ตอนที่ 7
เสาวรสกลับถึงบ้านในตอนกลางคืน พระศัลย์ฯ เอาจดหมายกับสร้อยเงินของภาคินัยมาถามว่าทำไมทิ้งของอย่างนี้ เธอบอกว่าเพราะไม่ต้องการ อะไรที่ตนอยากได้ก็ต้องได้ และอะไรที่ตนไม่อยากได้ ก็ต้องพ้นทางไป แล้วถามพ่อว่าเรื่องพิศเรียบร้อยแล้วใช่ไหม
พระศัลย์ฯไม่ตอบแต่เดินหน้าเครียดกลับห้อง เพราะเอาพิศมาซ่อนไว้ที่นั่น บอกพิศให้กลับไปเสีย ตนสงสารแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ พิศแค้นใจมากด่าแกมต่อว่าอย่างรุนแรงว่า สัญญาว่าจะจัดการให้แล้วทำไมตนต้องกระเด็นออกไปอย่างนี้ "นึกอยากเอาฉันเป็นเมียก็หักโหมข่มขืนฉัน ต่อพอ..."
พระศัลย์ฯขัดขึ้นทันทีว่าตนไม่ได้ข่มขืน เมื่อพิศเถียงก็ถูกไล่ให้ออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้เลย
"ได้ แต่อย่าลืมว่าลูกสาวท่านยังมีคดีติดตัวอยู่ อยากเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ก็ได้" ว่าแล้วฉวยกระเป๋าลงไป เสาวรสยืนมองอยู่ถามว่าจะไปแล้วใช่ไหม พูดแล้วหลีกทางให้
แต่พอพิศจะไป เสาวรสมาดักที่ห้องรับแขก มีเพื่อนบ้านที่ชื่อชนะยืนอยู่ด้วย
เสาวรสบอกชนะว่าขอให้เป็นพยานเรื่องคนใช้จะลาออกด้วย แล้วขอค้นกระเป๋าพิศอ้างว่าเพื่อความแน่ใจว่าพิศไม่ได้ขโมยอะไรไปด้วย แต่เธอแอบเอาสร้อยทองเส้นเขื่องใส่ในกระเป๋า
ทำทีค้นครู่เดียวก็โวยวายว่าพิศขโมยสร้อยทอง เอาให้ชนะดูเพื่อเป็นพยาน พิศรู้ทันโกรธจัดจะเข้าไปตบถูก
พระศัลย์ฯปรามว่าอย่าแตะต้องลูกสาวตนเด็ดขาด
พิศหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านไปด้วยความแค้น
ooooooo
นายสุขนอนเฝ้ารุจเผลอหลับไป รุจลุกไปห้องน้ำ เขาเซล้มเพราะนอนนานทรงกายไม่ดี พอนายสุขรู้สึกตัว วิ่งไปดู ตกใจมากร้องเรียกอารยาให้มาช่วย อารยาวิ่งจากห้องมาช่วยประคองรุจ ถามนายสุขว่าหลับไปหรือ แกรับเสียงอ่อยว่าเผลอหลับไป
“ถ้าคุณรุจล้มหัวชนอ่างหรือกระแทกพื้นหัวแตก
จะทำยังไง” อารยาตำหนิ เธอพยายามประคองรุจกลับไปที่เตียง ด้วยความยากลำบากเพราะตัวเขาใหญ่กว่ามาก นายสุขจะเข้ามาช่วย เธอบอกว่าไม่เป็นไรเพราะไม่ถนัด แล้วค่อยๆ ประคองเขาไปจนถึงเตียงจนได้
รุจขอบใจมากที่ช่วยตน แต่พออารยาจะกลับเขาถามว่าจะไปไหน อารยาดูนาฬิกาบอกว่าตีสามแล้ว เขาเลยบอกเสียงอ่อยๆว่าไปนอนเถอะ แต่พอเธอจะไปจริงๆ เขาเกิดหิวน้ำขึ้นมาอีก ร้องขอน้ำดื่มหน่อย พออารยาเอาน้ำมาให้ เขารับไปดื่ม เสร็จแล้วถามอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า
“เมื่อไหร่ชาลีจะเรียนจบ”
อารยางงๆ กับคำถามนี้ จนกระทั่งวันต่อมาเธอไปเล่าให้วัฒนากับชาลีฟัง ชาลีถามอย่างหงุดหงุดว่าตีสามแล้วทำไมถึงยังต้องไปดูแลเขา นายสุขไปไหน ถูกวัฒนาถามดักคอว่ารุจถามแค่นี้ทำไมต้องโมโหด้วย สุดท้ายชาลีเดาว่ารุจคงอยากจะคุยเล่นกับอารยามากกว่า
“เจ้าชายมัมมี่นี่นะ จะคุยเล่นกับน้อย” วัฒนาทำหน้า ไม่เชื่อ
อารยาตัดบทถามชาลีว่าอยากทานเม็ดบัวไหม ชาลีพาซื่อบอกว่าอยาก เลยพากันพายเรือไปที่ดงบัวเก็บเม็ดบัว ทานจนชาลีลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจไปชั่วขณะ
