาค่อยๆเอ่อขึ้นมาจนเต็มตา แล้วซมซานออกไปเงียบๆ ซิลเวียเห็นแล้วสะใจเป็นบ้า จีบปากฟ้องเจ้าสัวว่าบิ๊กมาดามชอบพูดไม่ดีกับตน
“พอ...อีเป็นเมียใหญ่ ลื่อต้องฟัง จำไว้” เจ้าสัวดุเสียงดังจนซิลเวียหน้าเจื่อน
ขณะเม่งฮวยจะกลับไปที่ห้อง ณฤดีกับก้องเกียรติมาถึงพอดี เม่งฮวยเห็นทั้งคู่ก็น้ำตาแตกทันที แล้วร่ำร้องขอให้ก้องเกียรติสาบานต่อหน้าณฤดีว่าจะไม่มีเมียสองเมียสาม เขาจะไม่ทำให้เธอช้ำใจเหมือนที่อาเตียทำกับอาม้า
ก้องเกียรติตะลึงงัน จิตใจปั่นป่วนจนพูดไม่ออก
“ผู้ชายมีเมียน้อย...เรื่องธรรมดา ผู้หญิงมีผัวน้อย... หยำฉ่า ผู้ชายขึ้นสวรรค์ ผู้หญิงตกนรก...คุงหลีเชื่อใจลูกชายอาม้านะ อีไม่ทำให้คุงหลีตกนรกแน่นอน” เม่งฮวยเสียงสั่น สะท้าน ณฤดีสงสารและเห็นใจขยับเข้ามากอดปลอบ ส่วนก้องเกียรตินั้นทุกข์ใจอย่างยิ่งแต่ต้องทำสงบนิ่งเอาไว้
ทางด้านเรยาที่สู้อุตส่าห์ดิ้นรนไปลางาน เมื่อกลับมาบ้านแล้วพบเห็นข้อความยกเลิกนัดในมือถือที่ก้องเกียรติส่งมา เรยาเจ็บแค้นแทบคลั่ง มั่นใจว่าณฤดีคือต้นเหตุของการยกเลิกนัดครั้งนี้
ooooooo
ด้วยความอาทรต่อลูกโดยไม่รู้ว่าถูกเรยาหลอก รุ่งขึ้นก้องเกียรติจึงนัดพบเรยาที่บ้าน และนำหนังสือ สัญญาจากเพื่อนไปให้เธอด้วย แต่จะเซ็นหรือไม่เซ็นขึ้นอยู่กับความพอใจของเธอ
ปรากฏว่าเรยาเลือกที่จะเซ็นชื่อในสัญญาฉบับนี้ทันทีที่อ่านเสร็จ ด้วยเหตุผลที่ว่า
“ฟ้าก็คิดเหมือนคุณใหญ่ว่ามันไม่สำคัญ แต่ใครก็ตามที่เขียนสัญญาฉบับนี้ขึ้นมาคงระแวงว่าฟ้าจะมาปอกลอกคุณใหญ่ ในเมื่อฟ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น ลายเซ็นนี้มันก็ไม่ได้มีความ หมายอะไร มันไม่สำคัญอะไรเลย อะไรที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป และที่มันเกิดขึ้นแล้วก่อนหน้านี้ มีเหตุผลเดียวและเป็นเหตุผลเดียวกันคือ...ฟ้ารักคุณใหญ่”
พูดแล้วเรยาก็นัวเนียซุกไซ้ก้องเกียรติด้วยอารมณ์เสน่หาจนเขาเคลิ้มและใจอ่อนอีกตามเคย...
แล้ววันหนึ่งก้องเกียรติก็ทำให้เรยาทั้งประหลาดใจและดีใจเป็นที่สุด เขาพาเธอไปดูห้องหรูหราภายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาตั้งใจซื้อไว้ให้ลูก
“ขอบคุณค่ะ คุณใหญ่เมตตาฟ้ากับลูกเหลือเกิน”
“วันนี้ผมจะพาฟ้าไปฝากท้อง”
เรยานิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง แล้วตอบเขาว่า “ฟ้าไปฝากแล้วค่ะ”
“อ้าว...ทำไมฟ้าไม่คอยผมล่ะครับ”
“ฟ้าไม่อยากรบกวนคุณใหญ่ค่ะ ไปเองได้ไม่ลำบากอะไร”
“เสียดายจริง ผมอยากทราบเหมือนกันว่าเวลาผู้หญิงไปฝากท้อง เขาต้องทำอะไรบ้าง”
“ก็...ฟ้าเกรงใจ”
“คราวหน้านะครับ คราวหน้าถ้าหมอนัดตรวจ พาผม ไปด้วย”
“ค่ะ” เรยารับคำเต็มเสียง แล้วมารยาออดอ้อนจะนอนกับเขาให้ได้ แต่คราวนี้ไม่สำเร็จเพราะก้องเกียรติยับยั้งใจตนเองไว้ได้
ooooooo
หลังจากเมื่อหลายวันก่อนทะเลาะกับเรยาค่อนข้างแรง นัทยังไม่ได้เจอเรยาอีกเลย ถึงเรยาจะทำตัวไม่ดียังไง แต่นัทก็ตัดเธอไม่ขาด ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่เสมอ
วันนี้นัทตัดสินใจไปหาเรยาแล้วพากันกลับมาคุยที่ห้องพักของนัทเอง
“ขอบใจนัทมากที่ไม่โกรธฟ้าเรื่อง...เงินค่าอาหารคราวก่อน ฟ้าแค่อยากเลี้ยง ไม่ได้ตั้งใจดูถูก และฟ้าก็ขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ฟ้าทำไม่ดีกับนัท ฟ้ายังทุเรศตัวเองเลย ถ้านัทจะโกรธฟ้ามันก็สมควร แต่นัทก็ไม่โกรธฟ้า”
“นัทโกรธ ใครว่าไม่โกรธ”
“อ้าว ถ้าโกรธแล้ววันนี้นัทไปหาฟ้าทำไม”
“เพราะนัทเป็นห่วงฟ้าไง บอกตามตรง ตอนนั้นนัทโกรธฟ้ามาก แต่ตอนนี้หายแล้ว”
“ทำไมหายล่ะนัท”
“ฟ้าไปถึงจุดนั้นแล้ว นัททำได้อย่างเดียวเท่านั้น...คือเข้าใจ จะผิดหรือถูกไม่รู้ล่ะ”
“ผิด” เรยาสวนคำทันที
“ไม่รู้...ไม่รับรู้ นั่นเป็นสิ่งที่ฟ้าตัดสินใจแล้ว นัทเป็นเพื่อนฟ้า ถ้าฟ้าทุกข์ ไม่สบายใจ นัทจะเป็นกำลังใจ ถ้าฟ้ามีปัญหา นัทก็จะเป็นที่ปรึกษา”
“นัทไม่ชอบพฤติกรรมของฟ้าไม่ใช่เหรอ”
“ก็ยังไม่ชอบอยู่ ไม่ชอบมากๆ ปัญหาวุ่นวายในสังคมที่มันเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราก็เพราะสามีภรรยาไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน แทนที่จะมีจุดยืนว่าจะมั่นคงไม่นอกใจกัน”
“แล้วทำไมยังคบฟ้าล่ะ”
“บางทีเราก็ต้องมองข้ามไปบ้างเวลาเพื่อนทำไม่ดี ไม่ใช่เลิกคบกันไปเลย ไม่งั้นก็คงไม่เหลือเพื่อนสักคนเดียว มีใครล่ะที่จะเฟอร์เฟกต์ไม่เคยทำอะไรผิด”
เรยามองหน้านัทนิ่ง สายตาไม่สบายใจล้ำลึก
“ไหนเล่าต่อซิ ที่ว่าเขาซื้อคอนโดฯให้ฟ้าน่ะ”
“เขาบอกว่าซื้อให้ลูก”
นัทตกใจแทบช็อก รับไม่ได้ที่เรยาปล่อยให้ท้อง ด่าเรยาอย่างสาดเสียเทเสีย แล้วยังด่าไปถึงผู้ชายคนนั้นที่นอกใจเมียตัวเองด้วย
เรยาโกรธจี๊ดแต่ก็ตอบโต้ไม่ถนัดเพราะมันเป็นเรื่องจริง จึงผลุนผลันจะกลับแต่นัทไม่ยอม
“ไม่ให้ไป...ฟ้าต้องฟังให้จบ ลูกของฟ้ากับผู้ชายเลวๆคนนั้นโตขึ้นเขาจะไม่มีศีลธรรม ไม่มีศักดิ์ศรี พร้อมที่จะผิดลูกผิดเมียคนอื่น”
“พอเถอะ...พอ” เรยาขอร้องทั้งน้ำตา
“ลูกผู้ชายเขาจะมีเมียน้อยกี่คนก็ได้เพราะเขาเห็นพ่อเขามี ลูกผู้หญิงจะยอมเป็นเมียน้อยได้ง่ายๆเพราะเขาเห็นแม่เขาเป็น พ่อแม่ที่เป็นตัวอย่างไม่ดีทำให้ลูกกลายเป็นคนมักง่าย สังคมจะเหลวแหลกเสื่อมลง”
“นัท...ด่ากันขนาดนี้ เลิกคบกันดีกว่า เลิก...เลิก...ไม่ต้องมาเห็นหน้ากันอีกชาตินี้”
“ก็ได้ ไม่ต้องคบกัน แต่นัทจะคอยดูอนาคตของฟ้ากับลูก จะคอยดูว่าครอบครัวของฟ้าจะทำลายสังคมได้ถึงขนาดไหน สังคมเสื่อมทรามแน่ถ้ามีคนอย่างฟ้ากับชู้ของฟ้า”
เรยากรี๊ดสุดเสียง โถมเข้าทุบตีนัทไม่ยั้ง และที่สุดเธอก็หลุดความจริงออกมาว่าไม่ได้ท้อง ไม่ได้จะมีลูก เธอแค่หลอกเขา ไม่งั้นเขาจะไม่ยอมรับ...
“เขาเชื่อ?”
