วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554
มนต์รักแม่น้ำมูล ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
ณ ใต้ต้นคูนริมฝั่งแม่น้ำมูล ดวงอาทิตย์กำลัง จะลับขอบฟ้า แสงสีทองฉาบท้องน้ำเป็นประกายระยิบ ระยับดูสวยงามยิ่งนัก แต่บรรยากาศเช่นนี้พิณกลับยืนมองด้วยสีหน้าหม่นหมอง ครุ่นคิดถึงอดีตที่ผ่านมา
ยิ่งคิดถึงเรื่องที่กำลังจะสูญเสียเดือน หญิงคนรักซึ่งเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เป็นดังลมหายใจที่ทำให้รู้ว่าชีวิตของเขายังดำเนินอยู่และเป็นคนเดียวที่เขาจะคิดถึงยามอ่อนล้า ยิ่งทำให้เขาท้อแท้หงายหลังทิ้งตัวลงน้ำอย่างสิ้นหวัง ปล่อยให้ร่างดำดิ่งสู่ก้นแม่น้ำเหมือนจำนนต่อโชคชะตา
แต่แล้วพิณกลับได้ยินเสียงกระซิบจากแม่น้ำมูลบอกให้เขาทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อเป็นแบบอย่างและถ่ายทอดสิ่งดีงามให้แก่เด็กๆซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขา พิณได้สติ สำลักน้ำ ทะลึ่งพรวดขึ้นสู่ผิวน้ำสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ รู้แล้วว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไร พลันภาพในอดีตผุดเข้ามาในความคิดคำนึงของพิณ...
วันนั้น พิณกับเดือนนอนคุยกันอย่างมีความสุขใต้ต้นคูนริมแม่น้ำมูลต้นเดิม เดือนทวงถามเรื่องที่พิณจะให้ผู้ใหญ่มาคุยกับพ่อแม่ของเธอเรื่องเราสองคน พิณหน้าสลดเล็กน้อย พลิกตัวนอนหงายมองท้องฟ้า
“พี่เป็นแค่ครูช่วยสอน อาศัยนอนใต้ถุนโรงเรียน ไม่มีสมบัติพัสถาน...ไม่รู้พ่อแม่เดือนจะว่าอย่างไร”
“เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่งงานแล้วเราค่อยช่วยกันหาก็ได้”
พิณไม่อยากให้เดือนต้องมากัดก้อนเกลือกิน แต่แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ ยิ้มดีใจ เมื่อเดือนก่อนเขาไปสอบครูเอาไว้ ถ้าได้บรรจุเมื่อไหร่ จะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเธอทันที แล้วนึกสนุก ลุกขึ้นตะโกนไปยังแม่น้ำมูลเบื้องหน้า
“ลูกขอสัญญาต่อหน้าแม่มูล หากวันใดที่ลูกได้เป็นครู ลูกจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเดือน”
หญิงสาวเขินอายรีบลุกขึ้นห้าม แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ พิณป้องปากตะโกนเสียงลั่น ว่ารักเดือนมากอยากแต่งงานกับเธอจนแทบจะรอไม่ไหว สองหนุ่มสาวยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ต่างช่วยกันสลักรูปหัวใจและชื่อของทั้งคู่ลงบนต้นคูณไว้เป็นพยานแห่งรัก จากนั้น พิณถีบรถจักรยานมาส่งเดือนที่บ้านของเธอ
“พรุ่งนี้พี่ต้องคุมนักเรียนไปงานแห่พระเวส...เจอกันนะเดือน”
“เดี๋ยวฉันจะแกงผักหวานไข่มดแดงไปเผื่อ” สองหนุ่มสาวมองสบตากันด้วยความรักเต็มหัวใจ
ooooooo
เช้าวันงานแห่พระเวส เสียงดนตรีดังกระหึ่มไปทั้งหมู่บ้าน ขบวนแห่นำโดยวงดนตรีแม่มูลลำเพลิน ซึ่งประกอบด้วย คำแปง หัวหน้าวงและเป็นนักร้องนำฝ่ายหญิง แคน หนุ่มหมอลำอารมณ์ดีเป็นนักร้องนำฝ่ายชาย บุญเหลือ บุญหลาย และชาวคณะเป็นลูกคู่ ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน
ขบวนฟ้อนรำ เซิ้งกันมันหยด พิณพาเด็กนักเรียนร่วมเซิ้งกับพวกชาวบ้าน ขณะที่เดือนเซิ้งกับพ่อและแม่ของเธอ ตามมาด้วยขบวนพระแล้วต่อด้วยองค์สมมติพระเวสสันดรและนางมัทรีที่นั่งมาบนเสลี่ยง ปิดท้ายด้วยขบวนเครื่องบูชาที่ประดับบนบั้งไม้ไผ่อย่างสวยงาม
ไม่นานนัก แคนเดินนำขบวนแห่พระเวสมาถึงบริเวณวัด พิณเข้าไปเซิ้งกับเดือนโดยพ่อกับแม่ของเธอมองห่างๆ ไม่ค่อยชอบใจ ขบวนแห่มาถึงหน้าอุโบสถ องค์สมมติพระเวสสันดรและนางมัทรีลงจากเสลี่ยง เป็นจังหวะเดียวกับเพลงแห่จบพอดี ผู้เฒ่าผู้แก่เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง จับมือแคนด้วยความเอ็นดู บางคนก็แบ่งอาหารที่เอามาทำบุญให้ คำแปงร้องบอกทุกคนว่า
“สนุกกันแล้วก็อย่าลืมเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วย เราจะอยู่สร้างความสุขให้พวกท่านนานๆ”
“แรงเงินของพวกท่าน คือแรงใจของพวกเรา” บุญเหลือเสริม
ชาวบ้านพากันเจียดเงินคนละเล็กละน้อยเป็นค่าแสดงให้แคนและคำแปง แคนเห็นคำหล้ายืนคุยกับเพื่อนอยู่ไม่ไกล จึงปลีกตัวออกไป...