ส่วนเสาวรสแทรกเข้ามาดูแลรุจเองแต่เพราะไม่เคยดูแลรับใช้ใคร ทำอะไรก็เก้ๆกังๆไปหมด ซ้ำยังทำน้ำซุปหกรดเลอะเทอะขณะป้อนรุจ จะเช็ดตัวให้ก็ทำน้ำหกใส่อีก จนรุจมองไปทางประตูเหมือนหาใคร เสาวรสเดาใจเขาได้มองอย่างไม่ชอบใจ
เมื่ออารยากับชาลีกลับเดินคุยกันมาอย่างสดชื่น เสาวรสก็พยายามชี้ให้เขาเห็นความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันของทั้งสองจนรุจต้องชี้แจงว่า บ้านของตนกับบ้านของชาลีอยู่ใกล้กัน พวกตนเล่นกันมาแต่เด็กแล้ว
เมื่อทำให้รุจโกรธไม่ได้ เสาวรสพาเขาเข้าห้องแล้วตัวเองก็ไปหาชาลีกับอารยาที่กำลังเดินหอบดอกบัวกลับมา เธอเข้าไปพูดกระแนะกระแหนว่าท่าทางมีความสุขกันจริง แล้วประกาศตัวว่า ต่อไปตนจะดูแลรุจเอง เคหาสน์สีแดงนี้ตนก็จะมาเป็นร่มเงาให้มดปลวกได้อาศัย เธอเจาะจงพูดกับอารยาแล้วเดินไป อารยาฟังออกว่าเสาวรสจงใจพูดให้ตนสำเหนียกและเจียมตัวว่าต่างกับเธอราวฟ้ากับดิน
ooooooo
ความลุ่มหลงเสน่ห์เสาวรส ทำให้ภาคินัยนับวันยิ่งหุนหันพลันแล่นกับคนงานและแม้แต่กับน้องๆ สุดท้ายเมื่อเขาสั่งงานลวกๆ แล้วก็เก็บกระเป๋าเดินทางเข้าพระนคร มิไยว่าภคินีจะทักท้วงอย่างไรก็ไร้ผล เมื่อภคินีย้ำว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนดี เขาก็เสียงเขียวใส่ว่ารู้ได้อย่างไร ภคินีบอกว่าตนไม่ได้ตาบอด
“ตาไม่บอดแต่ใจแคบ น้องใจแคบไม่ยอมมองคนที่พี่รัก เพราะฉะนั้นต่อไปไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของพี่อีก” ภาคินัยตะคอกใส่น้องแล้วหิ้วกระเป๋าออกเดินทางทันที
ภาคินัยอารมณ์ขุ่นมัวจนแม้ระหว่างนั่งรถไฟไปหาคนรักก็ยังครุ่นคิดหน้าเครียด
ooooooo
ก่อนกลับไปโรงเรียน ชาลีคิดถึงอารยาต้องการให้เธอคิดถึงตนด้วย ลงเรือจ้ำพายไปลา ไปถึงไม่เจอเธอก็ร้องตะโกนเรียก จนแม่ละม่อมกับแม่พินออกมาตำหนิ มีแต่แม่พร้อมที่เป็นใจให้อยู่แล้วอนุญาตขึ้นไปหาอารยาที่กำลังดูแลรุจอยู่
แม่พินโวยวายว่าต้องให้อารยาอนุญาตเท่านั้น ก็พอดีอารยาวิ่งลงมา เพราะรุจบอกว่าเพื่อนเธอมาตะโกนเรียกให้ลงไปหา เธอบอกว่าจะลงไปบอกให้เงียบแล้วจะรีบขึ้นมาดูแลเขาต่อ เธอขอโทษแทนชาลีอย่างรู้สึกผิด
“ชาลี วันหลังอย่าตะโกนลั่นบ้านอย่างนี้นะ ที่บ้านผู้ใหญ่เยอะแยะตกใจกันไปหมด” อารยาตำหนิ
ชาลีหน้าเสียและแล้วเขาก็คุกเข่าลงจับมืออารยาเงยหน้ามองเอ่ยขอโทษสัญญาว่าต่อไปจะมาเงียบๆ แล้วนึกขึ้นได้บอกว่า “คุณน้อย ชาลีต้องไปโรงเรียนแล้ว ไปส่งชาลีที่ท่าน้ำนะ”
อารยาไม่ทันตั้งหลัก ชาลีก็จูงมือเธอวิ่งไปทางท่าน้ำโดยไม่รู้ว่ารุจมองอยู่ตลอดเวลา ระหว่างทางสายรองเท้าของอารยาหลุดชาลีรีบก้มลงติดให้ รุจยืนมองครู่หนึ่งก็จะกลับเข้าห้อง รู้สึกปวดศีรษะจึงถอดแว่นวางนวดตรงหว่างคิ้ว ส่วนอารยาส่งชาลีที่ท่าน้ำเร่งให้เขารีบไปตนจะรีบขึ้นบ้าน
เมื่อชาลีไปแล้วอารยารีบขึ้นบ้านผ่านหน้ามุขเธอผ่อนฝีเท้าลง ได้ยินเสียงรุจร้องถามว่าใครอยู่ตรงนั้นให้เข้าไปหาหน่อย กลายเป็นอารยาเข้าไป เขาถามว่าชาลีไปแล้วหรือ
เธอบอกว่าไปแล้ว ถามว่าทำไมมานั่งตรงนี้ และร้องเรียกเมื่อครู่นี้ต้องการอะไรหรือ
“ฉันอยากอ่านหนังสือนี่สักหน่อย แต่แย่จริงไม่รู้ลืมแว่นตา เสียที่ไหน” รุจบ่นทั้งที่เขาเพิ่งถอดวางไว้ที่ระเบียงเมื่ออึดใจนี่เอง อารยามองไปเห็นแว่นตาบอกว่าอยู่ตรงนี้เองแล้วจะไปเอาให้