เธอพยักหน้าแทนคำตอบ นัทนิ่งอึ้ง มองเธอด้วยสายตาทั้งผิดหวัง กล่าวโทษ และรังเกียจ
“อย่ามองอย่างนั้นได้มั้ย ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่หวัง ใครจะทำทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดี”
“ไม่ใช่ใครจะทำทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดี แต่ควรจะเป็นเพราะมันไม่ดี ไม่ว่าจะจำเป็นยังไงก็ไม่ทำ”
“ความจำเป็นของฟ้ามันมากกว่าอะไรทั้งหมดในโลก ฟ้าต้องทำ...ฟ้าต้องท้อง!”
“ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินอะไรที่น่ารังเกียจอย่างกับที่เรื่องแต่งขึ้นแบบนี้ ระหว่างแย่งสามีชาวบ้านกับหลอกผู้ชายว่าท้องให้เขายอมรับ ไม่รู้อะไรเลวกว่ากัน แต่อันที่จริง ฟ้าก็ทำทั้งสองอย่างใช่มั้ย”
“นัท...ฟ้ารักเขา...ฟ้ารักเขามาก ฟ้าต้องทำทุกอย่างให้เขาอยู่กับฟ้าให้ได้”
“ทำทุกอย่างของฟ้า อย่ารวมถึงเรื่องที่จะหาคนมาทำให้ฟ้าท้องแล้วกัน...ตามสูตรละครทีวี”
“ใช่...ฟ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ”
“บ้าแล้ว...บ้าจริงๆ ขอให้เราเป็นคนเดียวที่ได้ยินว่าฟ้าคิดจะทำเรื่องชั่วร้ายแบบนี้ เป็นเมียน้อย แถมมีลูกก็แย่แล้ว ถ้าลูกยังเกิดจากผู้ชายคนอื่นอีก...เลวสมบูรณ์แบบอย่างนี้...อย่าเป็นคนดีกว่า”
เรยาโกรธจนตัวสั่น ตบหน้านัทอย่างแรง
“ถามตัวเองนะฟ้า...ว่ายังเป็นคนอยู่รึเปล่า” นัททิ้งท้ายแล้วพรวดพราดออกไปสงบสติอารมณ์นอกห้อง ส่วนเรยาทรุดตัวลงร้องไห้จมกับความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ได้เหมือนขี่หลังเสือ
นัทเดินงุ่นง่านอยู่หน้าห้อง สักพักเรยาก้าวออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกลานัทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นัทยังรุ่มร้อนในใจ
“ฟ้า...ขอร้องนะ ถ้าภายในเวลาที่ฟ้าบอก...ยังไม่ท้อง ปล่อยเขาให้กลับไปหาเมียของเขา ขอเถอะนะฟ้า นัทรักฟ้า ไม่อยากให้ฟ้าทำอย่างนี้”
“ต้องขอทำไมนัท ถ้าฟ้าไม่ท้อง ฟ้าก็ต้องไปจากเขาอยู่แล้ว”
“หมายความว่า...ไม่ต้องดิ้นรนหาคนมาช่วยทำให้ท้อง”
เรยาพยักหน้าช้าๆ แต่นัทยังไม่เคลียร์ ถามทันทีว่าพยักหน้าหมายความว่าอะไร?
“อย่างที่นัทขอ” พูดจบเรยาหันหลังกลับ...เดินจากไปด้วยหัวใจที่ชอกช้ำ
ooooooo
ไม่กี่วันถัดมา เรยาก็ย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ในคอนโดฯที่ก้องเกียรติซื้อให้ โดยหลอกแม่ลำยองว่าเธอต้องไปเข้าเวรที่สำนักงานใหญ่ กลับมาค้างที่บ้านไม่ได้เป็นเดือนๆ และให้แม่บอกนายแหม่มด้วยว่าแม่ไปทำงานให้เขาไม่ได้อีกแล้ว
ลำยองเชื่อคำพูดลูกและรู้สึกเห็นใจนายแหม่มเพราะคนใช้ใหม่ยังไม่ค่อยเป็นงาน หลังจากเข้าไปบอกกล่าวนายแหม่มแล้ว ลำยองจึงช่วยสอนงานทุกอย่างแก่คนใช้ใหม่ ทั้งยังเน้นย้ำให้เขารู้คุณค่าในอาชีพของตน ไม่ว่าจะอาชีพอะไร ทุกคนก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด...
คอนโดฯที่อยู่ใหม่ของเรยาหรูหราและแพงมาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่เรยาไม่ได้มีความสุขกับสิ่งของนอกกายเหล่านี้นัก เธอต้องอยู่ลำพังคนเดียวอย่างหงอยเหงา ส่วนก้องเกียรติจะแวะมาดูแลเรยาก็ต่อเมื่อมีเวลาว่าง มาแล้วจะค้างไม่ได้ เขาต้องรีบกลับเพราะไม่อยากผิดเวลาให้ภรรยาที่บ้านสงสัย
ถึงแม้ก้องเกียรติจะระวังตัวแค่ไหน แต่เรยาก็มักจะทำให้เขาอึดอัดลำบากใจอยู่เนืองๆ เรยาชอบส่งข้อความไปหาเขาจนณฤดีเริ่มระแวง แม้แต่สมปองก็ยังสงสัยว่าพักนี้ทำไมคุณผู้ชายถึงดูวุ่นวายกับโทรศัพท์มือถือจัง บางทีก็เห็นหลบออกไปยืนคุยนอกบ้าน
เมื่อเจอหน้ากันทีไร เรยาจะแกล้งวิงเวียนไม่สบายให้ก้องเกียรติเห็น แล้วก็เอามาเป็นข้ออ้างเพื่อลาออกจากงาน ก้องเกียรติจึงพูดไม่ออก รู้สึกหนักใจกับภาระที่จะมาตกที่ตัวเองเต็มที่
ก้องเกียรติครุ่นคิดไม่สบายใจอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องเงินปันผลจำนวนมากที่เอาไปซื้อคอนโดฯให้เรยา วันนี้เขาจึงตามโจกับเต้มาพบแล้วขอร้องทั้งคู่ช่วยโกหกให้ตนด้วย
นับเป็นโชคดีของก้องเกียรติที่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า... เพราะวันถัดมา ณฤดีตั้งใจไปหาอาม้าแต่ถูกเยนหลิงพูดยุแหย่ให้คิดมาก เยนหลิงทำเป็นหวังดีเตือนณฤดีให้ระวังสามีจะนอกใจ เพราะนักธุรกิจหน้าตาดีมีเกียรติอย่างคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเชงมีแต่ผู้หญิงสนใจ ซ้ำผู้หญิงสมัยนี้ก็จับไม่เลือกเสียด้วยว่าผู้ชายจะโสดหรือไม่โสด อีกอย่างอาเตียของเขาก็มีเมียตั้งห้าคน ซึ่งเขาก็รู้เห็นมาตลอด จึงไม่แปลกที่เขาจะเอาเยี่ยงอย่าง
คำพูดทั้งหมดของเยนหลิงทำให้ณฤดีหวั่นไหว แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงออก ได้แต่กล่าวขอบคุณแล้วขอตัวไปพบอาม้า
เมื่อเห็นณฤดีสีหน้าไม่สู้ดี เม่งฮวยทักถามอย่างห่วงใยว่าเป็นอะไร มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า ณฤดีตอบเลี่ยงว่าไม่มีอะไร คงเป็นเพราะวันนี้รถติดมาก
“แล้วทำไมไม่ให้อาตั่วตี๋อีขับมาล่ะ”
ณฤดีบอกว่าคุณใหญ่ทำงาน หมู่นี้เขาต้องออกตรวจตลาดต่างจังหวัดบ่อย เม่งฮวยฟังแล้วคิดหนักเพราะเมื่อก่อนลูกชายไม่เป็นแบบนี้ ครั้นถามเรื่องเงินว่าเขาให้ขาดบ้างหรือเปล่า ณฤดีตอบหนักแน่นว่าเขายังให้เหมือนเดิม ให้เยอะจนเธอใช้ไม่หมด
“เอาไว้เยอะๆ ดีแล้ว เรามีสิทธิ์ อ้อ...เงินปันผลคราวนี้ ตั้งยี่สิบกว่าล้านนะ”
“หนูไม่ทราบค่ะว่ามีเงินปันผล”
“อาม้าได้หลายวันแล้ว ทำไมอาตั่วตี๋ยังไม่ให้คุงหลี ถามอี...ถ้าอีไม่ให้ อาม้าให้เอง”
“อาจจะใส่บัญชีแล้วมั้งคะ”
“ใส่บัญชีก็ต้องบอก เงินไม่ใช่สิบบาทยี่สิบบาท คุงหลีถามนะ อาม้าก็จะถามล่วย ถ้าอีไม่ให้ ไม่ต้องเอาเรื่องอี อาม้าจะให้คุงหลี ให้หมดเลย แล้วอาม้าจะเอาเรื่องอีเอง”
“โธ่...อาม้าขา อย่ามีเรื่องกับลูกชายเลยค่ะ”
“คุงหลีเอาเรื่องอาตั่วตี๋ไม่ได้หรอก ถ้าคุงหลีเอาเรื่อง...ก็คือไม่มีเรื่อง อาตั่วตี๋อีก็สบาย ต้องอาม้านี่...ซูสีไทเฮา”
เม่งฮวยจริงจังขึงขังมากด้วยความรักและเป็นห่วงลูกสะใภ้คนโปรด...แล้ววันหนึ่งก้องเกียรติก็ถูกเม่งฮวยเรียกตัวมาพบ และพูดกันต่อหน้าณฤดี
“คุงหลียังไม่ได้ถามอาตั่วตี๋เรื่องเงินปันผลใช่มั้ย”
“อาม้าคะ หนูไม่ได้อยากทราบเลยค่ะ คุณใหญ่เธอมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะใช้เงินของเธอ”
“อาตั่วตี๋ คุงหลีไม่ได้ฟ้องอั้วนะ อั้วถามเอง เอาไปไหน เงินตั้งเยอะตั้งแยะ”
“ให้เพื่อนขอยืมครับ เขาเดือดร้อนทางธุรกิจครับอาม้า เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา ถ้าไม่ให้...เราก็อาจพังไปด้วย”
“ใคร?”