ขณะเดือนกำลังยกปิ่นโตใส่อาหารที่เตรียมมาจะไปให้พิณ เพ็งแม่ของเดือนเข้ามาขวาง ดึงลูกสาวออกมานอกศาลาการเปรียญ บอกให้รู้ว่าพ่อกับแม่ต้องการให้เดือนไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เพื่อนของเพ็งชื่อแสวงกับอัญชลีไม่มีลูก อยากจะรับเดือนเป็นลูกบุญธรรมและจะส่งเสียให้เรียนต่อสูงๆ
เดือนอิดออดไม่อยากไป อยากเรียนที่นี่มากกว่า จะได้ช่วยพ่อกับแม่ทำมาหากินไปด้วย ที่สำคัญอีกไม่นานพิณ จะได้เป็นครูและเธอกับเขามีแผนจะแต่งงานกัน เพ็งฉุนขาด
“ที่แท้ที่ไม่อยากไปก็เพราะเป็นห่วงไอ้พิณนี่เอง...มันก็แค่ครูช่วยสอน อาศัยกินนอนอยู่ใต้ถุนโรงเรียน พ่อแม่ก็ไม่มี ทำไมต้องเอาชีวิตไปฝากไว้กับมันด้วย”
“พี่พิณไม่ได้เป็นแค่ครูช่วยสอน แต่เขาเป็นคนที่เดือนรักและอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย แม่ไม่มีสิทธิ์ไปว่าพี่พิณอย่างนั้น” เดือนเริ่มเดือดปุดๆ
สองแม่ลูกโต้เถียงกันอย่างรุนแรง เดือนไม่พอใจที่แม่มาก้าวก่ายชีวิตตนเอง ส่วนเพ็งก็ไม่ชอบใจที่ลูกแข็งข้อ ตัดสินใจใช้ไม้แข็ง สั่งห้ามเดือนยุ่งเกี่ยวกับพิณเด็ดขาด และให้เตรียมตัวไปกรุงเทพฯ ถ้าไม่ยอมทำตาม ก็ไม่ต้องมาเรียกตนว่าแม่อีกต่อไป จากนั้น เพ็งตามไปเล่นงานพิณ สั่งห้ามเขาติดต่อกับเดือนอีก
เธอต้องการให้ลูกไปเรียนต่อกรุงเทพฯ จึงไม่อยากให้มีอะไรมาทำให้สับสน พิณมองอย่างงงๆ เดือนตามเข้ามาต่อว่าแม่ที่พูดจาไม่ดีกับพิณ เพ็งไม่พอใจมากฉุดแขนเธอลากกลับบ้าน เดือนขอร้องให้บุญพ่อของเธอช่วย เขากลับบอกให้ทำตามที่แม่สั่ง แล้วหันมาขอร้องพิณช่วยพูดให้เดือนยอมไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ
“จะให้ผมทำอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อเราสัญญาว่าจะแต่งงานกัน”
บุญขอให้พิณเห็นแก่อนาคตของเดือน ลำพังเงินเดือนครูช่วยสอนจะทำให้ลูกสาวของเขามีความสุขได้อย่างไร พิณถึงกับอึ้ง มองตามบุญไปด้วยความปวดร้าวใจ
ooooooo
อีกมุมหนึ่งของวัด คำหล้าโบกมือลาเพื่อนๆ พอหันกลับมาจ๊ะเอ๋กับแคนที่ยืนทำหน้าทะเล้นอยู่ เธอขยับจะเดินหนี แคนรีบวิ่งมาดักหน้า พูดจาหยอกล้อสนุกปาก เลยถูกเธอตบหนึ่งฉาดแถมด่าว่าไอ้หมาแคน
“นี่เธอว่าพี่เป็นหมาหรือคำหล้า...ถ้าเป็นหมาก็ต้องไล่กัดคนนะสิ” แคนยิ้มหน้าเป็นแล้วโดดใส่ทันที
คำหล้าร้องลั่นรีบวิ่งหนี มัวแต่เหลียวหลังมองแคนที่วิ่งไล่ตาม จึงไม่ทันเห็นรถมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้าหา ดีที่แคนดึงตัวเธอหลบได้ทัน แต่ก็เสียหลักล้มกลิ้งไปด้วยกัน คำหล้าอยู่ในอ้อมแขนแคน ทั้งสองคนมองสบตากันนิ่งงันราวกับทั้งโลกจะหยุดหมุน คำหล้าต้องหลบสายตาด้วยความเขินอาย ทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นว่า
“อยู่ในวัดแท้ๆ แกยังกล้าก่อเรื่องบัดสีขนาดนี้เลยหรือวะ ไอ้แคน”
คำหล้ากับแคนลุกพรวด หันมองตามเสียงเห็นศรีไพร นักเลงใหญ่แห่งลุ่มแม่น้ำมูล ลูกคนเดียวของเถ้าแก่เส็งยืนอยู่กับสมุนคู่ใจสองคนชื่อไอ้ดำและไอ้ขาว คำหล้าพยายามอธิบาย ให้ศรีไพรเข้าใจ แต่เขากลับพูดจาดูถูก เธอเลยตบสั่งสอนหนึ่งฉาด ศรีไพรไม่พอใจกระชากแขนคำหล้าเข้ามาใกล้ แคนทนดูต่อไปไม่ไหว