เธอหมุนตัวเร็วจนเสียหลักจะล้ม รุจรีบช่วยประคองร่างต่อร่างแนบชิดจนลมหายใจถึงกัน อารยาใจเต้นระทึกตัวแข็งตะลึงอยู่ในอ้อมแขนเขา
ooooooo
รุจมองอารยาหน้าเครียด ถามประชดว่าไปทำอะไรมาถึงได้หมดแรง เธอตอบซื่อๆว่า ไม่ได้หมดแรงแต่สะดุด เขามองเธออย่างชิงชัง จับผิดบอกให้ไปได้แล้วตนไม่ต้องการอะไรแล้วพลางหยิบหนังสือขึ้นอ่านเหมือนไม่มีอารยาอยู่ตรงนั้น แต่มือยังกำปากกาแน่น
ขณะนั้นเอง แม่พร้อม แม่สื่อแม่ชักที่ลุ้นให้อารยารักกับชาลี เข้ามาบอกพร้อมต้นไม้เล็กๆ มีดอกสวยว่า “คุณชาลีฝากมาค่ะ บอกว่าลืมให้คุณน้อย คุณชาลีฝากบอกให้คุณน้อยสดใสเหมือนดอกไม้”
อารยาขอบคุณ ไม่เห็นว่ารุจขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เธอได้ยินเสียงขยับตัวจากเก้าอี้ เลยรีบชวนแม่พร้อมออกไป รุจมองตามหน้าเครียด โยนหนังสือไว้บนโต๊ะเดินออกไปมือยังกำปากกาแน่น
รุจตั้งใจเดินมาเพื่อจะดูว่าอารยาไปหาชาลีหรือเปล่า พอดีผ่านรูปอัมพาเขาหยุดจ้องเขม็งแล้วขว้างปากกาใส่รูปอัมพาอย่างแรง อารยาแอบดูอยู่เธอตกใจหน้าเสียรีบเดินผละไปเงียบกริบ
หลังจากนั้นรุจก็ตรงไปโทรศัพท์ถึงท่านขุนฯ พูดเสียงเครียดว่า
“ท่านขุนฯครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
ooooooo
ไม่นานขุนประจญคดีก็มาถึง รุจบอกว่า มีเรื่องเกี่ยวกับพินัยกรรม ท่านขุนฯถามอย่างคาดหวัง ว่าเรื่องเกี่ยวกับการแต่งงานกับอารยาใช่ไหม
รุจพยักหน้าว่าใช่ แต่บอกว่ามันเป็นเรื่องที่จะไม่มีวันเกิด ขึ้นแน่นอนเพราะ “อีกคนคงไม่ยอม” เห็นท่านขุนฯทำหน้างง รุจถามตรงๆ ว่า “ท่านขุนทราบหรือเปล่าว่าอารยามีคู่รักอยู่แล้ว ชาลี ผมเห็นเด็กสองคนนี้สนิทสนมกันมาก”
ท่านขุนฯชี้แจงว่า ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็ก เวลาอารยาไม่สบายใจ นอกจากแม่ๆทั้งสามแล้ว ก็บ้านพนาเวส นี่แหละที่เธอจะไปหา เพราะคุยกันรู้เรื่อง รุ่นราวคราวเดียวกัน อีกทั้งชาลีเป็นคนสนุกสนาน ทำให้อารยาพลอยมีความสุขไปด้วย
“อ้อ...อารยาจึงไปหาความสุขกับคนที่ชอบพอกัน ในขณะที่อยู่บ้านแล้วไม่มีความสุขกับคนในบ้านงั้นรึ” รุจประชดในทันที
ไม่ว่าท่านขุนฯจะชี้แจงอย่างไร รุจก็ตะแบงโยงชาลีกับ อารยาให้เป็นคนรักกันให้ได้ สุดท้ายท่านเลยบอกว่า ไม่ต้องห่วง อีกหน่อยชาลีก็เรียนจบแล้ว และก็ต้องเป็นทหาร
“อารยาก็จะได้เป็นภรรยานายทหารเรืองั้นรึ” รุจถาม ประชด
ท่านขุนฯ อ่านอารมณ์ของรุจออก ยิ้มอย่างรู้ทัน แล้ว พูดสบายๆว่า
“เด็กสองคนนี้ หลายคนคิดว่าเหมาะสมกันมาก แต่ในสายตาผมคิดว่าคู่แต่งงานที่อายุไล่เลี่ยกันไม่ค่อยดีนัก ผู้ชายควรอายุมากกว่าผู้หญิงจึงจะปกครองกันยืด เฮ้อ...แต่ก็ นั่นแหละครับ คนที่อายุมากกว่าคนนั้นก็ไม่เคยมองคุณน้อยนี่ครับ”
รุจรู้ว่าถูกพูดเหน็บเลยชี้แจง “ผมเคยบอกท่านขุนแล้วว่า ผมรับแม่เขาไม่ได้และไม่มีวันยอมรับได้”
จนเมื่อท่านขุนฯจะกลับ ท่านพูดทิ้งไว้ให้คิดว่า “เคยได้ยินไหมว่าคนที่เราเกลียดแสนเกลียด แต่พอนึกรักกันเข้า ก็รักกันจนแทบจะเป็นบ้าตาย”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยครับ” รุจตอบเสียงเย็นเฉียบ หัวเราะหึๆในลำคอ
เจอไม้นี้ของรุจ ท่านขุนฯก็ได้แต่มองอย่างหมดหวัง...อ่อนใจ...