“อาม้าไม่รู้จักหรอกครับ”
“อาโจ อาเต้...รู้มั้ย”
“ทราบครับ สองคนนั่นรู้ตลอด”
“อาม้าถามอีได้มั้ย ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ อั้วอยากให้คุงหลีได้ยิน ไม่งั้นอีก็ไม่เคยถามลื่อ”
“ผมต่อโทรศัพท์ให้อาม้าพูดกับเต้นะครับ” ก้องเกียรติแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อสายถึงเต้แล้วให้อาม้าคุยเอง โดยเปิดสปีกเกอร์โฟนให้ณฤดีได้ยินด้วย
“อาเต้...รู้เรื่องเงินปันผลของอาตั่วตี๋มั้ย”
“อ๋อ...ทราบครับอาม้า ก้องเกียรติเขาให้เพื่อนที่เดือดร้อนทางธุรกิจขอยืมครับ ถ้าไม่ให้กิจการของบริษัทอาจจะพังครับ เขาจำเป็นครับอาม้า อาม้ามีอะไรรึเปล่าครับ”
“เป่า...เป่า...ไม่มี ไม่มี ขอบใจมากนะอาเต้”
ก้องเกียรติกดวางสาย ณฤดีสบายใจขึ้น อาม้าก็เช่นกัน แต่ยังไม่วายตำหนิลูกชายอีกนิดว่าให้เพื่อนขอยืมเงินทำไมไม่ปรึกษาเมีย มันเงินของเขาด้วย...ณฤดีจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถูกเม่งฮวยยกมือห้ามเสียก่อน แล้วเม่งฮวยก็อบรมลูกชายอีกว่า
“อาเตียลื่อมีเมีย 5 คน ทุกคนเห็นบัญชีอาเตีย รู้ว่าให้ใครเท่าไหร่ อาเตียไม่เคยแอบให้ใคร ลื่อต้องทำให้เหมือนอาเตีย เฉพาะเรื่องเงิน...ไม่ใช่เรื่องเมีย”
“ครับ...ผมทราบ”
“อาตั่วตี๋ อาม้าพูดจิงๆนะ คุงหลีไม่ต้องกลัว อั้วนับแต่เมียที่อั้วแต่งให้ คนอื่นไม่เกี่ยว...อั้วไม่รับรู้ทั้งนั้น”
ณฤดียิ้มรับบางๆ รู้สึกซาบซึ้งใจในความรักและเมตตาของเม่งฮวยเหลือเกิน
ooooooo
เย็นมากแล้ว เรยาเริ่มหงุดหงิดที่ก้องเกียรติยังไม่มา พอได้ยินเสียงไขกุญแจ เรยาลุกพรวดไปรอหน้าประตู แล้วโถมเข้ากอดจูบเขาทันทีที่เขาก้าวเข้ามา
“คุณใหญ่ทำไมมาช้าจังคะ ฟ้าใจเสียนึกว่าคุณใหญ่จะปล่อยให้ฟ้าคอยอีกแล้ว”
“ผมมารับฟ้าไปโรงพยาบาลที่ฝากท้อง ฟ้าไปแต่งตัวสิครับ”
เรยาผงะเพราะไม่ทันตั้งตัว ค่อยๆเดินหายเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ครู่เดียวเธอก็กลับออกมาในชุดเดิม
“อ้าวฟ้า ทำไมไม่เปลี่ยนชุดล่ะครับ”
“คุณใหญ่คะ ฟ้าดูใบนัดของหมอแล้วค่ะ ยังไม่ถึงวันไปตรวจ อีกสองเดือนแน่ะค่ะ”
“ผมอยากให้ฟ้าหาหมอก่อนวันนัด วันนั้นผมเห็นคุณแพ้แล้วไม่ดีเลย น่าจะให้หมอตรวจดูซะหน่อย ฟ้ารับปากผมไว้ไงครับ”
“ฟ้าโทรศัพท์ปรึกษาหมอแล้วค่ะ หมอว่าเป็นปกติไม่ต้องวิตกค่ะ”
“งั้น...ผมจะกลับนะครับ”
“คุณใหญ่ ทำไมล่ะคะ”
“ผมควรจะถึงบ้านประมาณทุ่มหนึ่ง”
“อ้าว...แล้วถ้าไปหาหมอล่ะคะ”
“ผมก็คงจะไปช้านิดหน่อย สักสองทุ่ม”
“สามทุ่ม” เธอต่อรองด้วยแววตาเว้าวอน
“ฟ้าครับ...เราตกลงกันแล้วว่าผมจะมาหาฟ้าตามเวลาที่จะไม่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงอะไรที่บ้าน ถ้าฟ้าไม่ไปหาหมอผมก็ไม่จำเป็นต้องผิดเวลา ผมไม่อยากพูดปด”
“แล้วถ้าไปหาหมอ คุณใหญ่จะพูดความจริงหรือคะ”
“ผมจะบอกว่าผมพาเพื่อนไปหาหมอ”
“แล้วจะตอบนัง...เอ้อ...คุณณฤดีว่าเพื่อนคนไหนเป็นอะไรโดยไม่โกหก”
“ภรรยาผมไม่ช่างซัก ผมไม่ต้องตอบคำถามนั้น”
คำตอบธรรมดาๆ ไม่ได้ประชด แต่ทำให้เรยาโกรธจี๊ดจนอยากจะกรี๊ดออกมา แต่จำต้องเก็บกลั้นแล้วใช้มารยาหญิงประชิดตัวเขา
“อยู่อีกหน่อยนะคะ ฟ้ากลัวค่ะ...อยู่คนเดียว”
“จริงด้วย ทำไมฟ้าไม่พาคุณแม่มาอยู่เป็นเพื่อนล่ะครับ”
“อีกซักพักค่ะ เพราะบ้านโน้นต้องมีคนดูแล คุณใหญ่อย่าเพิ่งกลับนะคะ”
“ก็ได้ ผมจะอยู่สักครู่”
เรยาลอบยิ้มแล้วพาเขาไปที่โซฟา จากนั้นก็ระดมจูบซุกไซ้เขาอย่างรวดเร็วเร่าร้อน พอจะเลยเถิด ก้องเกียรติหยุดตัวเอง แต่เรยาไม่ยอม
“ไม่ค่ะคุณใหญ่...ไม่...ฟ้ารักคุณใหญ่ รักเหลือเกิน ไม่เคยรักใครอย่างนี้มาก่อน”
เรยาเป็นฝ่ายปลุกปล้ำเขา และหวังว่าคราวนี้ตนจะท้องสมใจเสียที แต่แล้วเรยาก็ผิดหวังอีกตามเคย เพราะหลังจากวันนั้นเธอก็มีรอบเดือนเหมือนเดิม...เรยาเครียดและวิตกกังวล กลัวว่านานวันเข้าก้องเกียรติจะรู้ความจริง
เมื่อทุกข์ใจเรยาไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใครนอกจากนัทคนเดียว แม้นัทจะไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของเธอมาตลอด และล่าสุดทั้งคู่ก็ทะเลาะกันรุนแรงจนนัทเองยังคิดว่าเรยาอาจจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว...แต่วันนี้ เรยาได้มายืนอยู่หน้าห้องของนัทแล้ว
“ไม่ให้เข้าเหรอ” น้ำเสียงเรยาแผ่วเบาน่าสงสาร
นัทไม่ตอบแต่เปิดประตูให้กว้างขึ้น เรยาเข้ามานั่งได้ครู่เดียวก็ร่ำไห้อย่างไม่อาย แถมระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวทุบตีตัวเองอย่างคับแค้นใจที่ไม่ท้องเสียที
“เข้าใจมั้ย...ไม่ท้อง เพราะเขาไม่มา เขาไม่มา เขากลัวเมีย ไม่ยอมผิดเวลากับเมีย ไม่ยอมโกหกเมีย ฟ้าถึงไม่ท้อง... ไม่ท้อง!”
“เขาก็ทำถูกแล้ว” นัทกล่าวนิ่งๆ เรยาหันขวับมาจ้องนัทตาขวาง
“นัท...ยังเป็นเพื่อนกันอยู่รึเปล่า ฟ้ามาถึงจุดที่เข้าตาจนแล้ว ฟ้ามีทางเลือกอื่นมั้ย ทำไมไม่เข้าใจเห็นใจกันบ้าง”
“ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่ ก็เป็นแค่เมียเขาแบบนี้ อย่ามีลูก เบื่อกันเลิกกันเมื่อไหร่จะได้ไม่กระทบถึงเด็กตาดำๆ”
“ไม่...ต้องท้อง...ต้องท้องให้ได้ นัทช่วยหน่อยสิ” เรยาไม่พูดเฉยๆ ปราดเข้ามาถึงเนื้อตัวนัท แต่นัทไม่เล่นด้วย ถอยหนีอย่างชิงชัง
“ไม่นึกเลยว่าฟ้าจะขอให้นัทร่วมมือทำอะไรชั่วๆแบบนี้ นัทพยายามจะไม่โกรธและเข้าใจว่าคนเราพอหลังชนฝาทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ฟ้ามาขอให้นัทช่วยแบบนี้ แสดงว่าฟ้าไม่รู้จักนัทเลย”
“นัท...นัทรักฟ้าไม่ใช่เหรอ...ช่วยฟ้าด้วย”
“กลับไปเลยฟ้า แล้วอย่าขอให้ใครทำอะไรที่เลวและบาปแบบนี้อีก เพราะมันน่าละอายต่อเขาของฟ้า และเด็กที่ฟ้าจะทำให้เกิดมาจากผู้ชายชั่วๆที่ยอมร่วมมือกับฟ้า”
แม้จะร้องไห้เสียน้ำตาสักแค่ไหน แต่คนอย่างเรยาก็ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ
เย็นวันรุ่งขึ้น เรยาขับรถไปจอดหน้าบริษัทก้องเกียรติ รอให้พนักงานทยอยกลับบ้านจนบางตาแล้วเรยาถึงก้าวเข้าไปในตึกอย่างรวดเร็ว เธอตรงเข้าไปที่ห้องทำงานก้องเกียรติ ด้วยความมั่นใจว่าเขายังไม่กลับเพราะเห็นรถยังจอดอยู่
แต่แล้วเรยาต้องผิดหวังอย่างแรงเพราะในห้องเงียบ เชียบไร้ผู้คน ขณะเธอกำลังหันรีหันขวางก็ได้ยินเสียงกุกกักหน้าห้อง จึงรีบเดินไปหลบในห้องน้ำแล้วแง้มประตูแอบมอง ปรากฏว่าเป็นพนักงานทำความสะอาดเข้ามาพร้อมเครื่องดูดฝุ่น
เรยาซ่อนตัวเงียบรอคอยด้วยความหงุดหงิดว่าเมื่อไหร่พนักงานจะทำความสะอาดเสร็จเสียที...ครั้นพนักงานกลับออกไปแล้ว เรยาถือโอกาสค้นโต๊ะทำงานดูโน่นนี่ไปเรื่อย เปื่อยฆ่าเวลา เผื่อก้องเกียรติจะกลับเข้ามาอีก แต่นานเข้าก็รอไม่ไหว จึงตัดสินใจจะกลับแต่ดันเปิดประตูห้องไม่ได้เพราะมันถูกล็อกจากข้างนอกไปแล้ว
ค่ำมืดแล้ว เรยาหงุดหงิดหัวเสียไม่รู้จะออกจากที่นี่ไปได้ยังไง ที่สุดก็ต้องส่งข้อความไปหาก้องเกียรติว่าเธอติดอยู่ในออฟฟิศของเขา...