สองหนุ่มเลยวางมวยกันโดยไม่สนใจคำห้ามปรามของคำแปง ศรีไพรใช้วิธีหมาหมู่สั่งให้สองสมุนช่วยกันล็อกแขนแคนไว้อัดเสียน่วม พิณมาเห็นพอดีรีบวิ่งเข้าไปห้าม ไอ้ขาวกับไอ้ดำเลยหันมาเล่นงานพิณแทน แต่สู้เขาไม่ได้ถอยกรูด ด้านศรีไพรชักมีดขึ้นมาหมายจะจัดการแคนขั้นเด็ดขาด คำหล้าเห็นท่าไม่ดีตะโกนลั่นว่าตำรวจมาๆ ศรีไพรผงะด้วยความตกใจ เอามีดชี้หน้าแคน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ...ไปเว้ย” ศรีไพรตะโกนเรียกสองสมุน แล้วพากันเผ่นแน่บ...
ที่ริมแม่น้ำมูล เขียว ขุนทองกับครูตะวันจอดเรือซุ่มดูเรือดูดทราย พอเห็นออกมาดูดทรายนอกพื้นที่สัมปทาน ครูตะวันสั่งให้ชาวบ้านที่จอดเรือซุ่มดูอยู่ด้วยกันล้อมกรอบพวกนั้นทันที แทนที่เรือดูดทรายจะเกรงกลัว กลับแล่นเข้าใส่กลุ่มเรือของ ครูตะวัน ทุกคนพากันโดดลงน้ำหนีตายอลหม่าน ครูตะวันหนีตาย ท่าไหนไม่รู้ หัวแตกเลือดอาบ ขุนทองรีบว่ายน้ำขึ้นฝั่ง ไปตาม แคนกับพิณที่วัด
ครู่ต่อมา พิณกับแคนรีบพาครูตะวันไปส่งสถานีอนามัย ครูตะวันกลัวถูกเย็บแผลร้องลั่นดิ้นพราดๆไม่ยอมท่าเดียว แต่พอได้ยินเสียงหวานๆกับหน้าสวยๆของสายไหม พยาบาลสาวที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ แต่ใครๆมักจะเรียกเธอว่า “หมอไหม” ครูตะวันกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำท่าทีขึงขังยอมให้เย็บแต่โดยดี แต่ทันทีที่เข็มฉีดยาชาแทงถูกเนื้อ เสียงร้องโอ๊ยของครูตะวันดังลั่น พิณกับแคนพากันขำกลิ้ง...
หลังจากทำแผลเรียบร้อย ครูตะวันออกมารอรับยาด้วยสีหน้าเขินๆที่เผลอร้องเสียงดังไปหน่อย สายไหมจ่ายยาแก้อักเสบกับแก้ปวดให้ ครูตะวันออกลายทันที ถามว่าเธอชื่ออะไร
“สายไหมค่ะ...จะเรียกสั้นๆว่าหมอไหมก็ได้” สายไหมส่งยิ้มหวานให้
ครูตะวันถึงกับเดินตาลอยออกมาหน้าสถานีอนามัย เพ้อถึงสายไหมให้แคนกับพิณฟังว่าคนอะไรก็ไม่รู้ หวานทั้งชื่อหวานทั้งคน แคนกระเซ้าว่าอย่างนี้ครูตะวันคงต้องหาเรื่องหัวแตกบ่อยๆ ครูตะวันหันขวับ
“หัวแกน่ะสิ...ว่าแต่คุณหมอเพิ่งมาอยู่ที่นี่ใช่ไหม...ฉันไม่เคยเห็น”
“ใช่ครู เห็นว่าเพิ่งย้ายจากกรุงเทพฯยังไม่ถึงเดือนเลยมั้ง ว่าแต่ครูถามทำไม” พิณเหล่ครูตะวัน
แคนสงสัยครูตะวันจะแอบชอบสายไหมเข้าให้แล้ว ครูตะวันเกลียดคนรู้ทัน หาไม้ไล่ตีแคนแก้เขิน
ooooooo
เถ้าแก่เส็งโกรธจัดตบหน้าลูกชายตัวดีอย่างแรงเมื่อรู้เรื่องที่เขาไปก่อไว้ ศรีไพรแก้ตัวว่าไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เถ้าแก่เส็งไม่สนใจใครจะเริ่มก่อนเริ่มหลังแต่การไปมีเรื่องในวัด เกิดชาวบ้านไม่พอใจขึ้นมาแจ้งตำรวจจับจะยุ่งเปล่าๆ เดี๋ยวพาลมาเล่นงานเขาเรื่องดูดทรายนอกสัมปทานแล้วจะทำอย่างไรกัน
“นั่นมันเรื่องของเตี่ย” ศรีไพรโต้อย่างไม่ยอมแพ้ เถ้าแก่เส็งโกรธแทบควันออกหู
“แล้วที่ลื้อมีกินมีใช้ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะเงินนี่เหรอ...อั๊ว ขอสั่งลื้อเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ให้ลื้อไปก่อเรื่องที่ไหนอีก ไม่ อย่างนั้น อั๊วนี่แหละจะเป็นคนลากคอลื้อเข้าตะรางเอง” เถ้าแก่เส็ง มองหน้าลูกชายเขม็ง
ศรีไพรถึงกับอึ้ง เดินหน้าบอกบุญไม่รับออกมา เจอสองสมุนคนสนิทถีบโครมกระเด็นไปคนละทิศละทาง โทษฐานเอาเรื่องที่วัดไปฟ้องเตี่ย ไอ้ดำกับไอ้ขาวรีบปฏิเสธว่าไม่ใช่ พวกตน ลูกพี่น่าจะไปสงสัยคนอื่นที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มากกว่า ศรีไพรสีหน้าครุ่นคิด...
