วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

เคหาสน์สีแดง ตอนที่ 1

ตอนที่ 1

ณ เคหาสน์สีแดงคร่ำที่ดูขรึม ขลัง บัดนี้ยิ่งวังเวง เมื่อทั่วทั้งเคหาสน์มีแต่เสียงคร่ำครวญของรุจ เด็กชายวัย 6 ขวบ ที่พร่ำร้องเรียกแม่ อ้อนวอนแม่อย่าทิ้งตนไป โดยมีพลตรีพลแสนเสนีณรงค์ผู้เป็นบิดามองอย่างสะเทือนใจ

ก่อนที่แม่จะลาจากไป แม่มองไปที่พลตรีพลแสนฯผู้เป็นสามี เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาก่อนหลับตาแน่นิ่ง

"น้องลา...ฝากลูก..."

รุจซบหน้ากับตัวแม่ไม่มีเสียงใดๆนอกจากกายที่สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น...

นั่นคืออดีตเมื่อ 15 ปีก่อนที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำ

ที่เจ็บปวดของรุจ ซึ่งบัดนี้เขาคือรุจในวัย 20 เศษ นายแพทย์ ผู้มีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยมจากประเทศอังกฤษ เขากลับมาแล้ว และไปที่บางปู สถานที่แห่งความทรงจำในอดีตที่บิดาเคยพามาพักผ่อน

รุจน์ได้ยินเสียงเพลงเต้นรำ มีสาวๆหนุ่มๆเต้นรำกันอย่างเพลิดเพลินสนุกสนาน แต่เขามายืนที่สะพานสุขตา มองน้ำทะเลเบื้องล่าง คิดถึงวันที่บอกแม่ว่า...

"คุณแม่...รุจจะเรียนแพทย์ จะเป็นหมอ จะรักษาคนนะครับคุณแม่ จะช่วยคนไม่ให้เจ็บไม่ให้ตายนะครับ"

แม้ปณิธานนั้นจะช่วยแม่ไว้ไม่ทัน แต่บัดนี้เขาสำเร็จแล้วและจะกลับมาทำตามปณิธานที่ตั้งไว้

ooooooo

รุจน์ยังจำได้ดีว่าเมื่อเขาอายุได้ 10 ขวบ บิดาก็รับอัมพากับอารยาลูกสาววัย 4 ขวบเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์สีแดง หรือ "บ้านรุจิโรจน์" เวลานั้นรุจแอบดูผู้มาใหม่ ได้ยินคุณพ่อพูดเบาๆกับอัมพาว่า

"บ้านรุจิโรจน์ขอต้อนรับแม่อัมพาอยู่ให้สบายไม่ต้องเกรงใจ" และบอกเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องนอนของรุจว่า "ให้อารยาอยู่ห้องนี้ ฉันจะให้ช่างมาใส่เครื่องเรือนของเด็กเล็กๆให้"

รุจแอบมองความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ทั้งสองที่ค่อนข้างสนิทสนมกันด้วยความสงสัย ค้นหา...

หลังจากนั้นไม่นาน รุจก็เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ เด็กชายในวัย 10 ขวบแต่งตัวโก้ แต่สีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับไร้ความรู้สึก เดินไปลาแม่ทั้งสามที่เลี้ยงดูตนมาแต่อ้อนแต่ออก คือแม่ละม่อม แม่พร้อม และแม่พิน ทั้งสามแม่พากันเช็ดน้ำตาป้อยๆ พลตรีพลแสนฯมองดูความห่วงหาอาลัยของบรรดาแม่ ทั้งสามแล้ว เอ่ยขึ้นว่า

"ลากันให้พอ 15 ปีถึงจะได้พบกับคุณหนูอีก"

บิดาแตะแขนรุจเบาๆ เชิงเตือนอะไรบางอย่าง รุจลังเลอยู่อึดใจจึงหันไปจะไหว้ลาอัมพา เธอเข้ามากอดรุจไว้อย่างอ่อนโยน ในขณะที่รุจเองยืนตัวแข็งทื่อมือทั้งสองทิ้งอยู่ข้างตัว เมื่ออัมพาปล่อยรุจจึงยกมือไหว้ลา อัมพาบอกอารยาหรือน้อยในวัย 4 ขวบว่า

"น้อย ไหว้คุณพี่สิลูก"