เสียงสัญญาณส่งข้อความดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ ทำให้ก้องเกียรติกับณฤดีที่กำลังเริ่มต้นบทรักมีอันต้องหยุดชะงัก ณฤดีบอกให้เขาดูข้อความก่อนเผื่อจะเป็นเรื่องด่วน
เขากลับไม่ใส่ใจ ทำท่าจะเล้าโลมภรรยาอีก แต่แล้วเสียงส่งข้อความก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ก้องเกียรติเซ็งนิดๆ หันไปหยิบโทรศัพท์มากดดูข้อความ แล้วก็นิ่งอึ้งไปทันที
“เรื่องด่วนหรือคะคุณใหญ่”
“ครับ ผมลืมนัดงานไปเรื่องหนึ่ง”
“ถ้าเป็นงานสำคัญก็ไปเถอะค่ะ”
“แต่...คุณดี๋” สีหน้าเขาเกรงใจภรรยาอย่างมาก...
ณฤดีเข้าใจและพูดเขินๆว่า เรื่องนี้ไม่เป็นไรหรอก เขาจึงขอบคุณเธอ แล้วขยับเข้ามากระซิบข้างหูว่า “เดี๋ยวผมกลับมา อย่าเพิ่งนอนนะครับ”
ขณะเขาลุกไปแต่งตัว ณฤดีถามเขาว่า อยากให้เธอไปเป็นเพื่อนไหม เขาตอบทันทีว่าไม่เป็นไร แต่กำชับให้เธอคอย อย่าเพิ่งหลับ...
ณฤดียิ้มบางๆแทนคำตอบ และมองตามเขาไปด้วย ความรู้สึกที่ติดค้างในใจ เพราะเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนโดยเฉพาะเรื่องงาน
ooooooo
เมื่อก้องเกียรติมาถึง เรยาแสร้งขวัญเสียตกใจโผเข้ากอดรัดเขาพัลวัน
“ฟ้า...หยุด...คุยกันก่อน” น้ำเสียงขุ่นๆของเขาทำให้เรยาหยุดกึก “นี่มันเรื่องอะไร คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เรยานิ่งไม่ตอบ สีหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ฟ้า...ผมอยากรู้ว่ามันเรื่องอะไร คุณมาติดอยู่ในออฟฟิศ ผมได้ยังไง คุณเข้ามาทางไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฟ้ามาหาคุณใหญ่...คิดถึง คุณใหญ่ไม่ติดต่อฟ้าเลย ฟ้าส่งข้อความตั้งเป็นสิบๆครั้ง ทำไมคุณใหญ่ใจร้าย”
“ผมถามว่าคุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตอนงานเลิกค่ะ ฟ้ายังเห็นรถคุณใหญ่จอดอยู่...ก็ฟ้าคิดถึงคุณใหญ่จนจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ฟ้าแค่อยากมาเห็นหน้าคุณใหญ่ให้หายคิดถึง แล้วฟ้าก็จะไป ฟ้านั่งรอคุณใหญ่จนแน่ใจว่าคุณคงกลับบ้านไปแล้ว ฟ้าก็เลยจะกลับ แต่ตึกมันปิด ประตูก็ล็อกหมด ฟ้าก็เลยออกไม่ได้...ฟ้ากลัวมากเลยค่ะคุณใหญ่”
“ก่อนปิดตึกจะมีคนมาทำความสะอาดห้องผม คุณออกไปพร้อมเขาได้”
“ฟ้าไม่รู้จะตอบว่ายังไงนี่คะ ถ้าเขาถามว่าฟ้าเป็นใคร ฟ้าก็เลยแอบ”
“ผมเชื่อว่าคุณคิดได้อยู่แล้วว่าจะบอกเขาว่าอะไร”
“ตอนนั้นฟ้าตกใจมากจนคิดอะไรไม่ออกจริงๆนะคะ คุณใหญ่ ฟ้าขอโทษค่ะ...ขอโทษนะคะ” เรยาออดอ้อนขอความเห็นใจ แต่สีหน้าเขาดูอึดอัดคับข้องใจอย่างมาก
“นั่งก่อน...ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
เรยาฟังซะที่ไหน เธอขยับเข้ากอดและพยายามรุกไล่จนเขามีทีท่าโอนอ่อนผ่อนตาม แต่จู่ๆเขากลับผลักเธอออกห่าง เมื่อนึกถึงณฤดีที่ตัวเองสั่งให้คอยอยู่ที่บ้าน
“คุณใหญ่...ได้โปรดนะคะ ฟ้ารักคุณใหญ่”
“ผมทราบแล้วฟ้า แต่ที่นี่คือที่ทำงานของผม อย่าทำอะไรอย่างนี้”
เรยาจ้องหน้าเขานิ่งอย่างไม่ยอม แล้วฉับพลันเธอก็ทำท่าขยักขย้อนคลื่นไส้จะอาเจียน วิ่งเข้าไปในห้องน้ำ...แทนที่จะตามเข้าไปดูอาการเธอ เขากลับประเมินว่าต้องใช้เวลาอีกสักพัก จึงโทรศัพท์ไปหาณฤดี
“ฮัลโหล...คุณใหญ่เหรอคะ”
“คุณดี๋ครับ ผมจะเสร็จธุระแล้ว อีกสักครู่กลับแล้วครับ คอยผมนะ”
เรยายืนฟังในห้องน้ำ ทั้งเสียใจทั้งโกรธณฤดี แต่จำต้องออกมาตีหน้าเศร้าเล่นละครต่อไป
“ดีขึ้นไหมครับฟ้า ช่วงนี้อาเจียนอย่างนี้บ่อยรึเปล่า”
“บ่อยค่ะ...ฟ้าคงเริ่มแพ้” เรยามองท้องตัวเองแล้วมองเขาด้วยสายตาวิงวอนขอความกรุณา ซึ่งก้องเกียรติก็เข้าใจแต่ต้องการอธิบายให้เธอเข้าใจเขาด้วยเหมือนกัน
“ฟ้า...ฟังผมนะครับ เมื่อกี้ผมต้องโกหกภรรยาของผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากทำ ฟ้าอย่าก่อเรื่องให้ผมต้องโกหกหรือปิดบังอะไรภรรยาผมอีกได้ไหมครับ”
“คุณใหญ่จะพูดจริงทุกอย่างก็ได้นี่คะ”
“ทำไมฟ้าพูดอย่างนี้”
“ฟ้าขอโทษค่ะ ฟ้าพูดด้วยอารมณ์ อารมณ์ที่รักคุณใหญ่ เหลือเกิน จน...จนอดเสียใจไม่ได้ที่คุณใหญ่ไม่ได้มีใจให้ฟ้าเลยสักนิดเดียว”
ก้องเกียรตินิ่งสนิท นั่นยิ่งทำให้เรยาเสียใจ ก้มหน้าสะอื้นเบาๆ
“ฟ้าครับ...หยุดร้องไห้ก่อนเถอะครับ ผมมีความรู้สึกดีๆให้กับฟ้า...ในฐานะที่ฟ้ากำลังจะเป็นแม่ของลูกผม แต่ผมไม่ได้รักฟ้า ผมเคยบอกฟ้าแล้วว่า...ผมรักภรรยาของผม ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้รักคุณ”
ฟังแล้วเรยาฟิวส์ขาดทันที ฟูมฟายโวยวาย สองมือทุบตีเขาไม่ยั้ง
“ทำไมต้องพูดซ้ำซากว่าไม่รัก...ไม่รัก รู้แล้ว ฟ้ารู้อยู่เต็มอก ไม่ต้องตอกย้ำว่าคุณใหญ่ไม่รักฟ้า... รู้มั้ยว่าเสียใจ...เสียใจ”
ก้องเกียรติปัดป้อง แต่เรยาไม่ยอมหยุดพร่ำรำพัน มือก็ทั้งฟาดทั้งตีจนเขาต้องออกแรงรวบตัวเธอไว้ แล้วจังหวะนี้เอง เรยาก็ได้โอกาสดึงตัวเขาให้ล้มลงไปบนโซฟาด้วยกัน...
ooooooo
ค่อนข้างดึก เรยาขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านด้วยสีหน้าอิ่มเอมเปรมใจ แถมพอลงจากรถก็กางแขนโอบกอดแม่ลำยองที่ออกมาเปิดประตูรั้วให้
“กลับซะดึกเชียว แม่เป็นห่วงแทบแย่...หิวมั้ยลูก”
“อิ่ม...อิ่มที่สุดเลยแม่”
ลำยองเห็นลูกอารมณ์ดีมีรอยยิ้มก็พลอยดีใจไปด้วย... แต่ในเวลาเดียวกัน ก้องเกียรติกำลังทุกข์ใจแสนสาหัสขณะนั่งมองณฤดีที่หลับไปแล้ว เขาทั้งทุกข์ทั้งเสียใจที่ทำผิดต่อเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก แอบมีสัมพันธ์กับเรยาทั้งที่นิวซีแลนด์ ที่บ้านของเรยา และล่าสุดที่ห้องทำงานของเขาเอง
ยิ่งคิดก็ยิ่งทุรนทุรายในใจด้วยความผิดที่ตัวเองเคยทั้งเกลียดทั้งกลัว ปัญหาการมากชู้หลายเมียของบิดานั้น เขาเคยสาบานไว้ว่าจะไม่ทำ แต่บัดนี้เขากลับทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว...