ที่บ้านของคำแปง แคนช่วยคำแปงนับเงินที่เก็บมาได้ ขณะที่บุญเหลือ บุญหลาย และชาวคณะร่วมวงดนตรีนั่งทำความสะอาดเครื่องดนตรีของตน แคนขอโทษคำแปงและทุกคน ถ้าไม่มีเรื่องกับศรีไพรเสียก่อน พวกเราคงได้เงินมากกว่านี้ จังหวะนั้น ศรีไพรตามมาหาเรื่องแคนหาว่าคาบเรื่องที่วัดไปฟ้องเตี่ยของเขา
“ฉันไม่ได้ฟ้อง...คนเห็นกันทั้งวัดจะต้องมีใครไปฟ้องด้วย”
คำแปงช่วยแคนแก้ต่างอีกแรง แต่ศรีไพรไม่เชื่อ พาลถีบโต๊ะเก้าอี้ในบ้านคำแปงกระจุยกระจาย แคนฮึดฮัดจะเอาเรื่อง คำแปงรั้งไว้ ศรีไพรขู่ไม่ให้คำแปงมายุ่ง แล้วชี้หน้าแคน
“ถ้าเอ็งยังเป็นผู้ชายอยู่ก็อย่าหลบอยู่หลังผู้หญิง มาดวลกันตัวต่อตัวให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย”
“เลิกทำตัวเป็นหมาบ้าสักทีได้ไหมพี่ศรีไพร...ฉันนี่แหละเป็นคนไปฟ้องพ่อพี่เอง”
ศรีไพรหันไปมองตามเสียง เห็นคำหล้าถือลูกประคบเดินเข้ามา คำหล้าขู่ศรีไพรว่าถ้าไม่เลิกทำตัวแบบนี้ เธอจะไปฟ้องเถ้าแก่เส็งอีก แล้วขยับจะทำตามคำขู่ ศรีไพรเจ็บใจมาก อาฆาตแค้นแคนไว้ก่อนจะพาพวกล่าถอยกลับไป แคนขอบใจคำหล้าที่ช่วยพวกตนไว้ แล้วถามว่ามาถึงที่นี่มีธุระอะไร
“เมื่อกลางวันพี่ต้องมาเจ็บตัวเพราะฉัน ฉันก็เลยเอาลูกประคบมาให้” คำหล้าว่าแล้วยื่นลูกประคบให้
แคนจับมือเธอไว้ ทำตาหวานใส่ “รู้หรือเปล่า ความห่วงใยเป็นบ่อเกิดของความรัก”
“แต่ความกะล่อนจะเป็นจุดจบของคนอย่างพี่” คำหล้าผลักแคนออกอย่างไม่พอใจ แคนแกล้งร้องโอดโอย หญิงสาวตกใจรีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง พอรู้ว่าถูกหลอก กระทืบเท้า เขาอย่างแรงก่อนจะเดินหนี
แคนร้องลั่น ตะโกนไล่หลัง “ไม่รักแล้วทำไมต้องเป็นห่วงด้วย”
คำหล้ายืนยันไม่มีวันรักเขาแน่ๆ แล้วหันมาแลบลิ้นใส่ แคนหัวเราะชอบใจ ตะโกนไล่หลังอีก “ถึงวันนี้เธอจะยังไม่รักพี่ แต่วันหนึ่งพี่จะทำให้เธอรักให้ได้...คอยดู”
ooooooo
พิณได้รับจดหมายแจ้งผลสอบครูจากครูตะวันแต่เช้า รีบฉีกซองอ่าน แล้วผลุนผลันออกจากโรงเรียนตรงไปหาเดือนซึ่งกำลังจะลงเรือไปหาปลากับคำหล้า เขายื่นซองจดหมายให้ เดือนอ่านแล้วยิ้มดีใจ
“พี่พิณสอบได้”
“ใช่...พี่กำลังจะได้เป็นครูๆ” พิณคว้ามือเดือนไว้ “ไปบอกพ่อกับแม่เดือนกันเถอะ พี่ไม่ใช่แค่ครูช่วยสอนอีกต่อไปแล้ว พี่กำลังจะได้เป็นครูจริงๆ” พิณยิ้มหน้าบาน เดือนกลับชะงัก เกรงจะไม่ง่ายอย่างนั้น
“ถ้าพี่ไปพูดพ่อแม่คงไม่ยอมฟัง แถมจะยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่าฉันไม่ยอมไปเพราะพี่ ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันก็แค่ส่วนหนึ่ง” เดือนวางแผนให้พิณไปขอร้องครูตะวันช่วยเป็นธุระเรื่องนี้ให้...
