ตอนที่ 8
รุจปิดประตูดูแลรักษาอารยาคนเดียวห้ามใครรบกวนห้ามใครมาเยี่ยม แม้จะผ่านเวลาไปข้ามวันข้ามคืน แต่อาการอารยาก็ยังไม่ดีขึ้น วันนี้เธอก็เพ้อถึงแม่อีก เธอคร่ำครวญเรียกแม่ ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน จนรุจรู้สึกสะเทือนใจ โอบเธอไว้ในอ้อมกอด อย่างให้ความอบอุ่นจนเธอเงียบไป
ที่บ้านพนาเวส ทั้งวัฒนาและคุณนายพนาเวสต่าง ตกใจเมื่อรู้ว่ารุจไม่ยอมให้ชาลีเข้าไปเยี่ยมอารยา ชาลีขอร้อง แม่กับพี่สาวให้ไปเยี่ยมแทนตน
“ชาลี อย่าเพิ่งเลยนะลูก คุณหมอเขาอาจเกรงใจแม่ ยอมให้เยี่ยม แต่มันไม่ค่อยเหมาะสม แม่จะเสียผู้ใหญ่”
“แต่ผมเป็นห่วงคุณน้อย เป็นมากนะคุณแม่”
“ชาลี คุณแม่กับพี่จะช่วยอะไรได้ น้อยอยู่ในมือหมอ นะชาลี อย่าลืม”
ชาลีเถียงไม่ออกพร่ำถามอย่างร้าวรานใจว่า “พี่วัฒนา ทำไมเขาไม่ให้เยี่ยมล่ะ คิดออกไหม ทำไมเขาไม่ให้ผมเยี่ยม...”
ooooooo
ภาคินัยเฝ้ารอจดหมายจากเสาวรสวันแล้ววันเล่าก็ไม่มีมา เขาทนไม่ได้ทิ้งงานที่ไร่เดินทางเข้าพระนคร พร้อมกล้วยไม้กล่องใหญ่ มิใยว่าภคินีจะทักท้วงอย่างไร ก็ไร้ผล ซ้ำยังโกรธน้องว่าไม่เข้าใจตน มองเสาวรสใน แง่ร้าย
ภาคินัยกอดประคองกล่องกล้วยไม้มาตลอดทางอย่างมีความสุขที่จะได้มอบให้คนรัก
เมื่อเขามาถึงบ้านเสาวรส เธอต้อนรับเขาอย่างยั่วยวน อ่อนหวานตามเคย แต่พอภาคินัยอยากคุยกับคุณพ่อเธอ เพราะจะเรียนท่านว่าตนรักและจะขอนุญาตแต่งงานกับเธอแล้ว ย้ายไปอยู่ที่ไร่รวงผึ้งด้วยกัน เสาวรสก็หน้าตึงขึ้นมาบอกว่า อย่างไรเสียตนก็ไปไม่ได้ ภาคินัยถามอย่างผิดหวังว่าทำไม
“ภาคินัยคะ เข้าใจเถอะค่ะว่าเสาวรสรักคุณ อยากแต่งงานกับคุณ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณพ่อไม่ยอมให้ไปอยู่ไกลจากท่านค่ะ”
ภาคินัยเสนอว่าให้ย้ายไปอยู่เสียด้วยกันที่นั่นเลย อากาศดีธรรมชาติสวย เธอตอบแทนพ่อตัวเองว่าคงไม่ได้เพราะ ท่านไม่ชอบอยู่บ้านนอก ทั้งยังอ้างว่าท่านอายุมากแล้วตน ไม่อยากแยกกันอยู่กับท่าน แล้วชวนให้เข้ามาอยู่พระนครด้วยกัน
“ผมไม่อาจทำได้ งานที่ไร่ไม่มีใครแทนผมได้เลย มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น เราแต่งงานกัน เสาวรสอยู่ทางนี้บ้างไป อยู่โน่นบ้างได้ไหมครับ”
ไม่ว่าภาคินัยจะเสนออย่างไร วิธีการไหน เสาวรสยืนกรานอย่างเดียวว่าไม่ได้ด้วยเหตุผลที่ต่างๆกันไป จนสุดท้ายเธอทำที เห็นพ่อเดินมา เรียกให้มาคุยกันเอง ส่วนตัวเองเลี่ยงออกไป
พระศัลยแพทย์พิสุทธิ์คุยกับภาคินัยอย่างนิ่มนวล เยือกเย็นและเปี่ยมไปด้วยความรักความเห็นใจว่า
“ผมเห็นใจคุณจริงๆเสาวรสเศร้ามาหลายวันที่ต้อง ตัดสินใจอย่างนี้ เขาพยายามขอร้องผมให้ไปอยู่ที่โน่นกับเขา แต่ขอโทษเถอะนะ ผมมันทิ้งชีวิตในพระนครไปไม่ได้จริงๆ อยู่มา 60 กว่าปี มันชินแล้วคุณ”