เมื่ออัดอั้นตันใจจนถึงขีดสุด เขาถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่...ณฤดีขยับตัวแล้วลืมตาขึ้นเพราะได้ยินเสียงสะอื้นของสามี
“คุณใหญ่...เป็นอะไรคะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
ก้องเกียรติไม่ตอบแต่โอบกอดณฤดีไว้แน่น
“ไม่เป็นไรนะคะ...ไม่เป็นไร” ณฤดีลูบหลังเขาปลอบใจ
“ขอโทษนะครับ...คุณดี๋”
“คุณใหญ่” ณฤดีชะงักไปนิด พยายามจับสังเกต “แน่ใจนะคะว่าไม่อยากเล่าให้ดี๋ฟัง อย่างน้อยก็เป็นการระบาย เผื่อคุณใหญ่จะสบายใจขึ้นบ้าง ทุกข์ของคุณใหญ่ก็เหมือนทุกข์ ของดี๋”
“ขอบคุณครับ ผม...จะพยายามแก้ปัญหาเอง”
“ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้นะคะคุณใหญ่ แต่ถ้าแก้ไม่ได้จริงๆก็ต้องปล่อยให้มันเกิด เมื่อเราผ่านมันไปได้ มันก็จะกลายเป็นแค่อดีต แต่ไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต คุณใหญ่ยังมีดี๋อยู่เสมอนะคะ”
ทุกถ้อยคำของณฤดีทำให้ก้องเกียรติซาบซึ้งและรู้สึกผิดต่อเธอมากมาย เขาพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เพราะรู้ว่าปัญหาที่กำลังจะเกิดมันอาจจะทำให้ไม่มีณฤดีทั้งปัจจุบันและอนาคต
ooooooo
เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้เรยาย่ามใจและมีความหวังที่จะเขี่ยณฤดีออกจากชีวิตก้องเกียรติไปได้...
เย็นวันนี้เรยาตั้งใจไปดักเจอก้องเกียรติอีก แต่พอดีนัทโทร.มาหา เธอจึงปฏิเสธว่าไม่ว่าง มีนัดกินข้าวกับเพื่อน...เมื่อขับรถมาถึงหน้าบริษัทกลับกลายเป็นว่า
เรยามาช้าไปนิดเดียว ถูกณฤดีตัดหน้ามารับก้องเกียรติกลับบ้านไปต่อหน้าต่อตา
เมื่อผิดหวัง เรยานึกถึงนัท โทร.ย้อนกลับไปชวนเขาออกมากินข้าวด้วยกันในตอนค่ำ...นัทสังเกตเรยาหน้าหมองๆ แต่ก็ไม่กล้าถาม จนกระทั่งเรยาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเองว่า
“นี่...จะไม่ถามเหรอว่าเรามีเรื่องอะไร ถึงได้เรียกนัทมาด่วนอย่างนี้”
“ให้ถามเหรอ นึกว่าจะเรียกมาเป็นเพื่อนเฉยๆ แต่ขออย่างเดียว อย่าเล่าเรื่องทุกข์ร้อนที่ไปเป็นเมียน้อยเขานะ”
เรยาจ้องนัทเขม็งไม่พอใจ นัทสู้ตาไม่ละลด แล้วพอได้ยินเรยายอมรับว่าอยากเล่าเรื่องนั้นจริงๆ นัทถึงกับ
ลุกพรวดขึ้น วางเงินค่าอาหารแล้วเดินออกไปทันที
การกระทำของนัททำให้เรยาไม่พอใจสุดๆ เธอหยิบเงินของเขาขึ้นมาแล้วเอาเงินตัวเองวางไว้แทน ก่อนเดินจ้ำออกจากร้านไป พอเรยานำเงินนั้นไปคืนนัทถึงคอนโดฯนัทประชดว่า
“ลืมไปว่าพูดกับคนรวย” เห็นเรยายังยืนนิ่งไม่ขยับ นัทก็เลยไล่ทางอ้อม “มีอะไรก็พูดมาเลยฟ้า เราไม่มีเวลามาก คนจนต้องทำงาน”
“เราทุกข์ใจมาก อยากมีใครสักคนปลอบใจเรา กอดเราให้เรารู้สึกอบอุ่น” พูดขาดคำ เรยาโผเข้ากอดนัท แต่นัทไม่มีท่าทีใดๆตอบ แถมยังตอกย้ำให้เธอเจ็บจี๊ด
“อ้อมกอดของผัวชาวบ้านมันไม่อุ่นพอเหรอ”
เรยาผงะ...แล้วผลักอกนัทเต็มแรงก่อนผลุนผลันออกจากห้องไปอย่างหัวเสียสุดๆ พอกลับไปถึงบ้านเจอแม่ต้อนหน้าต้อนหลังถามไถ่ว่าหิวไหม แม่จะต้มข้าวต้มให้ เรยา
ไม่พูดไม่ตอบ เดินหน้าตูมขึ้นห้องล็อกประตูทันที
ooooooo
หลังจากเมื่อวานไม่ได้ติดต่อเรยาเลยทั้งวัน เช้านี้ก้องเกียรติแอบโทร.ไปบอกเรยาว่าเขาจะไปหาประมาณหลังเที่ยง เรยาดีใจมาก แล้วรีบจัดแจงส่งแม่ไปทำงานบ้านนายแหม่ม พร้อมกำชับให้แม่กลับตอนเย็น จะได้มากินข้าวพร้อมกัน
แต่แล้วความตั้งใจของก้องเกียรติก็มีอันต้องล้มเลิกเมื่อณฤดีชวนเขาไปหาอาม้า ซึ่งเขาไม่อาจปฏิเสธเธอได้ เพราะวันนี้เป็นวันหยุด แต่ยังดีหน่อยที่ณฤดีต้องออกไปซื้อของก่อน เขาจึงมีเวลาที่จะโทร.ไปบอกยกเลิกเรยา
แต่เพียรโทร.หลายครั้งก็ไม่มีคนรับ นั่นก็เพราะว่าเรยาออกไปธุระข้างนอกแล้วลืมมือถือไว้ที่บ้าน
เรยาไปที่คลินิกเพื่อเอาใบรับรองแพทย์ไปยื่นยืนยันการลางาน ตอนแรกเจ้าหน้าที่ที่จัดคิวงานทำท่าจะไม่ยอมเพราะมันกะทันหันมากหาคนแทนยาก แต่พอเห็นกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงที่เรยาเอามาติดสินบน เจ้าหล่อนก็ยิ้มหวานตอบตกลงทันที
ฝ่ายก้องเกียรติเมื่อโทร.ติดต่อเรยาไม่ได้จึงเปลี่ยนเป็นส่งข้อความไปบอกยกเลิกนัดวันนี้ แล้วจากนั้นเขาก็เตรียมตัวจะไปหาอาม้าพร้อมกับณฤดี
ส่วนที่บ้านเจ้าสัวเชง เช้านี้เจ้าสัวลงมาร่วมโต๊ะอาหารกับเมียทั้งสองคน แต่ไม่ทันจะลงมือ เม่งฮวยกับเยนหลิงก็มี ปากเสียงแขวะกันไปมาด้วยเรื่องอาหารแล้วเลยเถิดไปเรื่องลูกสาวของเยนหลิงที่เม่งฮวยตอกย้ำว่าเยนหลิงเป็นแม่ที่ไม่เอาไหน ลูกสาวถึงได้อายจนต้องหนีไป
“เรื่องอะไรมาว่าฉัน...ไม่ใช่เรื่องของคุณนายใหญ่ ลูกฉันเขารักฉัน เขาไม่ได้หนี เขาเรียนหนังสือที่อเมริกา”
“ฮึ...ไม่ล่ายหนี...แล้วอยู่หนายล่ะ อยู่เมืองอาลาย ตัวเอง ยังม่ายลู้” เม่งฮวยลอยหน้าลอยตาเยาะหยัน...เยนหลิงเถียงสู้ไม่ได้ กรี๊ดใส่อย่างเจ็บใจ
เสียงหัวเราะเยาะของเม่งฮวยและเสียงกรี๊ดของเยนหลิง ประชันกันอึงอลไปหมด จนเจ้าสัวทนไม่ไหวตวาดออกมาด้วยความรำคาญ
“หยุด! อั้วบอกให้หยุด!”