ในเวลาต่อมา ครูตะวันรับหน้าที่เป็นเถ้าแก่มาสู่ขอ เดือนให้พิณ พยายามพูดโน้มน้าวบุญยอมให้เด็กทั้งสองแต่งงานกัน ส่วนเรื่องที่เรียนของเดือน เดี๋ยวนี้เรียนที่ไหนก็เหมือนกันไม่จำเป็นต้องไปกรุงเทพฯ แต่บุญไม่ยอม เขากับเพ็งตัดสินใจจะส่งเดือนไปอยู่กับเพื่อนของเพ็งที่กรุงเทพฯ
“แล้วทำไมต้องห้ามมันสองคนคบกัน หรือแกรังเกียจที่ไอ้พิณมันจนไม่มีพ่อไม่มีแม่”
“ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น แต่ฉันไม่อยากให้เดือนสับสน มันจะได้ตั้งใจเรียน”
“แล้วแกเคยถามเดือนไหมว่ามันอยากไปหรือเปล่า”
บุญถึงกับอึ้ง ครูตะวันอยากให้บุญถามลูกก่อน ถึงจะเป็นความหวังดีของพ่อแม่ แต่เด็กก็น่าจะมีสิทธิตัดสินใจเองบ้าง บุญคิดคล้อยตาม เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพ็ง แต่เพ็งยืนยันเสียงแข็งเดือนต้องไปกรุงเทพฯ
“แต่ลูกโตแล้ว เราน่าจะพูดความจริงกับลูก อย่างน้อยมันจะได้ไปด้วยความเข้าใจไม่ใช่ความน้อยเนื้อต่ำใจว่าพ่อแม่ไม่รัก”
เพ็งกระแทกตะหลิวในมือ ไม่พอใจ “จะให้บอกเรื่องเงิน 8 หมื่นที่พี่ไปเอาของเขามาน่ะหรือ”
บุญเหลือบเห็นเดือนยืนน้ำตาคลอฟังอยู่ก็ตกใจ เดือนเพิ่งรู้ซึ้งที่แท้พ่อกับแม่ขายเธอให้คนกรุงเทพฯ นี่เอง บุญพยายามอธิบายว่าลูกเข้าใจผิด เพ็งกลับพูดสวนขึ้นทันทีว่า
“รู้อย่างนี้ก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องพูดให้มากความ บอกมันไปเลยว่าเราขายมัน มันจะได้รู้ว่าพ่อกับแม่ลำบากแค่ไหน จะได้เลิกเอาแต่ใจตัวเอง ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่พ่อแม่บ้างไม่ใช่อยู่กับผู้ชาย หากบหาเขียดกินไปวันๆ”
“ที่เดือนอยากอยู่ที่นี่ก็เพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของเดือน แล้วที่สำคัญเดือนอยากจะอยู่ดูแลพ่อแม่ แต่ถ้าเงิน 8 หมื่นมันบังตาจนแม่เห็นสิ่งที่เดือนทำเป็นแค่กบเขียด เดือนก็จะไม่กลับมาให้แม่เห็นอีกต่อไปแล้ว”
เดือนน้ำตาไหลพรากวิ่งออกจากบ้านด้วยความเสียใจน้อยใจ บุญต่อว่าเพ็งไม่น่าจะพูดแบบนี้แล้ววิ่งตามลูก เพ็งน้ำตาซึมทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง...