ภาคินัยเหมือนมีอะไรมาจุกคอจนพูดไม่ออก ในขณะ ที่พระศัลย์ฯยังคงพูดต่ออย่างนิ่มนวลว่า
“เสาวรสเป็นลูกที่ดี ผมบอกให้ไปอยู่กับคุณได้หลังจาก แต่งงาน แต่เขาทิ้งพ่อไม่ได้”
เมื่อพระศัลย์ฯออกไปพบเสาวรส เธอถามว่าพ่อพูด เหมือนที่ลูกบอกหรือเปล่า พระศัลย์ฯรับรองว่าพูดเหมือนทุกคำ บอกว่าภาคินัยอยากพบเธออีกสักครั้ง เสาวรสจึงออกไปพบเขา ที่ข้างนอก
ภาคินัยขอร้องเธอให้คิดใหม่ได้ไหม พยายามหาทาง จัดการเรื่องที่อยู่ของคุณพ่อเธอกับเรื่องของเรา เสาวรสคลอเคลีย เขาอย่างแสนรัก พาเขาไปนั่ง กุมมือทั้งสองของเขาไว้ พูด เหมือนกลั่นจากหัวใจ
“ก่อนที่คุณจะมา เสาวรสสับสน ตัดสินใจไม่ถูก กิน ไม่ได้ นอนไม่หลับนานมาก แต่ถึงวันนี้มีคำตอบเพียงคำเดียว... เสาวรสเสียใจ”
ภาคินัยออกจากบ้านเสาวรสมาอย่างไร้ชีวิตจิตใจ ไป นั่งดื่มอย่างหนักจนเมาฟุบกับโต๊ะและเมื่อเดินทางกลับ เชียงใหม่ในวันต่อมา เขานั่งเหม่อมองไปข้างนอกอย่างเลื่อนลอย นัยน์ตาแดงก่ำ หนวดเครารุงรัง ทรุดโทรมเพราะไม่ดูแลตัวเองเลย...
ภาคินีเห็นสภาพพี่ชาย ก็เดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอโผเข้ากอดพี่ชายไว้ในอ้อมแขนแน่น...
ooooooo
เช้าวันต่อมา ไม่ว่าแม่พินมาเช็ดตัวให้ หรือแม่ พร้อมเอาอาหารมาให้ อารยานิ่งเฉยเหมือนหุ่น กระทั่ง แม่ละม่อมมาขู่ว่าถ้าไม่พูดไม่ทานอย่างนี้ตนโกรธจริงๆ ด้วย เธอก็ยังเฉย จนแม่ละม่อมลุกไปบอกรุจที่ยืนมองอยู่ว่า “หมดปัญญา อะไรๆเธอก็ไม่เอา” แล้วแม่ละม่อมก็เดินละเหี่ยใจออกไป
ที่หน้าบ้าน แม่พร้อมเดินออกมาเจอเสาวรสก้าวฉับๆ จะขึ้นบันได แม่พร้อมพรวดเข้าไปขวางเสาวรสบอกว่าจะมา พบรุจ แม่พร้อมบอกว่าเขาไม่ว่าง เธอก็อ้างว่ามีธุระสำคัญ
“ได้ค่ะ อิฉันจะเรียนคุณหนูให้ แต่ตอนนี้คุณหนู ไม่สะดวกเจอใคร” แม่พร้อมย้ำเสียจนเธอนิ่งคล้ายกับยอมรับ ตามที่แม่พร้อมบอก
รุจเข้าไปในห้องอยู่กับอารยาตามลำพัง เขาถึงกับ เอ่ยขอร้องให้เธอรับประทานอาหารออกไปรับแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้า ออกกำลังกายบ้างเพื่อจะรู้สึกดีขึ้นเพราะเพิ่งหาย อาจจะเป็นซ้ำได้
แต่ไม่ว่าเขาจะพูด จะขอร้องอย่างไร เธอก็ยังคงนิ่งเฉย เหมือนไม่รับรู้อะไร
“อารยา...ขอให้รับคำขอร้องของฉันด้วย ฉันไม่เคยเอ่ยคำขอร้องใครมากถึงขนาดนี้” รุจขออีก
นั่นแหละ อารยาจึงพยายามพูดเสียงสั่นเครือ
“น้อยจะทำทุกอย่าง...แลกเปลี่ยนกับสิ่งหนึ่ง” รุจตั้งใจฟังอย่างดีใจ โล่งใจ ถามอย่างเร็วว่าอะไร “ให้ชาลีมาเยี่ยม”
เท่านั้นเอง รุจลุกพรวดหน้าขรึมทันที เมื่อหันมาสบตาอารยาอีกที เขาพูดอย่างเย็นชา