"ไปแล้วกลับมาเร็วๆนะคะ" น้อยไหว้ส่งเสียงใส รุจมอง ด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนอารยาที่ยิ้มแจ่มใสค่อยๆ เจื่อนลงเก้อๆ

ooooooo

วันเดียวกันนี้ อารยาในวัยแรกรุ่นกำลังยืนเศร้าน้ำตาคลออยู่ที่อีกมุมหนึ่งของสะพาน แต่ทั้งรุจและอารยาไม่เห็นกัน จนเมื่ออารยาหันกลับเดินเร็วๆ แต่ เพราะน้ำตาเต็มตาทำให้มองเกือบไม่เห็นทาง เธอจึงชนเข้าอย่างแรงกับรุจจนตัวเองเสียหลักเซจะล้ม ดีที่รุจคว้าแขนไว้ทัน เธอเบือนหน้าซ่อนน้ำตาและสะบัดแขนอย่างแรง แต่รุจก็ปราดเข้าไปคว้าไว้อีก มองหน้ากันนิ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดเสียงเรียบสนิทว่า

"ไม่มีใครสอนหรือว่าเมื่อชนคนแล้วควรจะขอโทษ"

"ขอโทษค่ะ" อารยาเอ่ยอย่างเร็ว เมื่อเขาบอกว่าไม่เป็นไร เธอพูดต่อทั้งที่กำลังสะอื้น "แต่คุณควรจะบอกตัวเองว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษเพียงพอหรือไม่ ที่จะทวงแค่คำขอโทษจากผู้หญิงที่กำลัง..." พูดได้แค่นั้นก้อนสะอื้นก็แล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอจนพูดไม่ออก

"ไม่เกี่ยวกับการเป็นสุภาพบุรุษหรือไม่ เราอยู่ในสังคมที่มีกติกา จะอารมณ์ยังไง เราก็ต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีกติกา แค่คำขอโทษคำเดียวคงไม่ทำให้คุณเศร้าโศกไปยิ่งกว่านี้" รุจหยุดนิดหนึ่ง "ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะทวงถามอะไร เห็นแล้วว่าคุณกำลังร้องไห้ แต่ถ้าคุณไม่ทำกิริยาดูหมิ่น..."

"ฉันไม่ได้ดูหมิ่นคุณ" อารยามองขวับ "ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคิดหรือทำอย่างนั้น ดิฉันไม่รู้จักคุณ ไม่เคยเห็นหน้าคุณ จะดูหมิ่นคุณไปทำไม"

"คุณไม่คิดจะทำ แต่กิริยาของคุณผมพูดได้เต็มปากว่าคุณกำลังดูหมิ่น"

"คุณหาเรื่อง คุณหาเรื่องอย่างที่ไม่น่าจะมีเรื่อง ดิฉันไม่มีมารยาททางสังคม...ใช่...แต่ไม่ใช่เพราะดิฉันดูหมิ่นคุณ แท้จริงแล้ว ดิฉันไม่เคยคิดดูหมิ่นใครเลย ทุกคนเป็นมนุษย์

เท่ากัน แม่ของดิฉัน...สอนดิฉันเสมอให้นับถือความเป็นคน ไม่ให้คิดว่าใครต่ำกว่าเราเป็นอันขาด"

พูดถึงแม่แล้วอารยาน้ำตาไหลพราก แต่ยังพยายามกลั้นสะอื้นพูดต่อ

"แต่คุณ...คุณคงจะคิดเรื่องสูงเรื่องต่ำตลอดเวลา คุณถึงมาว่า...มาว่าดิฉันด้วยเรื่องที่ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่าสำคัญ" เธอพนมมือไหว้เขา พูดย้ำ "ถ้าแม่ดิฉันอยู่ตรงนี้ แม่จะบอกให้ดิฉันขอโทษคุณอีกครั้งหนึ่ง หรือจะอีกกี่พันครั้งก็ได้ ถ้าคุณต้องการ"

"ไม่ต้อง" รุจเสียงห้วน เย็นชา มองตามอารยาที่หันเดินผละไปอย่างไม่ฟังเสียงอะไรอีกแล้ว

แต่เดินไปไม่ถึงอึดใจเธอก็เซตัวอ่อนยวบลง รุจพรวดไปถึงตัวประคองขึ้นมา อุ้มไปนั่งพิงราวสะพานแล้วปฐมพยาบาล ทำรวดเร็วคล่องแคล่วอย่างหมอมืออาชีพ เปิดดูเปลือกตา ปลดกระดุมคอเสื้อเม็ดหนึ่งและปลดตะขอกระโปรง

แต่พออารยารู้สึกตัว เธอคว้าคอเสื้อปิดมิดรีบติดตะขอกระโปรง รุจขอโทษและกำลังจะชี้แจง ถูกเธอตัดบทว่าไม่ต้องขอโทษ แค่บอกตัวเองว่าอย่าเที่ยวจาบจ้วงล่วงเกินอย่างนี้กับผู้หญิงอื่นอีก ถามประชดว่า

"อย่างนี้หรือมารยาททางสังคมที่คุณว่า...ฉวยโอกาส ทราม!"