ooooooo
แม้ว่าตัวเองจะต้องอดทนอดกลั้นสักเพียงไรกับท่าทีที่เย็นชาไม่เป็นมิตรของรุจ อารยาทนได้ แต่เธอทนไม่ได้เมื่อรุจแสดงกิริยาเหยียดหยามอาฆาตแค้นแม้กระทั่งกับรูปถ่ายของแม่ เธอไปหาเขาที่ห้องทำงานถามว่าปาปากกาใส่รูปแม่ทำไม พูดเสียงเครือสะท้านว่า
“นั่นมันก็แค่รูป ถ้าคุณรุจโกรธเกลียดแม่ไม่หายเสียที ทำน้อยก็ได้ ต่อว่าน้อย ปาของใส่น้อยก็ได้ ไล่น้อยออกจากบ้านก็ได้ น้อยก็ไม่อยากอยู่แล้ว” เธอสะอื้นเต็มแรงหยุดกึกเหมือนนึกได้ว่าหลุดปากออกไป รุจเองก็พยายามสงบอารมณ์บอกเธอว่าพอเถอะ
แต่อารยาหยุดไม่ได้แล้ว วันนี้เป็นไงเป็นกัน เธอถามว่าแม่ทำอะไรให้เขาเกลียด นอกเสียจากว่าเป็นแม่เลี้ยง
“แค่นั้นยังไม่พออีกหรือ” รุจตวาด “เธออยากจะให้มีอะไรมากกว่านั้น เธอคิดว่าการที่เธอสองแม่ลูกเป็นส่วนเกินในครอบครัวที่เขาอยู่กันอย่างมีความสุขตลอดมา ไม่เป็นไร เพราะที่เธอสองคนแม่ลูกเข้ามาโดยสิทธิ์ของการเป็นแม่เลี้ยง ความเป็นลูกไม่มีสิทธิ์จะคิดอะไร จะรู้สึกอะไร นอกจากยอมรับโดยดีงั้นรึ”
ทั้งสองถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน จนกระทั่งรุจกล่าว หาว่าอัมพานั้นฉลาด วางแผนแยบยลสำหรับตัวเองและลูกสาว แล้วด่ากราดมาถึงตัวเธอว่า
“คนที่มีแม่ฉลาดเฉลียวอย่างเธอจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่ถ่ายทอดเล่ห์กล...” พูดแค่นั้นเขาก็หยุดกึกไม่อยากใช้ถ้อยคำที่รุนแรงกว่านั้น เขาเสเดินไปอีกทาง แต่อารยาไม่ยอมตามไปอีก
อารยาปกป้องแม่ว่าไม่ใช่คนมีเล่ห์กลอย่างที่รุจประณาม ถ้าแม่ตนเป็นอย่างนั้นจริง แม่ๆทั้งสามก็ต้องเห็น ท่านขุนประจญคดีก็ต้องเห็น เมื่อรุจยังยืนยันยัดเยียดให้แม่เธอเป็นคนเช่นนั้นให้ได้ อารยาบอกว่าคำพูดของเขาไม่เพียงพูดดูถูกแม่ตนเท่านั้น หากยังดูถูกแม่ๆทั้งสาม ดูถูกท่านขุนฯด้วย
เมื่อต่างฝ่ายต่างยืนกรานในความเชื่อของตัวเอง สุดท้ายรุจตัดบทว่าเธอยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่เธออีกมาก แต่พอเธอบอกให้พูดมา เขากลับไล่เธอให้กลับไปเสีย
“น้อยไม่ทนอีกแล้ว” อารยาสะอื้นเฮือกๆ “คุณรุจเกลียดแม่อัมพา ก็ไล่น้อยไปเถอะค่ะ จะได้ไม่เห็นลูกของคนที่คุณไม่ชอบ ให้น้อยไป น้อยไม่อยากอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว...” อารยาสะอื้นจนตัวโยนเดินเซซังออกไป รุจมองตามพริบตาเดียวอารยาก็ทรุดฮวบลง เขาพุ่งเข้าประคองขึ้นมา ร้องเรียกเสียงดัง แต่เธอไม่รู้สึกตัวแล้ว