“เธอต้องการให้เขามาเยี่ยม...มาก...ใช่ไหม” เขาย้ำคำอย่างประชดประชัน เมื่อเธอตอบรับ เขาก็เดินปึงปังจะออกไป แต่ยังไม่ทันถึงประตูห้อง เสาวรสก็เปิดเข้ามาก่อน มีแม่พร้อมยืนทำหน้าลำบากใจอยู่ข้างหลัง เธอปราดเข้าหารุจฟ้องว่าแม่พร้อมไม่ยอมให้ตนขึ้นมาพบเขา มีเรื่องอะไรหรือ
รุจจับแขนเธอดึงออกไป แต่เธอยังขืนตัวไว้ถามว่าอารยาเป็นอะไร ทำไมเขาต้องมาเฝ้าด้วย รุจไม่ตอบบอกแค่ว่าอารยาไม่สบายแล้วดึงเธอลงไปข้างล่าง บอกแม่พร้อมเสียงขุ่นว่า
“แม่พร้อมไปบอกคุณชาลีให้มาเยี่ยมอารยาด้วย” พูดแล้วเดินไปเลย เสาวรสจ้องอารยาตาคมกริบ เดินเข้าไปหาอารยาที่เมินหน้าไปทางอื่น สามแม่ที่ขึ้นมาออกันอยู่รีบเข้าไปยืนเป็นกำแพงขวางเสาวรสอย่างปกป้องอารยา
เสาวรสพูดทิ่มแทงใจอารยาว่าคิดถึงแม่ไหม ถ้าแม่เธออยู่คงอบอุ่นกว่านี้ อารยามองอย่างไม่เข้าใจว่าเธอมีจุดมุ่งหมายอะไร เสาวรสพูดต่อก่อนเดินเชิดออกไปว่า
“แต่ถ้าอยู่ เธออบอุ่นก็จริง แต่ต้องสู้กับความอับอาย”
อารยาบอกแม่ทั้งสามว่าตนไม่เข้าใจ แต่ตนไม่ฟังเพราะ ว่า...เธอพูดทิ้งไว้แค่นั้น จนแม่ละม่อมซักถาม เธอจึงพูดอย่างเจ็บปวดจนแม่ทั้งสามอึ้งสนิทว่า
“เขาพูดเหมือนคุณรุจ...เขาพูดเหมือนกัน”
เมื่อแม่ทั้งสามลงไปปรารภกันในครัวว่าอารยาโกรธ อารยาน้อยใจ หรืออารยาหึง นายสุขก็ทะลุกลางปล้องขึ้นว่าอาจจะหึงก็ได้ เล่ายิ้มในหน้าว่า
“ฉันเห็น...บนเรือวันนั้น...” นายสุขยั่วให้แม่ทั้งสามหูผึ่งแล้วก็ไม่เล่า ถูกรุมเค้นสุดท้ายเลยเล่าต่อไปว่า “คุณรุจเธอกอดคุณน้อยไว้ตอนไปรับกลับมาจากบ้านพนาเวส”
แม่พร้อมที่ถือข้างชาลีอยู่คุยทับว่า “สู้ตอนพายเรือกับคุณชาลีของฉันไม่ได้ สองคนคุยกันไปกะหนุงกระหนิงเก็บฝักบัวไปกินกันไป น่ารักเหลือเกิน” พูดแล้วสะดุ้งกับเสียงฝาหม้อ หล่นจากฝีมือแม่พิน หันไปค้อนบ่นอุบอิบ “เสียเส้นจริงๆ”
ooooooo
ขณะที่รุจอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดกับคำขอของอารยานั้น เสาวรสตามมาฉอเลาะบอกว่าจะอยู่ที่นี่อีก สักพัก ตนบอกคุณพ่อไว้แล้วว่าที่นี่สบายจะมารับประ-ทานอาหารเช้ากับรุจและอาจอยู่ที่นี่ทั้งวัน
จนกระทั่งรุจเตรียมตัวไปทำงาน เธอก็เข้าไปเกาะแขนนัดพบกันคืนนี้ ยื่นหน้าไปจูบแก้มเขาฟอดใหญ่ รุจเบี่ยงตัวนิดๆในขณะที่เสาวรสพยายามเกาะแขน เขากลับพยายามแกะเธอออก มองไปที่ท่าน้ำเห็นชาลีมากับแม่พร้อม เขาขึ้นรถ ไปทันที
ชาลีเดินผ่านเสาวรสอย่างเมินเฉยเพราะรู้เรื่องราวของเธอจากแม่พร้อมมาแล้ว เธอถามว่าจะไม่ทักกันหน่อยหรือ ชาลีบอกว่าตนไม่รู้จัก เธอแนะนำตัวเองทันทีว่าชื่อเสาวรสกำลังจะแต่งงานกับเจ้าของเคหาสน์รุจิโรจน์ ชาลีเลยจำต้องไหว้แล้วจะเดินไป เสาวรสถามอีกว่าจะมาหาใคร ชาลีไม่ตอบเดินผ่านไปเลย เสาวรสมองตามแค้นๆ
ชาลีรีบขึ้นไปหาอารยาที่ห้อง เขาโผเข้าไปหาทักทายมองด้วยสายตาที่รักเธอจนหมดใจ
แม้ตัวรุจจะอยู่โรงพยาบาลตรวจคนไข้ แต่ใจลอย ไม่มี สมาธิ วอกแวกเห็นแต่หน้าอารยากับชาลี