พอพิณรู้จากคำหล้าว่าเดือนทะเลาะกับพ่อแม่ หายออกจากบ้านไปตั้งแต่บ่ายจนค่ำ ป่านนี้ยังไม่กลับ ที่บ้านเป็นห่วงเกรงเดือนจะฆ่าตัวตาย พิณรีบตรงไปยังบ้านของเดือน ทันทีที่เพ็งเห็นหน้าพิณ ปรี่เข้าไปตบอย่างแรงจนหน้าหันโทษว่าที่เดือนเป็นแบบนี้เพราะพิณยุยงส่งเสริม แล้วตามเข้าไปทุบตีเขาอุตลุด
พิณได้แต่ยืนนิ่งไม่ตอบโต้ บุญต้องเข้ามาลากตัวเพ็ง ออกมา จังหวะนั้น แคน บุญเหลือกับบุญหลายกลับจากตามหาเดือน แต่ไม่เจอที่ไหนสักแห่ง บุญเหลือปากเสีย โพล่งขึ้นว่าเหลือแต่ในแม่น้ำมูลที่เดียวที่ยังไม่ได้ลงไปงม แคนต้องหันไปเอ็ด บุญเหลือรู้ตัวรีบหุบปากเงียบ พิณนึกอะไรขึ้นมาได้ ผลุนผลันออกไป
ไม่นานนัก พิณมาถึงต้นคูนริมแม่น้ำมูล เห็นรองเท้าของเดือนถอดทิ้งไว้ ร้องเรียกเธอลั่น กวาดตามองไปริมแม่น้ำเห็นเดือนทำท่าจะกระโดดน้ำตาย เขาปราดเข้าไปรวบตัวเธอไว้ เดือนดิ้นรนจะฆ่าตัวตายให้ได้
พิณระเบิดอารมณ์อย่างเหลืออด “ทำไมเธอถึงเห็นแก่ตัวขนาดนี้ จำได้ไหมเราเคยสัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ถ้าเธอเป็นอะไรไปแล้วพี่จะอยู่อย่างไร...ถ้าเธอยืนยันจะตายให้ได้ งั้นเราก็ตายด้วยกัน” พิณทำท่าจะกระโดดลงน้ำ เดือนกอดเขาไว้แน่น สัญญาจะไม่ฆ่าตัวตายอีกแล้ว
“ถ้าเธอไม่อยากเห็นพี่ขาดใจตาย ก็บอกพี่ ทำไมถึงทำอย่างนี้”
เดือนเล่าเรื่องทั้งหมดให้พิณฟังด้วยความเศร้า พิณปลอบให้ใจเย็นๆก่อน บางทีพ่อกับแม่ของเดือนอาจไม่ได้คิดจะขายเดือนก็ได้หรือบางทีท่านทั้งสองอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่บอกเดือนไม่ได้
“บอกไม่ได้ก็แสดงว่าไม่ใช่เหตุผลที่ดี พี่ต้องช่วยฉันนะพี่พิณ ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
พิณสงสัยจะให้ช่วยอย่างไร เดือนอยากให้เขาพาหนี ...หลังจากวางแผนเสร็จสรรพ พิณพาเดือนไปส่งบ้าน บุญดีใจโผกอดลูกแน่น ถามด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“ไม่เป็นอะไร...ฉันตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปกรุงเทพฯ” เดือนตอบเสียงเย็นชาแล้วเดินเข้าบ้าน เพ็งมองตาม แปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของลูก
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่บุญรู้ว่าเดือนเก็บเสื้อผ้าหนี ออกจากบ้านไปแล้ว เขารีบตรงไปหาพิณที่โรงเรียน...
ด้านพิณเก็บเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นยัดใส่กระเป๋าอย่างรีบร้อน เดินออกจากห้องพักใต้ถุนโรงเรียนเจอครูตะวันพอดี พอเขารู้ว่าพิณจะพาเดือนหนีไม่สนใจจะเป็นครูอีกต่อไปก็ทักท้วง
“เดี๋ยวก่อนบักพิณ ถ้าแกไม่ไปรายงานตัวครั้งนี้ก็เท่ากับสละสิทธิ์”
พิณไม่สนใจ ขยับจะเดินต่อ แต่ต้องหยุดกึกเพราะบุญยืนขวางทางไว้ พิณรู้ว่าเขามาตามหาเดือน รีบเดินหนีไม่อยากเสวนากับคนขายลูกกิน บุญไม่เคยคิดจะขายลูกทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดและที่เขาห้ามพิณกับเดือนคบกันก็เพื่ออนาคตของทั้งคู่ การที่เดือนไปกรุงเทพฯ ไม่ได้หมายความว่าความรักสิ้นสุด ถ้าพิณกับเดือนรักกัน
จริง เวลาและระยะทางก็ไม่ใช่อุปสรรค พิณมีท่าทีอ่อนลง แต่ยังไม่ยอมบอกว่าเดือนอยู่ไหน
บุญทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าพิณ “บอกฉันมาเถอะบักพิณ เดือนอยู่ไหน จะให้ฉันทำอย่างไรก็ยอม...ปล่อยเดือนไปเถอะ ฉันขอร้อง” บุญว่าแล้วร้องไห้ พิณรีบเข้าไปประคองสีหน้าหนักใจ ในที่สุด พิณตัดสินใจเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บเปลี่ยนเสื้อชุดใหม่เตรียมไปรายงานตัว...