รุจอุ้มอารยาไปวางที่เก้าอี้ปฐมพยาบาลอย่างหมอมืออาชีพ จนอารยารู้สึกตัวเธอพยายามจะลุกเขากดบ่าไว้ไม่ให้ลุก ถามว่าเวียนศีรษะไหม ดีขึ้นหรือยัง อารยามองเขานิ่งไม่ตอบ จนเขาโมโหลุกเดินกระแทกกระทั้นออกไป
ooooooo
รุจออกไปตะโกนเรียกแม่ๆทั้งสามให้มาดูอารยา ทีว่าทำไมถึงมากวนประสาทตนอย่างนี้ พวกแม่ๆมองกันงงๆ แต่เห็นท่าทางอารมณ์เสียของคุณหนูก็พากันเข้าไปถามไถ่ แต่แม่ทั้งสามก็ไม่อาจทำให้อารยาปริปากพูดอะไรออกมาได้ เธอมองหน้าแม่ทั้งสามน้ำตาปริ่ม
สุดท้ายแม่ทั้งสามก็ถูกรุจดุที่ทำงานไม่สำเร็จ เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรดี รุจสั่งแม่ทั้งสามให้เฝ้าอารยาไว้ให้ดีเพราะได้ยินเธอพูดแปลกๆเหมือนไม่อยากอยู่ที่นี่ แม่ทั้งสามลุกพรวดทันที รุจปรามว่า
“ถ้าอารยาหนีไป ฉันถือว่าเป็นความผิดของแม่ม่อม แม่พิน แม่พร้อม” เขาจ้องหน้าแม่ทีละคน จนแม่ทั้งสามแย่งกันออกจากห้องแทบไม่ทัน
ooooooo
เมื่อเข้าไปในห้องอารยาพบแต่ความว่างเปล่า สามแม่วิ่งกันตุ้บตั้บมารายงานรุจว่าอารยาหายไปแล้ว ทั้งสามแม่แย่งกันเร่งให้เขารีบออกตามหาคาดว่าเพิ่งออกไปหยกๆนี่เอง
“ไม่ใช่เรื่องของฉัน เขาหนีไปเองเขาก็ต้องกลับมาเอง” รุจยิ้มเยาะในหน้า
สามแม่หน้าเหวอ เอาหัวชนกันหารือว่าจะทำอย่างไรดี แต่หารู้ไม่ว่าพอไม่อยู่ในสายตาของแม่ๆ รุจก็เริ่มกระวนกระวายใจ เข้าไปห้องทำงานก็นั่งไม่ติด สุดท้ายลุกไปดูที่ห้องอารยา เห็นแต่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสวยงามของห้อง แต่ไม่มีตัวเจ้าของห้อง
เขาเปิดประตูพรวดออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขับรถออกไป นายสุขมาเห็นเข้าวิ่งไล่กวดขอตามไปด้วยทั้งที่นุ่งกางเกงเล มีผ้าขาวม้าพาดบ่า พอนายสุขขึ้นรถ รุจก็ขับรถพุ่งไปอย่างเร็ว
ที่แท้อารยานั่งหนาวสั่นอยู่ที่ท่าน้ำ เธอหันมองตามรถของรุจที่ขับออกไปน้ำตาปริ่ม
เมื่อขับออกไปตามถนนสายต่างๆในปากน้ำ รุจบอกนายสุขว่าตนจะขับช้าๆให้นายสุขมองหาอารยาให้เจอ นายสุข ฟังแล้วสะดุ้งทำหน้าเหวอๆ แต่ก็ทำตามคำสั่งอย่างรู้ใจเจ้านายดี
ตกดึก อารยาแอบเข้าไปโทรศัพท์ถึงชาลี ชาลีสะดุ้งตื่นจากหลับสนิท ลุกพรวดไปรับโทรศัพท์ ได้ยินอารยาพูดเสียงแผ่วมาตามสาย
“ชาลี...น้อยพูด มารับด้วย...”