ooooooo
แม่พร้อมที่เป็นใจให้ชาลีอยู่แล้ว เลี่ยงออกจากห้องอย่างจงใจเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวอยู่กันตามลำพัง
จนกระทั่งเย็นเมื่อรุจกลับมา เขาตรงดิ่งไปที่ห้องอารยา เคาะแล้วเปิดประตูเข้าไปทันที เห็นชาลีกำลังห่มผ้าให้อารยา ดูใกล้ชิดกันมาก เขาไม่พูดอะไร ส่วนชาลีตกใจยืนนิ่งเงียบกริบ จนกระทั่งรุจถอยออกไป จงใจเปิดประตูกว้างเชิงตำหนิชาลี กับอารยากลายๆ
ชาลีใจคอไม่ดีบอกอารยาว่าถึงเวลาที่จะต้องกลับแล้วกระมัง อารยาถามว่าทำไมไม่พูดกับรุจ ชาลียอมรับตรงๆว่าเมื่อกี้ตนกลัวเขา ไม่รู้เหมือนกันว่ากลัวเรื่องอะไร แล้วตัดบทว่าพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ กำชับให้เธอทานยา พักผ่อน นอนให้หลับ มองอารยาด้วยแววตาดื่มด่ำ
“จ้ะ ขอบคุณนะชาลี” อารยาน้ำเสียงปกติ โบกมือลาท่าทางขี้เล่น เหมือนจะบอกให้ชาลีรู้สึกตัวกับสายตาที่มองมา
ชาลีเดินผ่านห้องที่ทั้งรุจกับเสาวรสนั่งดื่มน้ำชากันอยู่ เขาหยุดนิดหนึ่งยกมือไหว้แล้วเดิน รุจเปรยๆอย่างอยากรู้ว่า “ขยันดีนะไปมากี่เที่ยวแล้ววันนี้” เลยได้รู้จากเสาวรสที่หาช่องจะฟ้องอยู่แล้วว่า
“ไม่เห็นไปไหน อยู่ที่นี่ทั้งวัน หัวเราะกันเสียงลั่น แม่ๆของรุจเขาเป็นใจให้หรือ ควรจะไปอยู่ด้วยก็ไม่ ปล่อยให้ผู้หญิงผู้ชายอยู่ด้วยกันสองคนในห้องในหับ ประตูก็ปิดตลอดเวลา น่าเกลียด”
นี่เอง พอตกเย็นแม่ๆทั้งสามก็ถูกรุจไล่เบี้ยเรื่องนี้ แม่ละม่อมอ้างว่าตนคุมสิงห์ให้ตัดต้นไม้หลังบ้านทั้งวัน แม่พร้อมบอกว่าตนเอาอาหารไปให้ แม่พินยืนยันว่าตนอยู่ ถูก รุจดักคอว่าแต่ไม่ใช่ตลอดเวลา ตำหนิว่า
“ไม่นึกบ้างหรือว่าไม่งาม ประตูก็ปิดตลอดเวลา”
พอรุจไปแล้ว แม่ละม่อมทำหน้าสยองบอกว่าคุณหนูโกรธจนตนกลัว แต่แม่พินพูดอย่างเชื่อยิ่งขึ้นทุกทีว่าคุณหนูของตนมีใจให้อารยา
เสาวรสยังอยู่ยุแยงตะแคงรั่วเป่าหูรุจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอารยากับชาลีจนรุจฉุนเข้าไปพูดประชดอารยาว่า “ป่วยก็ต้องพัก อย่ามัวแต่เพ้อฝันเรื่อยเปื่อย”
“ขอบคุณค่ะที่เตือน” อารยาเอ่ยเสียงปร่ากับภาพที่ เสาวรสควงแขนรุจอย่างแนบแน่น พอทั้งคู่เดินควงกันออกไป อารยาก็เชิดหน้าแววตาดื้อรั้นวาบขึ้นมา
ooooooo
แต่ไม่ว่าจะเจ็บปวด เจ็บช้ำระกำใจอย่างไร อารยาก็ยังปฏิบัติตามคำสอนของแม่อัมพาอย่างเคร่งครัด วันนี้ก็เอาน้ำชาไปให้รุจที่ห้องทำงาน กลับถูกเขาบอกว่า
“เธอเอาน้ำชากลับไปเพราะฉันยังไม่อยากดื่ม ทีหลังจำไว้ด้วยว่าถ้าฉันไม่ได้สั่งไม่ต้องเอามา”
อารยาอึ้งสนิทยืนมองเขาอย่างน้อยใจมาก รุจปิดหนังสือแรงๆถามว่าตนพูดอะไรที่เธอไม่เข้าใจหรือ อารยาจึงหันหลังเดินกลับออกไปอย่างเร็ว รุจวางปากกาปึง ถอนใจยาว...