ฝ่ายเดือนนั่งหน้าเศร้ารอพิณอยู่ใต้ต้นคูณต้นเดิมอย่างสิ้นหวัง รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา ก้มลงคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าหันกลับมาเจอบุญยืนมองอยู่ เดือนโผซบหน้าร้องไห้กับอกพ่อ จากนั้น สองพ่อลูกพากันกลับบ้าน เพ็งเห็นลูกกลับมา ดีใจมาก แต่ทำไม่สน แดกดันลูกว่าถูกผู้ชายทิ้งใช่ไหมถึงได้ซมซานกลับมา
“พี่พิณไม่ได้ทิ้งฉัน” เดือนเถียงเสียงแข็ง
“แล้วกลับมาที่นี่ทำไม นัดกันไว้ไม่ใช่เหรอ”
เดือนฉุกคิดขึ้นมาได้ หันไปถามพ่อ รู้ได้อย่างไรว่า เธออยู่ที่นั่น บุญอึกๆอักๆ เดือนปรี่เข้าไปถามคาดคั้นพ่อไปพูดอะไร พี่พิณถึงไม่ไปตามนัด เพ็งทนฟังไม่ได้สวนขึ้นอย่างมีอารมณ์
“จะไปโทษพ่อทำไมในเมื่อไอ้พิณไม่ยอมมา ก็แสดงว่ามันไม่ได้รักแกจริง...เตรียมตัวเก็บของไปกรุงเทพฯได้แล้ว เดี๋ยวจะมีคนมารับ” เพ็งกระชากเดือนเข้ามาใกล้ เดือนไม่พอใจมากที่แม่บังคับให้ไปกรุงเทพฯ ด้วยอารมณ์ชั่ววูบเผลอผลักแม่แรงไปหน่อยจนล้ม บุญโกรธจัด ตบหน้าเดือนเปรี้ยง
“ไอ้ลูกทรพี...ทำไมทำกับแม่อย่างนี้ รู้ไหมแม่แกไม่สบาย”
“อย่าพี่บุญ...อย่าบอกลูก” เพ็งร้องห้ามเสียงหลง
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วจะปิดมันอีกทำไม หรือต้องรอให้มันเป็นลูกทรพีฆ่าแกก่อนแกถึงจะยอมพูด...รู้ไหม แม่แกเป็นมะเร็ง...มะเร็งเม็ดเลือด ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
เดือนตกใจ ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน บุญเล่าความจริง ทั้งหมดให้ลูกฟัง ส่วนเงิน 8 หมื่นบาทนั่น ลุงแสวงให้ไว้ใช้ เป็นค่ารักษาเพ็ง เขากับเมียต้องการรับเดือนเป็นลูกบุญธรรม ต่อให้เดือนต้องไปในฐานะคนรับใช้ก็ต้องไปเพื่อตอบแทนบุญคุณพวกเขา เดือนน้ำตาไหลพราก แม่ป่วยแบบนี้จะให้เธอทิ้งไปได้อย่างไร
“เรื่องเดียวที่แม่เป็นห่วง ก็คือเรื่องเรียนต่อ ทำให้แม่ ได้ไหมเดือน”
เดือนพยักหน้าแทนคำตอบ โผกอดแม่ร้องไห้โฮ เพ็งลูบหัวลูกอย่างอ่อนโยน บุญขอให้เดือนตั้งใจเรียนไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ปล่อยให้เรื่องดูแลแม่เป็นหน้าที่เขา...
ศรีไพรยังเจ็บแค้นแคนไม่หาย พาไอ้ขาวกับไอ้ดำใช้ผ้าคลุมอำพรางใบหน้าดักรอทำร้ายแคนระหว่างทางกลับบ้านคำแปงพร้อมกับพวกนักดนตรี ศรีไพรสู้กับแคนตัวต่อตัว ส่วนไอ้ดำกับไอ้ขาวคอยกันพวกที่เหลือไม่ให้เข้าไปช่วยแคน คำแปงคิดว่าพวกศรีไพรเป็นโจรปล้นทรัพย์ เสนอจะให้เงิน แต่อย่าทำร้ายพวกตน
แคนบอกให้คำแปงหนีไป พวกนี้ไม่ต้องการเงิน คำแปง เห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือ เจอคำหล้าผ่านมาพอดี คำหล้ารู้ว่าแคนถูกทำร้ายรีบตามไปช่วย...
ศรีไพรพลาดท่าถูกแคนล็อกตัวได้ กำลังจะดึงผ้าคลุมหน้าออก เป็นจังหวะเดียวกับคำหล้าวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ แคนละสายตาไปมอง ศรีไพรได้ทีศอกกลับจนหน้าหงาย ผ้าคลุมหน้าหลุดติดมือแคนไปด้วย เผยให้เห็นใบหน้าแท้จริง ศรีไพรเจ็บใจชักปืนออกมายิงใส่แคน คำหล้าโดดขวางกระสุนพุ่งเข้าอกถึงกับทรุดฮวบ
แคนปรี่เข้าไปประคองเธอไว้ ศรีไพรยืนตะลึง คาดไม่ถึง ว่าคำหล้าจะรักแคนขนาดนี้ เพิ่งรู้ว่าตัวเองรักคำหล้าข้างเดียว แค้นใจเล็งปืนใส่แคนอีก คำหล้าขอร้องอย่าทำร้ายแคน ถ้าจะยิงให้ยิงเธอ พอศรีไพรหันปืนเล็งคำหล้า แคนก็ขอร้องให้ยิงเขาแทน ศรีไพรเล็งปืนใส่แคนสลับกับคำหล้าจนสับสน หันปืนไปทางอื่น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างโล่งใจ แคนประคองคำหล้าจะส่งไปโรงพยาบาล ศรีไพรเห็นภาพบาดใจ เฮี้ยนขึ้นมาอีก
“วันนี้พวกแกสองคนย่ำยีหัวใจฉันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ดี...ในเมื่อพวกแกสองคนรักกันมาก ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้” ศรีไพรเล็งปืนใส่ทั้งคู่ พลันมีเสียงตำรวจพูดผ่านโทรโข่งสั่งให้ศรีไพรวางอาวุธ ศรีไพรมองตามเสียงเห็นเตี่ยตัวเองยืนอยู่กับคำแปงและพวกตำรวจ เถ้าแก่เส็งรำคาญแย่งโทรโข่งจากตำรวจมาพูดเอง