ooooooo
เช้าตรู่ รุจขับรถกลับเข้าบ้านอย่างอ่อนเพลีย จอดรถให้นายสุขเอาไปเก็บ ส่วนเขาเดินกวาดตามองไปรอบๆ เห็นอารยายืนอยู่ที่ท่าน้ำกำลังจะลงเรือพอดี รุจชะงักกึกเดินไปที่ท่าน้ำช้าๆ
จังหวะที่อารยาจะก้าวลงเรือนั้นเธอซวนเซจนชาลีที่พายเรือมารับต้องประคองลงเรือแล้วพายไปทันที รุจยืนมองตามไปด้วยสายตาที่ทั้งเจ็บช้ำและเจ็บแค้น มองจนเรือพายลับสายตาไป
เมื่อเขาเดินกลับมาที่ตึก พวกแม่ๆพากันเข้ามาห้อมล้อมถามว่าเจออารยาไหม ไปตามถึงไหน พอเขาบอกว่าไม่พบ แม่ทั้งสามก็ร้องออกมาพร้อมกัน “โธ่เอ๊ย...คุณน้อย...” แม่พร้อมพึมพำว่าไปไหนกันนี่ รุจหัวเราะในลำคอพูดเย้ยๆว่า
“เขาคงไปในที่ที่เขาอยากไป” พูดแล้วหันหลังเดินตัวตรงขึ้นบันไดไปเลย
อารยาไปนอนจับไข้อยู่ที่บ้านพนาเวส วัฒนาเฝ้าปฐม พยาบาลด้วยความห่วงใย ชาลีเป็นห่วงว้าวุ่นใจจนทำอะไรไม่ถูก
ooooooo
ที่หน้าตึก สามแม่ยังคุยกันอย่างร้อนใจเป็นห่วงอารยา เห็นรุจแต่งตัวถือเอกสารและกระเป๋าค้างคืนลงมาสั่งแม่ทั้งสามว่า
“ฉันเข้าเวร จะค้างโรงพยาบาล 2 คืน เมื่อฉันกลับมาหวังว่าแม่ทั้งสามคงพบอารยาแล้ว”
แม่ๆทั้งสามตกใจถามว่าทิ้งพวกตนไปอย่างนี้ได้ยังไงแล้วพวกตนจะไปตามหาอารยาได้ที่ไหน
“ที่ที่เขาอยู่น่ะสิ” รุจตอบห้วนๆแล้วขึ้นรถไป แม่ละม่อมถามว่าไม่ห่วงคุณน้อยเลยหรือ เขาย้อนถามว่า “ทำไมต้องห่วง ฉันว่าความห่วงของแม่สามคนรวมกันพอแล้ว เขาไม่ต้องการความห่วงใยของใครอีก...นายสุข” รุจเตือนนายสุขให้ออกรถ
รถของรุจสวนกับรถของท่านขุนฯที่ขับเข้ามาพอดี สามแม่รุมกันเข้าไปบอกให้ท่านขุนฯรีบไปหารุจ ท่านขุนฯร้องเรียก พอรถรุจจอดก็เข้าไปขอร้องว่า
“คุณหนูกลับบ้านเถอะนะครับ วันนี้อย่าค้างโรงพยาบาลเลย คนแก่สามคนจะตายซะกระมัง” แต่พอรุจย้อนถามว่าแล้วจะให้คนไข้ที่โรงพยาบาลตายแทนงั้นหรือ ท่านขุนฯก็หน้าจ๋อย ยืนมองรถรุจขับออกไป พอกลับมาหาแม่ทั้งสาม ก็ถูกรุมต่อว่าเสียงขรมที่ทำไม่สำเร็จ
ไปถึงโรงพยาบาล รุจต้องเจอกับการอาละวาดของชาญที่ลุกขึ้นมาเอะอะโวยวายอย่างคลุ้มคลั่ง หาว่าหมอจะฆ่าตน จนรุจต้องฉีดยาให้ ครู่หนึ่งชาญก็สงบลงเพราะฤทธิ์ยา
แม้ปกติรุจจะมาดขรึมลุ่มลึก แต่เมื่อเผชิญปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาทำให้กระทบกระเทือนใจ เขาก็ปวดหัวและเงียบขรึมยิ่งขึ้น ได้ฉลวยที่แอบมีใจให้เขาอยู่ดูแลอย่างดี แต่พอรุจรับรู้ถึงความรู้สึกของฉลวยเขาก็ระวังตัว มีท่าทีต่อฉลวยอย่างสุภาพและเป็นการเป็นงานขึ้น
ooooooo
เสาวรสระแวงว่ารุจจะวอกแวกกับอารยา เพราะเมื่อคืนโทร.หาแล้วไม่รับสาย วันนี้เธอไปหาเขาที่โรงพยาบาล เห็นฉลวยเอาชาอุ่นๆไปให้เขาในห้อง ทำงาน เธอโผล่พรวดเข้าไปมองอย่างระแวง เธอทำทีว่าลืมของแล้วออกจากห้อง รอจนฉลวยออกมาก็ปราดเข้าไปบอกอย่างขึงขังว่า
“ฉันชื่อเสาวรสนะจ๊ะ เป็นคู่หมั้นของหมอรุจ” พูดแล้วกรีดกรายเข้าไปในห้องรุจ
ฉลวยหน้าถอดสี ยืนชาไปทั้งตัวอยู่ตรงนั้น
เสาวรสเข้าไปฉอเลาะว่าท่าทางเขาเหนื่อยๆ ชวนไปผ่อนคลายกันที่ผับใหม่เพิ่งเปิดกัน รุจโอนอ่อนไปกับเธอ แต่บอกว่าตนต้องมาเข้าเวรสี่ทุ่ม
เมื่อกลับมาถึงโรงพยาบาล รุจบอกฉลวยว่าออกเวรเช้าตนจะไม่กลับบ้าน ทราบว่าที่โรงพยาบาลมีห้องพัก ฉลวยบอกว่าจะไปจองให้
“ดี ผมจะอยู่สองวันถึงจะกลับ”
ooooooo
อารยาไข้ขึ้นสูงจนเพ้อ “อย่า...อย่าว่าแม่น้อย... อย่าว่าแม่น้อย...”