อารยาออกมายืนร้องไห้อยู่หน้าห้อง แม่พินถามว่าร้องไห้ทำไม เธอเล่าให้ฟังว่า เอาน้ำชาเข้าไปแล้วถูกรุจไล่ออกมา เธอเลียนเสียงและจำคำพูดของรุจได้ทุกคำ จนแม่พินฟังแล้วอึ้ง พึมพำว่า
“มันคืออะไร มันต้องมีอะไรสักอย่าง” แววตาแม่พินพยายามค้นหาสัญญาณจากเรื่องที่เกิดขึ้น
ooooooo
แม่ๆทั้งสามเห็นความเปลี่ยนแปลงและอารมณ์ที่แปรปรวนของคุณหนูตนแล้วก็พากันวิเคราะห์ไปต่างๆนานา จนแม่พินสรุปว่าเหตุที่คุณหนูหงุดหงิดกับคุณน้อยเพราะชาลีมาอยู่ที่นี่ทั้งวัน
“งั้นก็แปลว่า” ขุนประจญคดีทำเสียงตื่นเต้น พอแม่ๆ มองเป็นตาเดียวกันก็บอกว่า “งั้น...พินัยกรรมก็จวนเป็นจริงแล้วล่ะสิเนี่ย”
เมื่อมีความมั่นใจกันเช่นนี้ แม่พินบอกแม่พร้อมว่าหยุดเพ้อเจ้อเรื่องชาลีได้แล้ว ด้วยเหตุผลว่า
“คุณชาลีเด็กออกปานนั้น หล่อนจะให้มาดูแลคุ้มครองคุณน้อยได้ยังไงยะ ต่อไปนี้หยุดพูดเรื่องคุณชาลีไปเลย”
แม่ละม่อมถามว่าอย่างนี้แล้วเราจะช่วยกันให้ลงเอยอย่างไร ขุนประจญคดีตอบทันทีว่า
“ไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าทั้งสองคนมีหัวใจต่อกัน ไม่ต้องทำอะไร ให้ความรักทำงานเอง”
“ฉันล่ะกลัวคุณปากแดงเธอน่ะสิ เธอจู่โจมคุณหนูของเราเหลือเกิน เห็นเธอทีไรฉันล่ะอกสั่นขวัญหายทุกที” แม่พร้อมที่ยอมถอยเรื่องชาลีแล้วกลับมาหนักใจเรื่องเสาวรส ขึ้นมาอีก
พูดไม่ทันขาดคำ เสาวรสก็ขับรถมาถึง เธอจู่โจมอย่างรวดเร็วรุนแรงตามเคย ถูกแม่พร้อมกับแม่ละม่อมพากันมาขวางไม่ยอมให้ขึ้นไปหารุจ พูดดีก็แล้วกระทั่งให้คิดถึงความเหมาะสม ดีงาม แม้แต่ศักดิ์ศรี เสาวรสก็โต้กลับทุกประเด็น ทั้งยังขู่ว่า เมื่อไรตนได้มาเป็นเจ้าของบ้านที่นี่ จะไล่ออกให้หมด
รุจมาได้ยินเข้าพอดีร้องถามว่าใครจะมาเป็นเจ้าของบ้านหรือ เสาวรสถลาเข้าไปหาเขาทันทีฟ้องฉอดๆว่าตนถูกสองแม่นี่ไล่ออกจากบ้าน รุจไม่ทันพูดอะไร มณีก็เข้ามาถามหาอารยาบอกว่าชาลีมาหา
เท่านั้นเอง รุจหน้าเครียดขึ้นทันที แม่พร้อมรู้สถานการณ์รุนหลังมณีออกไป อารยาเดินออกมามองไปเห็นรุจเดินโอบเอวเสาวรสอยู่ เธอมองแวบเดียวก็เดินไป ส่วนเสาวรสที่จับสังเกตอยู่ มองหน้ารุจอย่างเดาใจได้ว่าเขาคิดอย่างไรกับอารยา แม้จะไม่แสดงกิริยาใดๆ แต่ใบหน้าเธอเริ่มเครียดแล้ว
เสาวรสฉวยโอกาสที่ชาลีมาหาอารยาและ
อารยาไปส่งที่ท่าน้ำพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนิทสนม ยุยงเป่าหูให้เขาไม่พอใจอารยาและเร่งทำคะแนนให้ตัวเองเต็มที่ อ้อนเขาว่าเย็นนี้ให้รีบกลับมาดินเนอร์กัน ตนจะเตรียมของโปรดของเขาไว้ให้
รุจฟังไปอย่างนั้นเอง แล้วจู่ๆเขาก็ถามขึ้นว่าเธอกับภาคินัยพบกันบ้างไหม ทำเอาเสาวรสสะอึกไปนิดหนึ่ง พริบตาเดียวก็ตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่าพบบ้าง แต่ไม่ได้พบมานานแล้ว ย้อนถามว่าถามทำไมหรือ รบเร้าจะให้เขาบอกให้ได้ พอเขาบอกว่าแค่อยากรู้ ก็ถามอีกว่าทำไมถึงอยากรู้เพราะมันไม่ใช่เรื่อง
ความหวาดระแวงทำให้เธอยื่นคำขาดกับรุจว่าห้ามถามถึงภาคินัยอีก ตนรู้จักภาคินัยแค่ผิวเผิน และรุจก็เป็นคนแนะนำเองด้วย ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งมีอารมณ์ จนรุจถามว่าทำไมต้องโกรธด้วย
“เสาวรสไม่ได้โกรธ แต่ไม่เข้าใจว่ารุจจะถามถึงผู้ชายคนนี้ทำไม ต่อไปนี้อย่าถามอย่างนี้อีกนะรุจ ถ้ารุจถาม เสาวรส จะถือว่าไม่ให้เกียรติที่สงสัยว่าเสาวรสติดต่อกับผู้ชายอื่น ทั้งๆที่มันไม่จริง”
เสาวรสเสียงเข้มจริงจังเสียจนรุจเงียบไป