สองคุณนายหยุดกึก แต่ยังจ้องหน้ากันอย่างไม่ยอม
“ลื่อสองคนเป็นบ้าทั้งคู่ เจี๊ยะข้าวโต๊ะเดียวกัน ทะเลาะกันอยู่ได้ทุกวันๆ ไม่เห็นเว้นซักวัน”
ขณะนั้นซิลเวียเดินนวยนาดเข้ามา พอเห็นเจ้าสัวก็พุ่งไปหาด้วยความดีใจ โดยไม่สนอาจิวที่พยายามกางกั้น ซิลเวีย แสดงกิริยาฝรั่งจ๋าออดอ้อนและจูบแก้มเจ้าสัว ทำให้เม่งฮวยกับเยนหลิงหมั่นไส้รุมด่าซิลเวียกันใหญ่ เจ้าสัวทั้งเบื่อทั้งรำคาญ จึงปรามเยนหลิงด้วยสายตา เท่านั้นเองเยนหลิงก็ลุกขึ้นเดินออก จากโต๊ะอาหารไปด้วยความน้อยใจ ส่วนเม่งฮวยที่ยังไม่เลิกด่าซิลเวียก็ถูกเจ้าสัวไล่ให้กลับห้อง
“เฮีย...เฮียไล่อั้วต่อหน้านังอั้งม้อกุ๊ย เห็นอีดีกว่าเมียใหญ่ เหรอเฮีย อีกหน่อยอีก็กำเริบเสิบสานกะอั้ว”
“ลื่อเป็นเมียใหญ่ แต่หาเรื่องกับเมียเล็กๆตลอดเวลา... น่าเบื่อ”
เม่งฮวยจ้องหน้าเจ้าสัว...ความเสียใจแผ่ซ่านไปทั่วหน้า น้ำตาค่อยๆเอ่อขึ้นมาจนเต็มตา แล้วซมซานออกไปเงียบๆ ซิลเวียเห็นแล้วสะใจเป็นบ้า จีบปากฟ้องเจ้าสัวว่าบิ๊กมาดามชอบพูดไม่ดีกับตน
“พอ...อีเป็นเมียใหญ่ ลื่อต้องฟัง จำไว้” เจ้าสัวดุเสียงดังจนซิลเวียหน้าเจื่อน
ขณะเม่งฮวยจะกลับไปที่ห้อง ณฤดีกับก้องเกียรติมาถึงพอดี เม่งฮวยเห็นทั้งคู่ก็น้ำตาแตกทันที แล้วร่ำร้องขอให้ก้องเกียรติสาบานต่อหน้าณฤดีว่าจะไม่มีเมียสองเมียสาม เขาจะไม่ทำให้เธอช้ำใจเหมือนที่อาเตียทำกับอาม้า
ก้องเกียรติตะลึงงัน จิตใจปั่นป่วนจนพูดไม่ออก
“ผู้ชายมีเมียน้อย...เรื่องธรรมดา ผู้หญิงมีผัวน้อย... หยำฉ่า ผู้ชายขึ้นสวรรค์ ผู้หญิงตกนรก...คุงหลีเชื่อใจลูกชายอาม้านะ อีไม่ทำให้คุงหลีตกนรกแน่นอน” เม่งฮวยเสียงสั่น สะท้าน ณฤดีสงสารและเห็นใจขยับเข้ามากอดปลอบ ส่วนก้องเกียรตินั้นทุกข์ใจอย่างยิ่งแต่ต้องทำสงบนิ่งเอาไว้
ทางด้านเรยาที่สู้อุตส่าห์ดิ้นรนไปลางาน เมื่อกลับมาบ้านแล้วพบเห็นข้อความยกเลิกนัดในมือถือที่ก้องเกียรติส่งมา เรยาเจ็บแค้นแทบคลั่ง มั่นใจว่าณฤดีคือต้นเหตุของการยกเลิกนัดครั้งนี้
ooooooo
ด้วยความอาทรต่อลูกโดยไม่รู้ว่าถูกเรยาหลอก รุ่งขึ้นก้องเกียรติจึงนัดพบเรยาที่บ้าน และนำหนังสือ สัญญาจากเพื่อนไปให้เธอด้วย แต่จะเซ็นหรือไม่เซ็นขึ้นอยู่กับความพอใจของเธอ
ปรากฏว่าเรยาเลือกที่จะเซ็นชื่อในสัญญาฉบับนี้ทันทีที่อ่านเสร็จ ด้วยเหตุผลที่ว่า
“ฟ้าก็คิดเหมือนคุณใหญ่ว่ามันไม่สำคัญ แต่ใครก็ตามที่เขียนสัญญาฉบับนี้ขึ้นมาคงระแวงว่าฟ้าจะมาปอกลอกคุณใหญ่ ในเมื่อฟ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น ลายเซ็นนี้มันก็ไม่ได้มีความ หมายอะไร มันไม่สำคัญอะไรเลย อะไรที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป และที่มันเกิดขึ้นแล้วก่อนหน้านี้ มีเหตุผลเดียวและเป็นเหตุผลเดียวกันคือ...ฟ้ารักคุณใหญ่”
พูดแล้วเรยาก็นัวเนียซุกไซ้ก้องเกียรติด้วยอารมณ์เสน่หาจนเขาเคลิ้มและใจอ่อนอีกตามเคย...
แล้ววันหนึ่งก้องเกียรติก็ทำให้เรยาทั้งประหลาดใจและดีใจเป็นที่สุด เขาพาเธอไปดูห้องหรูหราภายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาตั้งใจซื้อไว้ให้ลูก
“ขอบคุณค่ะ คุณใหญ่เมตตาฟ้ากับลูกเหลือเกิน”
“วันนี้ผมจะพาฟ้าไปฝากท้อง”
เรยานิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง แล้วตอบเขาว่า “ฟ้าไปฝากแล้วค่ะ”
“อ้าว...ทำไมฟ้าไม่คอยผมล่ะครับ”
“ฟ้าไม่อยากรบกวนคุณใหญ่ค่ะ ไปเองได้ไม่ลำบากอะไร”
“เสียดายจริง ผมอยากทราบเหมือนกันว่าเวลาผู้หญิงไปฝากท้อง เขาต้องทำอะไรบ้าง”
“ก็...ฟ้าเกรงใจ”
“คราวหน้านะครับ คราวหน้าถ้าหมอนัดตรวจ พาผม ไปด้วย”
“ค่ะ” เรยารับคำเต็มเสียง แล้วมารยาออดอ้อนจะนอนกับเขาให้ได้ แต่คราวนี้ไม่สำเร็จเพราะก้องเกียรติยับยั้งใจตนเองไว้ได้
ooooooo
หลังจากเมื่อหลายวันก่อนทะเลาะกับเรยาค่อนข้างแรง นัทยังไม่ได้เจอเรยาอีกเลย ถึงเรยาจะทำตัวไม่ดียังไง แต่นัทก็ตัดเธอไม่ขาด ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่เสมอ
วันนี้นัทตัดสินใจไปหาเรยาแล้วพากันกลับมาคุยที่ห้องพักของนัทเอง
“ขอบใจนัทมากที่ไม่โกรธฟ้าเรื่อง...เงินค่าอาหารคราวก่อน ฟ้าแค่อยากเลี้ยง ไม่ได้ตั้งใจดูถูก และฟ้าก็ขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ฟ้าทำไม่ดีกับนัท ฟ้ายังทุเรศตัวเองเลย ถ้านัทจะโกรธฟ้ามันก็สมควร แต่นัทก็ไม่โกรธฟ้า”
“นัทโกรธ ใครว่าไม่โกรธ”
“อ้าว ถ้าโกรธแล้ววันนี้นัทไปหาฟ้าทำไม”
“เพราะนัทเป็นห่วงฟ้าไง บอกตามตรง ตอนนั้นนัทโกรธฟ้ามาก แต่ตอนนี้หายแล้ว”
“ทำไมหายล่ะนัท”
“ฟ้าไปถึงจุดนั้นแล้ว นัททำได้อย่างเดียวเท่านั้น...คือเข้าใจ จะผิดหรือถูกไม่รู้ล่ะ”
“ผิด” เรยาสวนคำทันที
“ไม่รู้...ไม่รับรู้ นั่นเป็นสิ่งที่ฟ้าตัดสินใจแล้ว นัทเป็นเพื่อนฟ้า ถ้าฟ้าทุกข์ ไม่สบายใจ นัทจะเป็นกำลังใจ ถ้าฟ้ามีปัญหา นัทก็จะเป็นที่ปรึกษา”
“นัทไม่ชอบพฤติกรรมของฟ้าไม่ใช่เหรอ”
“ก็ยังไม่ชอบอยู่ ไม่ชอบมากๆ ปัญหาวุ่นวายในสังคมที่มันเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราก็เพราะสามีภรรยาไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน แทนที่จะมีจุดยืนว่าจะมั่นคงไม่นอกใจกัน”
“แล้วทำไมยังคบฟ้าล่ะ”
“บางทีเราก็ต้องมองข้ามไปบ้างเวลาเพื่อนทำไม่ดี ไม่ใช่เลิกคบกันไปเลย ไม่งั้นก็คงไม่เหลือเพื่อนสักคนเดียว มีใครล่ะที่จะเฟอร์เฟกต์ไม่เคยทำอะไรผิด”
เรยามองหน้านัทนิ่ง สายตาไม่สบายใจล้ำลึก
“ไหนเล่าต่อซิ ที่ว่าเขาซื้อคอนโดฯให้ฟ้าน่ะ”
“เขาบอกว่าซื้อให้ลูก”
นัทตกใจแทบช็อก รับไม่ได้ที่เรยาปล่อยให้ท้อง ด่าเรยาอย่างสาดเสียเทเสีย แล้วยังด่าไปถึงผู้ชายคนนั้นที่นอกใจเมียตัวเองด้วย
เรยาโกรธจี๊ดแต่ก็ตอบโต้ไม่ถนัดเพราะมันเป็นเรื่องจริง จึงผลุนผลันจะกลับแต่นัทไม่ยอม
“ไม่ให้ไป...ฟ้าต้องฟังให้จบ ลูกของฟ้ากับผู้ชายเลวๆคนนั้นโตขึ้นเขาจะไม่มีศีลธรรม ไม่มีศักดิ์ศรี พร้อมที่จะผิดลูกผิดเมียคนอื่น”
“พอเถอะ...พอ” เรยาขอร้องทั้งน้ำตา
“ลูกผู้ชายเขาจะมีเมียน้อยกี่คนก็ได้เพราะเขาเห็นพ่อเขามี ลูกผู้หญิงจะยอมเป็นเมียน้อยได้ง่ายๆเพราะเขาเห็นแม่เขาเป็น พ่อแม่ที่เป็นตัวอย่างไม่ดีทำให้ลูกกลายเป็นคนมักง่าย สังคมจะเหลวแหลกเสื่อมลง”
“นัท...ด่ากันขนาดนี้ เลิกคบกันดีกว่า เลิก...เลิก...ไม่ต้องมาเห็นหน้ากันอีกชาตินี้”
“ก็ได้ ไม่ต้องคบกัน แต่นัทจะคอยดูอนาคตของฟ้ากับลูก จะคอยดูว่าครอบครัวของฟ้าจะทำลายสังคมได้ถึงขนาดไหน สังคมเสื่อมทรามแน่ถ้ามีคนอย่างฟ้ากับชู้ของฟ้า”
เรยากรี๊ดสุดเสียง โถมเข้าทุบตีนัทไม่ยั้ง และที่สุดเธอก็หลุดความจริงออกมาว่าไม่ได้ท้อง ไม่ได้จะมีลูก เธอแค่หลอกเขา ไม่งั้นเขาจะไม่ยอมรับ...