วัฒนากับชาลีมองหน้ากัน วัฒนาบ่นพึมพำว่าใครว่าแม่คุณน้อย ชาลีโพล่งออกมาว่าจะมีใครนอกจากหมอรุจ ถูกวัฒนาปรามว่าอย่าว่าหมอรุจถ้ายังไม่รู้ความจริง ชาลีโพล่ง ออกมาอย่างกดดันว่า
“จะมีอะไรจริงไปกว่าสภาพคุณน้อยที่เป็นไข้อยู่บนเตียงนี้อีก พี่หนูนา...นี่ล่ะฝีมือของเขา คุณรุจหมอผู้มีเมตตากับทุกคน ยกเว้นเด็กในบ้านที่ไม่มีความผิด แต่ต้องทนรองรับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเขา”
อารยายังไข้สูงนอนไม่ได้สติอยู่จนถึงกลางคืน ชาลีเฝ้าอยู่ไม่ห่างด้วยความเป็นห่วง พูดคุยด้วยทั้งที่อารยายังนอนไม่รู้ตัว
สองวันผ่านไป รุจกลับมาแล้ว พวกแม่ๆพากันหนาวๆ ร้อนๆ เขามองแม่ทั้งสามตาคมกริบ ถามว่าเจออารยาหรือยัง ตามหาหรือเปล่า สามแม่ตอบพร้อมกันว่าตาม แต่ทุกคนก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“ถ้าตามต้องพบ” รุจเสียงเข้ม ท่านขุนฯผสมโรงว่าใช่ ตามรึเปล่า เลยถูกแม่ทั้งสามมองตาเขียวปั้ด
รุจสั่งนายสุขให้เอาเรือออก สุดท้ายก็ง้างปากแม่ทั้งสามได้ด้วยวิธีการของเขา จึงให้นายสุขพายเรือไปที่บ้านพนาเวส พอรุจให้นายสุขพายเรือไปแล้ว ท่านขุนฯหันมาหัวเราะร่าบอกสามแม่ว่า
“คุณหนูเธอรู้อยู่แล้วว่าคุณน้อยอยู่บ้านพนาเวส ฮ่ะๆๆ เป็นไง หน้าจ๋อยกันไปตามๆกัน หึๆ เล่นกะใครไม่เล่น”
ooooooo
ไปถึงบ้านพนาเวส รุจบอกวัฒนาที่ออกมารับ หน้าว่า “ผมมารับอารยา” ชาลีที่ตามมากันท่า บอกว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ รุจจ้องหน้าวัฒนาอึดใจเดียว เธอก็เชิญขึ้นบ้าน บอกระหว่างทางว่าอารยาเจ็บหนัก
ชาลีพยายามกันท่าไม่ให้รุจขึ้นไปพบอารยา กระทั่ง อ้างว่าหมอกำลังตรวจอารยาอยู่ หมออายุรกรรมย่อมเข้าใจ โรคดีกว่าหมอประสาทวิทยา รุจมองขวับ เอ่ยขอบคุณ แล้ว หันหลังเดินไปทันที
หมออายุรกรรมที่มาตรวจอารยารู้จักรุจดี บอกรุจว่า อารยาเป็นหวัดใหญ่ยังมีไข้สูง กำลังคิดอยู่ว่าจะพาไป โรงพยาบาลรึเปล่า เอกซเรย์ด้วยเพราะเธอไอมาก
ระหว่างนั้น ชาลีพยายามบอกว่าวันนี้อารยาดีกว่าวันที่ เขาไปรับจากบ้านรุจิโรจน์มากแล้ว กันท่าไม่ให้รุจมายุ่งเกี่ยว แต่แล้วก็ต้องตะลึงงัน เมื่อรุจเดินเข้าไปอุ้มอารยาเดินผ่าน ทุกคนไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
รุจก้มหัวให้คุณนายพนาเวสขณะอุ้มอารยาผ่านไป พอลงเรือก็ให้นายสุขพายกลับบ้านโดยเร็ว
ที่บ้านพนาเวส ชาลีกำลังโวยวายทั้งเสียใจทั้งโกรธ ที่รุจมาเอาอารยาไป โทษวัฒนาว่าไม่น่าบอกรุจ วัฒนาเถียงว่า รุจรู้อยู่ แล้วจะให้ปดได้อย่างไร ชาลีตีโพยตีพายเหมือนเด็กเสียของรักจนคุณนายพนาเวสต้องแอบทำท่าบอกวัฒนาอย่าเพิ่งพูดอะไรอีกเลย
ooooooo
พอรุจกลับมาถึงท่าน้ำบ้านรุจิโรจน์อุ้มอารยา ขึ้นท่าน้ำ พวกแม่ๆทั้งสามก็วิ่งแข่งกันมารับด้วยความ ดีใจ แม่ละม่อมบอกว่าให้พาไปที่ห้องของอารยาเลย จะเข้าไปช่วยอุ้มรุจบอกว่าตนไหวแล้วอุ้มไปเอง