ooooooo
นับแต่ภาคินัยกลับมาถึงไร่รวงผึ้ง เขายิ่งทิ้งงานและดื่มเมาหัวราน้ำทุกวันจนภคินีเป็นห่วง วันนี้เดินถามคนงานจึงรู้ว่าไปอยู่ที่บังกะโลลำธาร เธอตามไปเจอกำลังดื่มหนัก ขอร้องก็ไม่ฟัง ยกเรื่องเสาวรสมาเตือนสติว่าเธอไม่ใช่คนดี ก็ยิ่งทำให้ภาคินัยไม่พอใจหาว่าน้องมองคนในแง่ร้าย ดูถูกตนว่าไม่มีสติปัญญาดูคนไม่ออก
ทั้งสองโต้เถียงกันรุนแรง ภาคินัยพรวดออกไปขึ้นรถ ภคินีกลัวพี่ชายจะได้รับอันตรายกระโดดไปขวางแล้วก็กระโดดหลบแทบไม่ทัน ร้องบอกคนงานให้ช่วยกันหยุดก็ไม่มีใครขวางกั้นได้
ภคินีตัดสินใจวิ่งตามรถพี่ชายไป ถูกมอเตอร์ไซค์ที่ขับสวนมาอย่างเร็วชนกระเด็นหลังกระแทกพื้นอย่างแรง น้าสังวาลย์ ตามมาพบพอดีรีบพาหลานสาวส่งโรงพยาบาล ส่วนภาคินัยเห็นน้องถูกรถชนปางตาย จึงได้สติรีบตามมาที่โรงพยาบาล ขอโทษน้องน้ำตาซึม
ภคินีอยู่โรงพยาบาล 7 วัน แต่ขยับตัวไม่ได้ เมื่อหมอประพัฒน์เข้ามาจึงชี้แจงให้ฟังว่า
“เหตุที่ขยับไม่ได้เพราะกระดูกส่วนหลังกระทบกระเทือนรุนแรง กดทับเส้นประสาทส่วนหลัง ทำให้ส่วนล่วงตั้งแต่เอวลงไปหมดความรู้สึก อาการอย่างนี้เขาเรียกว่าอัมพาตครึ่งตัว”
ภาคินัยเสียใจที่ตัวเองทำให้น้องต้องบาดเจ็บและโกรธหมอที่รักษาน้องไม่ได้ พอรู้ตัวก็ขอร้อง
“แกต้องรักษาให้ได้พัฒน์ แกต้องช่วยน้อง ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ฉันยอมแลกทุกอย่างที่ฉันมี ขอให้น้องหาย”
“ฉันจะพยายาม ต้องปรึกษาหมอที่พระนคร หมอทางประสาทวิทยามีแทบจะนับตัวได้”
“ตอนนี้ฉันต้องทำยังไง” ภาคินัยถามเสียงแหบแห้ง
“อาการน้องทุกอย่างดีหมดแล้ว แกรับน้องกลับบ้านได้”
ooooooo
แม้จะมีเรื่องให้ไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา แต่รุจก็ยังทำงานได้อย่างดีเยี่ยมจนทั้งคนไข้และญาติคนไข้รักและชื่นชม จนเรียกว่าเป็นหมอเทวดามีน้ำใจเหลือเกิน
แต่แล้วก็มีปัญหาให้ปวดหัวเมื่อนายชิดพาชอบลูกชายที่ถูกฟันแขนหนีออกจากโรงพยาบาล รุจคาดว่าคงไม่มีค่ารักษาพยาบาล บอกฉลวยกับเจ้าหน้าที่ให้ไปตามกลับมาให้ได้ เพราะถ้าแผลติดเชื้อจะอันตรายถึงชีวิต
เมื่อตามกลับมาได้ เขาฉีดยาให้ชอบ บอกชิดว่า
“คราวนี้อาการหนักมาก ขอให้อยู่จนหาย อย่าพาหนี ไปอีก ถ้าเงินไม่มีบอก โรงพยาบาลไม่ใจไม้ไส้ระกำอย่างที่คุณคิดหรอก” พูดแล้วเดินออกไปเลย ชิดมองตามด้วยแววตาอ่อนโยน เพราะยังไม่รู้ว่ารุจเป็นใคร
อารยาได้รับคำสั่งให้ทำอาหารฝรั่งในมื้อเย็นนี้ เธอทำด้วยอารมณ์หม่นหมองจนแม่พร้อมถามว่าเป็นอะไร เธอตอบอย่างคนไม่มีทางเลือกว่า
“ไม่ค่ะป้าพร้อม น้อยไม่เป็นอะไร น้อยเป็นอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
แม่พร้อมยังค้างคาใจ บ่นกับแม่ละม่อมกับแม่พินว่าอารยาเป็นอย่างนี้มาหลายวันแล้ว แม่พินพูดอย่างผู้รู้ว่าวุ่นวายสับสนอลหม่านหัวใจ เรื่องรักหนักอกแน่ๆ
แม่ละม่อมตาโตถามว่าเรื่องรักหนักอกน่ะ กับใคร
ooooooo
ชาลีกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านพนาเวสก็เย็นแล้ว ร่ำรํ่าจะไปหาอารยาให้ได้ พี่ห้ามก็ไม่เชื่อ แม่ห้ามก็ไม่ฟัง กระโดดลงเรือพายไปบ้านรุจิโรจน์ทั้งที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนนายเรือ
ปรากฏว่าอารยามารอที่ท่านํ้าจนคิดว่าชาลีไม่มาแล้ว แต่พอลุกจะเดินไปก็ได้ยินเสียงชาลีตะโกนเรียกแล้วกระโจนขึ้นท่านํ้า ทั้งสองหยอกล้อกันอย่างร่าเริง แล้วชาลีก็ร้องเพลงออกมาอย่างภาคภูมิใจ...