“เขาเชื่อ?”
เธอพยักหน้าแทนคำตอบ นัทนิ่งอึ้ง มองเธอด้วยสายตาทั้งผิดหวัง กล่าวโทษ และรังเกียจ
“อย่ามองอย่างนั้นได้มั้ย ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่หวัง ใครจะทำทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดี”
“ไม่ใช่ใครจะทำทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดี แต่ควรจะเป็นเพราะมันไม่ดี ไม่ว่าจะจำเป็นยังไงก็ไม่ทำ”
“ความจำเป็นของฟ้ามันมากกว่าอะไรทั้งหมดในโลก ฟ้าต้องทำ...ฟ้าต้องท้อง!”
“ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินอะไรที่น่ารังเกียจอย่างกับที่เรื่องแต่งขึ้นแบบนี้ ระหว่างแย่งสามีชาวบ้านกับหลอกผู้ชายว่าท้องให้เขายอมรับ ไม่รู้อะไรเลวกว่ากัน แต่อันที่จริง ฟ้าก็ทำทั้งสองอย่างใช่มั้ย”
“นัท...ฟ้ารักเขา...ฟ้ารักเขามาก ฟ้าต้องทำทุกอย่างให้เขาอยู่กับฟ้าให้ได้”
“ทำทุกอย่างของฟ้า อย่ารวมถึงเรื่องที่จะหาคนมาทำให้ฟ้าท้องแล้วกัน...ตามสูตรละครทีวี”
“ใช่...ฟ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ”
“บ้าแล้ว...บ้าจริงๆ ขอให้เราเป็นคนเดียวที่ได้ยินว่าฟ้าคิดจะทำเรื่องชั่วร้ายแบบนี้ เป็นเมียน้อย แถมมีลูกก็แย่แล้ว ถ้าลูกยังเกิดจากผู้ชายคนอื่นอีก...เลวสมบูรณ์แบบอย่างนี้...อย่าเป็นคนดีกว่า”
เรยาโกรธจนตัวสั่น ตบหน้านัทอย่างแรง
“ถามตัวเองนะฟ้า...ว่ายังเป็นคนอยู่รึเปล่า” นัททิ้งท้ายแล้วพรวดพราดออกไปสงบสติอารมณ์นอกห้อง ส่วนเรยาทรุดตัวลงร้องไห้จมกับความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ได้เหมือนขี่หลังเสือ
นัทเดินงุ่นง่านอยู่หน้าห้อง สักพักเรยาก้าวออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกลานัทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นัทยังรุ่มร้อนในใจ
“ฟ้า...ขอร้องนะ ถ้าภายในเวลาที่ฟ้าบอก...ยังไม่ท้อง ปล่อยเขาให้กลับไปหาเมียของเขา ขอเถอะนะฟ้า นัทรักฟ้า ไม่อยากให้ฟ้าทำอย่างนี้”
“ต้องขอทำไมนัท ถ้าฟ้าไม่ท้อง ฟ้าก็ต้องไปจากเขาอยู่แล้ว”
“หมายความว่า...ไม่ต้องดิ้นรนหาคนมาช่วยทำให้ท้อง”
เรยาพยักหน้าช้าๆ แต่นัทยังไม่เคลียร์ ถามทันทีว่าพยักหน้าหมายความว่าอะไร?
“อย่างที่นัทขอ” พูดจบเรยาหันหลังกลับ...เดินจากไปด้วยหัวใจที่ชอกช้ำ
ooooooo
ไม่กี่วันถัดมา เรยาก็ย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ในคอนโดฯที่ก้องเกียรติซื้อให้ โดยหลอกแม่ลำยองว่าเธอต้องไปเข้าเวรที่สำนักงานใหญ่ กลับมาค้างที่บ้านไม่ได้เป็นเดือนๆ และให้แม่บอกนายแหม่มด้วยว่าแม่ไปทำงานให้เขาไม่ได้อีกแล้ว
ลำยองเชื่อคำพูดลูกและรู้สึกเห็นใจนายแหม่มเพราะคนใช้ใหม่ยังไม่ค่อยเป็นงาน หลังจากเข้าไปบอกกล่าวนายแหม่มแล้ว ลำยองจึงช่วยสอนงานทุกอย่างแก่คนใช้ใหม่ ทั้งยังเน้นย้ำให้เขารู้คุณค่าในอาชีพของตน ไม่ว่าจะอาชีพอะไร ทุกคนก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด...
คอนโดฯที่อยู่ใหม่ของเรยาหรูหราและแพงมาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่เรยาไม่ได้มีความสุขกับสิ่งของนอกกายเหล่านี้นัก เธอต้องอยู่ลำพังคนเดียวอย่างหงอยเหงา ส่วนก้องเกียรติจะแวะมาดูแลเรยาก็ต่อเมื่อมีเวลาว่าง มาแล้วจะค้างไม่ได้ เขาต้องรีบกลับเพราะไม่อยากผิดเวลาให้ภรรยาที่บ้านสงสัย
ถึงแม้ก้องเกียรติจะระวังตัวแค่ไหน แต่เรยาก็มักจะทำให้เขาอึดอัดลำบากใจอยู่เนืองๆ เรยาชอบส่งข้อความไปหาเขาจนณฤดีเริ่มระแวง แม้แต่สมปองก็ยังสงสัยว่าพักนี้ทำไมคุณผู้ชายถึงดูวุ่นวายกับโทรศัพท์มือถือจัง บางทีก็เห็นหลบออกไปยืนคุยนอกบ้าน
เมื่อเจอหน้ากันทีไร เรยาจะแกล้งวิงเวียนไม่สบายให้ก้องเกียรติเห็น แล้วก็เอามาเป็นข้ออ้างเพื่อลาออกจากงาน ก้องเกียรติจึงพูดไม่ออก รู้สึกหนักใจกับภาระที่จะมาตกที่ตัวเองเต็มที่
ก้องเกียรติครุ่นคิดไม่สบายใจอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องเงินปันผลจำนวนมากที่เอาไปซื้อคอนโดฯให้เรยา วันนี้เขาจึงตามโจกับเต้มาพบแล้วขอร้องทั้งคู่ช่วยโกหกให้ตนด้วย
นับเป็นโชคดีของก้องเกียรติที่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า... เพราะวันถัดมา ณฤดีตั้งใจไปหาอาม้าแต่ถูกเยนหลิงพูดยุแหย่ให้คิดมาก เยนหลิงทำเป็นหวังดีเตือนณฤดีให้ระวังสามีจะนอกใจ เพราะนักธุรกิจหน้าตาดีมีเกียรติอย่างคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเชงมีแต่ผู้หญิงสนใจ ซ้ำผู้หญิงสมัยนี้ก็จับไม่เลือกเสียด้วยว่าผู้ชายจะโสดหรือไม่โสด อีกอย่างอาเตียของเขาก็มีเมียตั้งห้าคน ซึ่งเขาก็รู้เห็นมาตลอด จึงไม่แปลกที่เขาจะเอาเยี่ยงอย่าง
คำพูดทั้งหมดของเยนหลิงทำให้ณฤดีหวั่นไหว แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงออก ได้แต่กล่าวขอบคุณแล้วขอตัวไปพบอาม้า
เมื่อเห็นณฤดีสีหน้าไม่สู้ดี เม่งฮวยทักถามอย่างห่วงใยว่าเป็นอะไร มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า ณฤดีตอบเลี่ยงว่าไม่มีอะไร คงเป็นเพราะวันนี้รถติดมาก
“แล้วทำไมไม่ให้อาตั่วตี๋อีขับมาล่ะ”
ณฤดีบอกว่าคุณใหญ่ทำงาน หมู่นี้เขาต้องออกตรวจตลาดต่างจังหวัดบ่อย เม่งฮวยฟังแล้วคิดหนักเพราะเมื่อก่อนลูกชายไม่เป็นแบบนี้ ครั้นถามเรื่องเงินว่าเขาให้ขาดบ้างหรือเปล่า ณฤดีตอบหนักแน่นว่าเขายังให้เหมือนเดิม ให้เยอะจนเธอใช้ไม่หมด
“เอาไว้เยอะๆ ดีแล้ว เรามีสิทธิ์ อ้อ...เงินปันผลคราวนี้ ตั้งยี่สิบกว่าล้านนะ”
“หนูไม่ทราบค่ะว่ามีเงินปันผล”
“อาม้าได้หลายวันแล้ว ทำไมอาตั่วตี๋ยังไม่ให้คุงหลี ถามอี...ถ้าอีไม่ให้ อาม้าให้เอง”
“อาจจะใส่บัญชีแล้วมั้งคะ”
“ใส่บัญชีก็ต้องบอก เงินไม่ใช่สิบบาทยี่สิบบาท คุงหลีถามนะ อาม้าก็จะถามล่วย ถ้าอีไม่ให้ ไม่ต้องเอาเรื่องอี อาม้าจะให้คุงหลี ให้หมดเลย แล้วอาม้าจะเอาเรื่องอีเอง”
“โธ่...อาม้าขา อย่ามีเรื่องกับลูกชายเลยค่ะ”
“คุงหลีเอาเรื่องอาตั่วตี๋ไม่ได้หรอก ถ้าคุงหลีเอาเรื่อง...ก็คือไม่มีเรื่อง อาตั่วตี๋อีก็สบาย ต้องอาม้านี่...ซูสีไทเฮา”
เม่งฮวยจริงจังขึงขังมากด้วยความรักและเป็นห่วงลูกสะใภ้คนโปรด...แล้ววันหนึ่งก้องเกียรติก็ถูกเม่งฮวยเรียกตัวมาพบ และพูดกันต่อหน้าณฤดี
“คุงหลียังไม่ได้ถามอาตั่วตี๋เรื่องเงินปันผลใช่มั้ย”
“อาม้าคะ หนูไม่ได้อยากทราบเลยค่ะ คุณใหญ่เธอมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะใช้เงินของเธอ”
“อาตั่วตี๋ คุงหลีไม่ได้ฟ้องอั้วนะ อั้วถามเอง เอาไปไหน เงินตั้งเยอะตั้งแยะ”
“ให้เพื่อนขอยืมครับ เขาเดือดร้อนทางธุรกิจครับอาม้า เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา ถ้าไม่ให้...เราก็อาจพังไปด้วย”
“ใคร?”