หลังจากวัดไข้แล้วรุจพึมพำว่า “ไข้สูง นับว่าเป็นมาก” แล้วบอกพวกแม่ๆว่าจะไปโรงพยาบาลเอายา จะรอดูอาการ ของเธออีกสักวัน แต่วันนี้ให้แม่ๆเช็ดตัวเธอก่อนให้ไข้ลด
รุจไปโรงพยาบาลเจอฉลวย พอรู้ว่าเขาต้องการพบ หมอดวงใจเพราะคนที่บ้านไม่สบายมาก ฉลวยก็กระวีกระวาด ไปเอายาที่แผนกอายุรกรรมให้ เมื่อได้ยารุจกลับมาป้อนยา ป้อนน้ำให้อย่างห่วงใย เห็นอารยาดูดน้ำได้ก็ใจชื้นขึ้นมา
ooooooo
ที่หน้าบ้านรุจิโรจน์ เสาวรสมาแล้ว เธอถือวิสาสะ เข้าบ้านและจะขึ้นข้างบน ถูกสามแม่มายืนขวางจังก้า เต็มประตู แม่ละม่อมบอกว่าคุณหนูไม่อยู่ เสาวรสบอก ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล
“คุณหนูมีที่ไปเยอะแยะ” แม่พินบอก
“ฉันรู้”
“ถ้ารู้ก็สมควรรีบกลับ” แม่พร้อมไล่ส่ง เสาวรสลอยหน้า โอ้อวดว่าถ้ารุจรู้ว่าตนมาจะต้องมาพบ ไม่มีวันปฏิเสธตนเด็ดขาด ทั้งยังคุยโวว่าตนเป็นคนรักของรุจ เป็นคนที่วันหนึ่งจะมาเป็น เจ้าของที่นี่
ไม่ว่าเสาวรสจะคุยโว พูดข่มขู่อย่างไรสามแม่ก็ยืนกระต่าย ขาเดียวไม่ยอมให้เข้าบ้าน จนสุดท้ายเสาวรสต้องกลับไปอย่าง หัวเสีย ท่ามกลางสายตาของสามแม่ที่จิกตามอย่างชิงชัง
รุ่งเช้าชาลีมาเยี่ยมอารยาอีก มณีบอกว่ารุจไม่ให้ใคร มายุ่งเขาจะดูแลเธอคนเดียว ทั้งยังสั่งห้ามใครเยี่ยมด้วย ชาลี กำลังหงุดหงิด ก็พอดีแม่พร้อมมาเจอ เขาดีใจมากบอกว่า ขอเยี่ยมอารยา
แม่พร้อมจัดแจงพาขึ้นไปเคาะประตู รุจถามจากข้างในว่า ใคร พอรู้ว่าเป็นแม่พร้อมเขาถามว่าต้องการอะไร
“เออ...คุณชาลีขอเยี่ยมคุณน้อยค่ะคุณหนู”
ข้างในเงียบไปทันที ชาลียุให้แม่พร้อมเปิดประตู เข้าไปเลย แม่พร้อมไม่กล้า เขาเลยเข้าไปเคาะประตูเองบอก รุจว่าขอเยี่ยมอารยา
“อย่าเพิ่งเลย” รุจตอบออกมา ชาลีขอทราบเหตุผล “เหตุผลง่ายๆ อารยายังไม่ได้สติ เยี่ยมไปก็ไม่มีประโยชน์” ชาลีขออีกว่าแค่เข้าไปดูเท่านั้น รุจตัดบทว่า “นั่นแหละ ที่ฉัน ว่าไม่มีประโยชน์”
สุดท้ายชาลีต้องกลับไปอย่างผิดหวัง
ooooooo
ส่วนเสาวรสวันนี้เธอมาใหม่ คราวนี้พาพระศัลย์ฯ มาด้วย พวกแม่ๆเห็นก็เยาะเย้ยว่าวันนี้พาไม้กันหมา มาด้วย พอพระศัลย์ฯแนะนำตัวเองว่าเป็นคุณพระ เป็นพ่อของเสาวรส แม่ละม่อมก็ยกมือไหว้ขอโทษ เสาวรสสั่งให้หลีกทาง
พวกแม่ๆแม้จะไม่ลงรอยกันเองเรื่องจะเชียร์อารยา กับใคร แต่พอมาเจอตัวแทรกอย่างเสาวรส ทั้งหมดก็รวมหัว กันกีดกันเต็มที่ แม้เธอจะพาพระศัลย์ฯมาเบิกทางก็ไม่สำเร็จ ซ้ำยังถูกสามแม่ตำหนิติเตียน พระศัลย์ฯที่เป็นผู้ใหญ่แต่ทำตัว ไม่เหมาะสม พากันยืนขวางรุมกันด่าว่าเสียจนสองพ่อลูก ต้องล่าถอยไป
พอกลับถึงบ้าน เสาวรสบ่นพ่อว่าอุตส่าห์พาไปด้วย แต่ไร้ประโยชน์ส้ินดี พระศัลย์ฯถูกลูกว่าก็หน้าจ๋อยไปตามเคย
ooooooo
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น