“หะเบสสมอพลันออกสันดอนไป ลัดไปเกาะสีชังจนกระทั่งกระโจมไฟ เที่ยวหาข้าศึก มิได้นึกจะกลับมาใน ถึงตายตายไปให้แก่ชาติของเรา...”
อารยาร้องประสานเสียงไปด้วยอย่างร่าเริง
เสียงเพลงดังไปถึงห้องแปดเหลี่ยมในเคหาสน์สีแดง เสาวรสเจาะจงบอกให้รุจฟัง ทำเป็นถามเขาว่าชาลีเรียนจบเป็นนายทหารเรือแล้วเขาจะแต่งงานกันเลยใช่ไหม มิน่าเล่าถึงได้มาเช้ามาเย็น
รุจขอตัวสักครู่ บอกว่าเดี๋ยวพบกันที่ห้องอาหารเลย เสาวรสรู้ทันไม่ยอมให้เขาไป อ้างว่าพ่อให้มาถามว่าเมื่อไรเราจะแต่งงานกัน รุจนิ่งไปทันที เธอเร่งเร้าขออย่านิ่งเงียบอย่างนี้เลย
“ผมขอเวลา” รุจตอบสั้นๆ เธอรบเร้าให้ตอบมาคำเดียวว่าจะแต่งกับตนไหม แล้วเขาจะขอเวลานานแค่ไหนก็ได้
รุจบอกว่าตนตั้งใจจะแต่งงานกับเธอเหมือนตอนที่พูดกับเธอตั้งแต่กลับมาเมืองไทยใหม่ๆ คิดว่าเธอเข้าใจแล้ว
เสาวรสร้อนรนขึ้นมาทันทีระแวงว่าเขามีใคร หรือใครทำ ให้เขาเปลี่ยนใจ ขอร้องเขาอย่าปล่อยให้ตนเคว้งคว้างอยู่อย่างนี้
“คุณสับสนเหมือนที่ผมสับสนตั้งแต่กลับมาเมืองไทยใหม่ๆ”
“แต่ต่อจากนี้ฉันก็แสดงให้คุณรู้แล้วว่าฉันเลือกคุณ”
“ทำไมคุณต้องเลือกล่ะ ในเมื่อผมไม่ได้เลือกเลย ผมมีคุณคนเดียว”
เสาวรสใจไม่ดีระแวงว่ารุจจะรู้เรื่องของตนกับภาคินัย ยํ้าว่าตนจะแต่งงานกับเขา ขอเพียงเขาขอคำเดียวเท่านั้น
“คำตอบของผมคือ ผมยังไม่ตัดสินใจเหมือนที่เสาวรสไม่ตัดสินใจตอนที่เรามาถึงเมืองไทยใหม่ๆ”
เสาวรสกรี๊ดลั่นหันหลังกลับไปอย่างเร็ว ขึ้นรถขับพรวดไปราวกับพายุ จนสามแม่ที่อยู่หน้าตึกพากันออกมาดูถามกันว่าใครเป็นอะไร นึกห่วงคุณหนูของตนขึ้นมา
นายสิงห์แบกกล้าไม้ดอกไม้ประดับมา ถูกเสาวรสเฉี่ยวจนล้มต้นไม้กระเด็นกระจาย เธอลงมาด่านายสิงห์ว่าซุ่มซ่ามเดินไม่ดูทาง ยิ่งเมื่อรู้ว่ากล้าไม้เหล่านี้จะเอาไปให้อารยาปลูกกับรุจ เธอยิ่งสะใจเดินฉับๆไปเหยียบขยี้กล้าไม้เหล่านั้นจนแหลกลาญแล้วขึ้นรถขับพรืดออกไป
พอกลับถึงบ้านก็โผเข้ากอดพระศัลยแพทย์พิสุทธิ์ ผู้เป็นพ่อร้องไห้โฮๆ
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น อารยาทำอาหารเช้าให้รุจแล้วก็เตรียมจะไปปลูกต้นไม้ เธอเสียใจเสียดายมากที่ต้นกล้าถูกเสาวรสทำลายแหลกลาญ แม่พร้อมเพิ่งจะเล่าให้แม่ละม่อมกับแม่พินฟังเรื่องที่เสาวรสขับรถเฉี่ยวนาย สิงห์และเหยียบขยี้ต้นกล้าของอารยา โดยไม่รู้ว่ารุจมายืนฟังอยู่เงียบๆ
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแล้ว รุจจึงโทรศัพท์ไปคุยกับ เสาวรส เธอรับสาย ฟังรุจพูดแล้วกระแทกโทรศัพท์ลงอย่างฉุนเฉียวจนพระศัลย์ฯผู้เป็นพ่อที่เงี่ยหูฟังอยู่สะดุ้งโหยง
ครู่ใหญ่เธอก็ไปที่บ้านรุจิโรจน์ ถูกสามแม่มายืนขวางเป็นแผง เธอสั่งให้หลีก หรือไม่ก็ไปตามอารยามาพบตน ระหว่างนั้นอารยาแอบมาได้ยินเธอตกใจรีบหันหลังกลับชนเข้ากับมณีที่เดินมาเต็มแรง มณีตกใจร้องโอ๊ย เสาวรสหันไปเลยเห็นอารยา เธอพรวดเข้าไปหาทันที บอกว่ามีเรื่องจะพูดด้วย อารยาบอกว่าตนไม่มีอะไรจะพูดด้วย เสาวรสสั่งให้ตามตนไป นั่งฟังอย่างเดียวพอ