“อาม้าไม่รู้จักหรอกครับ”
“อาโจ อาเต้...รู้มั้ย”
“ทราบครับ สองคนนั่นรู้ตลอด”
“อาม้าถามอีได้มั้ย ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ อั้วอยากให้คุงหลีได้ยิน ไม่งั้นอีก็ไม่เคยถามลื่อ”
“ผมต่อโทรศัพท์ให้อาม้าพูดกับเต้นะครับ” ก้องเกียรติแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อสายถึงเต้แล้วให้อาม้าคุยเอง โดยเปิดสปีกเกอร์โฟนให้ณฤดีได้ยินด้วย
“อาเต้...รู้เรื่องเงินปันผลของอาตั่วตี๋มั้ย”
“อ๋อ...ทราบครับอาม้า ก้องเกียรติเขาให้เพื่อนที่เดือดร้อนทางธุรกิจขอยืมครับ ถ้าไม่ให้กิจการของบริษัทอาจจะพังครับ เขาจำเป็นครับอาม้า อาม้ามีอะไรรึเปล่าครับ”
“เป่า...เป่า...ไม่มี ไม่มี ขอบใจมากนะอาเต้”
ก้องเกียรติกดวางสาย ณฤดีสบายใจขึ้น อาม้าก็เช่นกัน แต่ยังไม่วายตำหนิลูกชายอีกนิดว่าให้เพื่อนขอยืมเงินทำไมไม่ปรึกษาเมีย มันเงินของเขาด้วย...ณฤดีจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถูกเม่งฮวยยกมือห้ามเสียก่อน แล้วเม่งฮวยก็อบรมลูกชายอีกว่า
“อาเตียลื่อมีเมีย 5 คน ทุกคนเห็นบัญชีอาเตีย รู้ว่าให้ใครเท่าไหร่ อาเตียไม่เคยแอบให้ใคร ลื่อต้องทำให้เหมือนอาเตีย เฉพาะเรื่องเงิน...ไม่ใช่เรื่องเมีย”
“ครับ...ผมทราบ”
“อาตั่วตี๋ อาม้าพูดจิงๆนะ คุงหลีไม่ต้องกลัว อั้วนับแต่เมียที่อั้วแต่งให้ คนอื่นไม่เกี่ยว...อั้วไม่รับรู้ทั้งนั้น”
ณฤดียิ้มรับบางๆ รู้สึกซาบซึ้งใจในความรักและเมตตาของเม่งฮวยเหลือเกิน
ooooooo
เย็นมากแล้ว เรยาเริ่มหงุดหงิดที่ก้องเกียรติยังไม่มา พอได้ยินเสียงไขกุญแจ เรยาลุกพรวดไปรอหน้าประตู แล้วโถมเข้ากอดจูบเขาทันทีที่เขาก้าวเข้ามา
“คุณใหญ่ทำไมมาช้าจังคะ ฟ้าใจเสียนึกว่าคุณใหญ่จะปล่อยให้ฟ้าคอยอีกแล้ว”
“ผมมารับฟ้าไปโรงพยาบาลที่ฝากท้อง ฟ้าไปแต่งตัวสิครับ”
เรยาผงะเพราะไม่ทันตั้งตัว ค่อยๆเดินหายเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ครู่เดียวเธอก็กลับออกมาในชุดเดิม
“อ้าวฟ้า ทำไมไม่เปลี่ยนชุดล่ะครับ”
“คุณใหญ่คะ ฟ้าดูใบนัดของหมอแล้วค่ะ ยังไม่ถึงวันไปตรวจ อีกสองเดือนแน่ะค่ะ”
“ผมอยากให้ฟ้าหาหมอก่อนวันนัด วันนั้นผมเห็นคุณแพ้แล้วไม่ดีเลย น่าจะให้หมอตรวจดูซะหน่อย ฟ้ารับปากผมไว้ไงครับ”
“ฟ้าโทรศัพท์ปรึกษาหมอแล้วค่ะ หมอว่าเป็นปกติไม่ต้องวิตกค่ะ”
“งั้น...ผมจะกลับนะครับ”
“คุณใหญ่ ทำไมล่ะคะ”
“ผมควรจะถึงบ้านประมาณทุ่มหนึ่ง”
“อ้าว...แล้วถ้าไปหาหมอล่ะคะ”
“ผมก็คงจะไปช้านิดหน่อย สักสองทุ่ม”
“สามทุ่ม” เธอต่อรองด้วยแววตาเว้าวอน
“ฟ้าครับ...เราตกลงกันแล้วว่าผมจะมาหาฟ้าตามเวลาที่จะไม่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงอะไรที่บ้าน ถ้าฟ้าไม่ไปหาหมอผมก็ไม่จำเป็นต้องผิดเวลา ผมไม่อยากพูดปด”
“แล้วถ้าไปหาหมอ คุณใหญ่จะพูดความจริงหรือคะ”
“ผมจะบอกว่าผมพาเพื่อนไปหาหมอ”
“แล้วจะตอบนัง...เอ้อ...คุณณฤดีว่าเพื่อนคนไหนเป็นอะไรโดยไม่โกหก”
“ภรรยาผมไม่ช่างซัก ผมไม่ต้องตอบคำถามนั้น”
คำตอบธรรมดาๆ ไม่ได้ประชด แต่ทำให้เรยาโกรธจี๊ดจนอยากจะกรี๊ดออกมา แต่จำต้องเก็บกลั้นแล้วใช้มารยาหญิงประชิดตัวเขา
“อยู่อีกหน่อยนะคะ ฟ้ากลัวค่ะ...อยู่คนเดียว”
“จริงด้วย ทำไมฟ้าไม่พาคุณแม่มาอยู่เป็นเพื่อนล่ะครับ”
“อีกซักพักค่ะ เพราะบ้านโน้นต้องมีคนดูแล คุณใหญ่อย่าเพิ่งกลับนะคะ”
“ก็ได้ ผมจะอยู่สักครู่”
เรยาลอบยิ้มแล้วพาเขาไปที่โซฟา จากนั้นก็ระดมจูบซุกไซ้เขาอย่างรวดเร็วเร่าร้อน พอจะเลยเถิด ก้องเกียรติหยุดตัวเอง แต่เรยาไม่ยอม
“ไม่ค่ะคุณใหญ่...ไม่...ฟ้ารักคุณใหญ่ รักเหลือเกิน ไม่เคยรักใครอย่างนี้มาก่อน”
เรยาเป็นฝ่ายปลุกปล้ำเขา และหวังว่าคราวนี้ตนจะท้องสมใจเสียที แต่แล้วเรยาก็ผิดหวังอีกตามเคย เพราะหลังจากวันนั้นเธอก็มีรอบเดือนเหมือนเดิม...เรยาเครียดและวิตกกังวล กลัวว่านานวันเข้าก้องเกียรติจะรู้ความจริง
เมื่อทุกข์ใจเรยาไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใครนอกจากนัทคนเดียว แม้นัทจะไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของเธอมาตลอด และล่าสุดทั้งคู่ก็ทะเลาะกันรุนแรงจนนัทเองยังคิดว่าเรยาอาจจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว...แต่วันนี้ เรยาได้มายืนอยู่หน้าห้องของนัทแล้ว
“ไม่ให้เข้าเหรอ” น้ำเสียงเรยาแผ่วเบาน่าสงสาร
นัทไม่ตอบแต่เปิดประตูให้กว้างขึ้น เรยาเข้ามานั่งได้ครู่เดียวก็ร่ำไห้อย่างไม่อาย แถมระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวทุบตีตัวเองอย่างคับแค้นใจที่ไม่ท้องเสียที
“เข้าใจมั้ย...ไม่ท้อง เพราะเขาไม่มา เขาไม่มา เขากลัวเมีย ไม่ยอมผิดเวลากับเมีย ไม่ยอมโกหกเมีย ฟ้าถึงไม่ท้อง... ไม่ท้อง!”
“เขาก็ทำถูกแล้ว” นัทกล่าวนิ่งๆ เรยาหันขวับมาจ้องนัทตาขวาง
“นัท...ยังเป็นเพื่อนกันอยู่รึเปล่า ฟ้ามาถึงจุดที่เข้าตาจนแล้ว ฟ้ามีทางเลือกอื่นมั้ย ทำไมไม่เข้าใจเห็นใจกันบ้าง”
“ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่ ก็เป็นแค่เมียเขาแบบนี้ อย่ามีลูก เบื่อกันเลิกกันเมื่อไหร่จะได้ไม่กระทบถึงเด็กตาดำๆ”
“ไม่...ต้องท้อง...ต้องท้องให้ได้ นัทช่วยหน่อยสิ” เรยาไม่พูดเฉยๆ ปราดเข้ามาถึงเนื้อตัวนัท แต่นัทไม่เล่นด้วย ถอยหนีอย่างชิงชัง
“ไม่นึกเลยว่าฟ้าจะขอให้นัทร่วมมือทำอะไรชั่วๆแบบนี้ นัทพยายามจะไม่โกรธและเข้าใจว่าคนเราพอหลังชนฝาทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ฟ้ามาขอให้นัทช่วยแบบนี้ แสดงว่าฟ้าไม่รู้จักนัทเลย”
“นัท...นัทรักฟ้าไม่ใช่เหรอ...ช่วยฟ้าด้วย”
“กลับไปเลยฟ้า แล้วอย่าขอให้ใครทำอะไรที่เลวและบาปแบบนี้อีก เพราะมันน่าละอายต่อเขาของฟ้า และเด็กที่ฟ้าจะทำให้เกิดมาจากผู้ชายชั่วๆที่ยอมร่วมมือกับฟ้า”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)