“ไม่ได้ยินที่ตำรวจพูดหรือไงไอ้ลูกเวร...วางปืนลงเดี๋ยวนี้”
เถ้าแก่เส็งเห็นลูกชายเงอะๆงะๆ เอาโทรโข่งยัดใส่มือตำรวจ แล้วเดินเข้าไปหา แทนที่จะพูดดีๆ กับลูกกลับด่าไฟแลบ ศรีไพรไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทั้งกลัวทั้งสับสน เลยหันปากกระบอกปืนจ่อขมับตัวเอง เถ้าแก่เส็งตาเหลือก ตรงเข้ายื้อแย่งปืน ทันใดนั้น ปืนลั่นเปรี้ยงกระสุนเจาะท้องเถ้าแก่เส็งเลือดอาบ ทรุดลงกับพื้น ศรีไพรยืนตะลึง ตำรวจสบช่องพุ่งล็อกตัวศรีไพรไว้ได้ และช่วยนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
ooooooo
ขณะรถสองแถวที่พิณนั่งเข้าเมืองจอดรับคนที่ ศาลาริมทาง มีชายท่าทางภูมิฐานลงจากรถเก๋งคันโก้ เข้ามาถามทางไปบ้านบุญ คนขับรถสองแถวหันมาถามผู้โดยสารอีกทอดว่ามีใครรู้จักทางบ้าง
“ขับเลียบแม่มูลไป เจอแยกแล้วก็เลี้ยว”
ชายคนนั้นขอบใจคนบอกทาง เดินกลับไปขึ้นรถที่จอด ฝั่งตรงข้าม พิณเพิ่งสังเกตเห็นป้ายทะเบียนรถคันนั้นเป็นป้ายกรุงเทพฯ ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคงอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีเดือน รีบกดกริ่งให้รถสองแถวจอด คว้ารถจักรยานของใครไม่รู้ จอดอยู่ แถวนั้น ถีบตามรถของคนกรุงเทพฯไป...
ในเวลาเดียวกัน คำหล้าบาดเจ็บสาหัสถูกนำตัวเข้าห้อง ฉุกเฉิน แคนจะตามเข้าไปด้วย แต่พยาบาลห้ามไว้ เขาได้แต่ มองตามอย่างสิ้นหวัง...
พิณปั่นจักรยานอย่างรวดเร็วลัดเลาะไปตามทางท้องทุ่ง พอถึงถนนใหญ่ เห็นรถของคนกรุงเทพฯแล่นตามหลังมาไกลๆ พิณยิ้มดีใจ แต่ล้อรถจักรยานดันสะดุดหิน ทั้งคนทั้งรถกลิ้งไม่เป็นท่า ได้แต่มองรถของคนกรุงเทพฯแล่นผ่านไปอย่างเจ็บใจ รีบยันตัวลุกขึ้นพอทิ้งน้ำหนักลงเท้าต้องทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
ชายหนุ่มกัดฟันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เห็นเข่าตัวเองเป็นแผลเหวอะหวะ ข่มความเจ็บปวดขึ้นรถจักรยานขี่ตัดถนนลัดไปอีกทาง โชคไม่เข้าข้าง กว่าพิณจะปั่นจักรยานไปถึงบ้านบุญ เดือนก็ไปไกลแล้ว
“เดือนฝากจดหมายนี่ไว้ให้” บุญยื่นซองจดหมายให้ แล้วพาเพ็งเข้าบ้าน พิณเปิดจดหมายออกอ่าน
“เมื่อพี่เปิดอ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันคงอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ตัวฉันเองก็ไม่รู้จัก...แต่พ่อกับแม่บอกว่ามันเป็นหนทางไปสู่ ความสำเร็จ มันจะทำให้ชีวิตฉันมีความสุข ถึงฉันไม่รู้ว่าความสุข ที่ท่านพูดหมายถึงอะไร แต่ฉันก็รู้ว่าท่านทำด้วยความรักความ ปรารถนาดี...ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำตัวเป็นลูกที่ดี ทำอะไรเอา แต่ใจตัวเองจนเกือบจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แต่มันก็ทำให้ฉันรู้ว่าความรักที่แท้จริงคืออะไร
ฉันรู้ว่าการเป็นครูสำคัญกับพี่มากแค่ไหน ฉันก็คงทำได้ แค่อวยพรให้พี่ทำตามความฝันตัวเองสำเร็จ เป็นครูได้ตามที่ตั้งใจ ส่วนตัวฉันเองก็จะตั้งใจเรียนหางานดีๆทำ ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง แม้หนทางระหว่างเราจะห่างไกลกันออกไปทุกที จนฉันไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ หรือจะต้องจากกันอย่างนี้ตลอดไป
แต่ฉันก็อยากให้พี่รู้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะไม่มี วันลืมพี่ จะเก็บความทรงจำดีๆของเราไว้ในใจตลอดไป...ลาก่อน พี่พิณ คนดีของฉัน...เดือน ดารา”
พิณน้ำตาไหลพรากไม่รู้ตัว คว้าจักรยานมาขี่อย่างบ้าคลั่งลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำตัดขึ้นถนนใหญ่ เหมือนต้องการระบายความอัดอั้น ทันใดนั้น มีเสียงแตรรถสิบรถบีบดังลั่น ก่อนที่พิณจะรู้ตัว ร่างของเขานอนตาลอยเหมือนคนไร้ความรู้สึกอยู่บนถนน รถจักรยานล้มตะแคงอยู่ข้างทาง ผู้คนค่อยๆเดินเข้ามามุงดู
ooooooo
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น