สามแม่ขวางจะไม่ให้อารยาไป เธอจึงบอกแม่ทั้งสามว่าคุยอะไรจะกลับมาเล่าให้ฟังทุกคำ แม่ทั้งสามเลยยอมปล่อยให้ไป เธอบอกเสาวรสว่าจำเป็นต้องบอกแม่ๆอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้มา จากนั้นบอกเสาวรสว่ามีอะไรเชิญพูดมาเลย
เสาวรสบรรยายความตั้งแต่อยู่อังกฤษกับรุจ จนมาถึงเมืองไทยรุจอยากแต่งงาน แต่ตนยังรักอิสระ รุจจึงไปทำงานต่างจังหวัดอย่างผิดหวังมาก เสาวรสปั้นน้ำเป็นตัวว่ารุจเฝ้าอ้อนวอนขอแต่งงานด้วย ไปเฝ้าที่บ้านทุกวัน พูดจนอารยาจิตใจหวั่นไหว เธอพูดให้หวั่นไหวยิ่งขึ้นว่า
“ยังไงก็ตาม เราก็ยังไม่ได้แต่งงาน ถึงตอนนี้ฉันพูดได้คำเดียวว่าเสียใจ พอนึกเห็นรุจผิดหวังซมซานอ้อนวอนฉัน ฉันยิ่งเสียใจ ฉันรู้ว่าลึกๆแล้วรุจรักฉันมาก เพราะฉันเป็นรักครั้งแรกของเขา เขาอ้างว้าง ว้าเหว่มากนะ เขาบอกว่าเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก”
เสาวรสยังบรรยายถึงความรักที่อังกฤษอย่างหยดย้อย บรรยายถึงความว้าเหว่ของรุจที่มีตนปลอบใจอยู่คนเดียว พูดกระหน่ำความรู้สึกของอารยาแล้วถามหยันๆว่า
“รุจมีปัญหาลึกมากข้างใน อารยาเธอสู้กับปัญหานั้นไม่ได้หรอก รุจต้องการคนที่ปลอบโยนเขาได้ โอบอุ้มเขาได้เวลาที่เขาว้าเหว่ เธอยังเด็กทำไม่ได้หรอก”
อารยาตะลึงพยายามปฏิเสธว่าตนไม่ใช่อย่างนั้น เสาวรสไม่สนใจ รุกต่อ
“รุจกำลังไขว้เขวเพราะความใกล้ชิด เพราะเขาเป็นผู้ชายที่หวั่นไหวง่ายมาก เพราะฉะนั้นถึงต้องเป็นเธอ เธอต้องหลีกเลี่ยงเขา อย่าทำให้เขาหวั่นไหว พูดแค่นี้คงเข้าใจ”
อารยาพยายามปฏิเสธอย่างหวั่นไหวว่ารุจไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“รุจเขาไม่ได้รักเธอหรอก รุจไม่มีความรักให้ใครแล้ว เพราะเขาให้ฉันทั้งหมด แต่ตามประสาผู้ชาย ถ้ามีผู้หญิงคอยให้ท่า” พูดแล้วเห็นอารยาตกใจถามว่าใครหรือ เสาวรสก็เปลี่ยนเป็นพูดว่า “เอาเป็นว่าเธอพยายามอย่าใกล้ชิดเขา อย่าเอาตัวมาอยู่ในสายตาเขา ถ้าจะให้ทุกอย่างเรียบร้อย ไม่ควรบอกเรื่องนี้กับแม่สามคนนั่น เพราะแกจะทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นไปอีก รับปากสิ”
“ค่ะ” อารยารับปากแล้วจะเดินไป เสาวรสจับแขนไว้บีบอย่างแรง จ้องตานิ่งขณะพูด
“สุดท้าย...เธอต้องจำไว้ด้วยว่า รุจเขาไม่รู้ตัวเองหรอกว่าเขาอ่อนแอยังไง ถ้าเขารู้เขาจะเสียความมั่นใจ แล้วมันจะเป็นผลเสียกับงานเขา เขาต้องรักษาคนไข้ เขาต้องผ่าตัด ถ้าคนไข้ตายเพราะเขาทำพลาด เขาจะไม่เป็นผู้เป็นคนเลย”
เสาวรสทั้งขู่ทั้งปลอบ พูดดักทางไว้หมด จ้องหน้าอารยา นิ่งราวกับจะสะกดจิตให้ทำตามที่ตนพูด
ooooooo
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น