เธอลุกพรวดไปแต่ก็สะดุดจะล้มอีก รุจคว้าแขนไว้ก็ถูกสะบัดจ้องหน้าอย่างไม่พอใจ รุจชี้แจงว่าตัวเองไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด อารยาสวนไปทันทีว่าไม่เชื่อ พูดเสียงสั่นว่าต่อไปก็หัดดูหมิ่นตัวเองบ้างได้แล้ว ทำเอารุจหน้าเครียดจ้องหน้าเธอดุๆ แต่เธอก็ยังสู้ตา จนเขาเอ่ยว่า

"คุณยังเด็กมีเวลาอีกมากที่จะเรียนรู้ว่าอย่าตัดสินใครเพียงแค่เห็น"

"แค่นี้ก็พอแล้ว ฉันรู้แล้ว" อารยาสะบัดมือสุดแรงแล้วผละไป รุจได้แต่มองตาม

ooooooo

กลับถึงเคหาสน์สีแดง "บ้านรุจิโรจน์" อารยาวิ่งเข้าบ้าน ขึ้นตึก ตรงไปที่ห้องนอนของอัมพาที่นอนป่วยอยู่ เข้าไปขอโทษแม่ที่ทิ้งไปนาน เล่าว่าไปบางปูมา ไปพบคนไม่ดี เป็นคนไม่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา อารยา เล่าจนอัมพาต้องเอามือแตะปากลูก ส่ายหน้าไม่อยากให้พูดต่อ อารยาซบหน้ากับแขนแม่ ตัดพ้อ...

"แม่ไม่ว่าใคร แม่เห็นทุกคนดี แต่ทำไม...ทำไมแม่ต้องไม่สบายมากขนาดนี้ น้อยไม่เข้าใจ"

อัมพาไม่พูดต่อแต่ถามว่าเมื่อไหร่รุจจะกลับมา แม่อยากพบรุจ อารยาบอกว่าเขากลับมาแล้ว แต่ไม่ยอมกลับบ้าน ไม่ ทราบว่าเพราะอะไร

เวลาเดียวกันนั้น ที่ข้างล่าง ขุนประจญคดีทนายความ บ้านรุจิโรจน์เอาซองเงินเดือนมาให้แม่ทั้งสาม ถูกรุมถามว่าคุณหนูของพวกตนอยู่ไหน รู้ว่าคุณหนูกลับมาแล้ว อย่าปิดบังกันนะ รุมถามกันเสียจนขุนประจญคดีต้องบอกให้พูดทีละคน

เมื่อพูดทีละคน ทั้งสามแม่ก็ถามเหมือนกันว่าคุณหนูไปซ่อนตัวอยู่ไหน ขุนประจญฯจำต้องบอกว่า

"คุณหนูกลับมาแล้ว อยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งและยังไม่กลับบ้าน"

"ทำไม" สามแม่ถามพร้อมกัน ขุนประจญคดีตอบไม่ออก แต่พอออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ข้างนอกขับออกไป ครู่เดียวก็จอดรับรุจที่ยืนรออยู่ เขาก้าวขึ้นรถเงียบๆ ขุนประจญคดีจึงบอกว่า

"ถ้าไม่รีบออกมา แม่แกสามคนคงจะเอามีดมาง้างปากผมให้พูดว่าคุณหนูจะกลับรุจิโรจน์เมื่อไหร่" พูดแล้วเห็นรุจนั่งนิ่งเงียบ ขุนประจญฯพยายามหว่านล้อม ขอร้องเขาก็ยังคงนิ่งและยิ้มนิดๆเป็นบางครั้ง กระทั่งสุดท้ายถามว่าจะร่อนเร่ไปถึงไหนทำไมยังไม่ยอมกลับบ้าน เขาก็ยังคงนิ่งตามเคย

ooooooo

5 ปีสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย รุจ รุจิโรจน์รู้จักกับเสาวรสที่เรียนอยู่ที่อังกฤษเหมือนกัน ทั้งคู่คบหากันฉันคนรัก จนเมื่อกลับเมืองไทยก็นัดพากันไปเที่ยวชายทะเลประสาคนรัก

แม้จะคบหากันมา 5 ปี แต่เสาวรสก็รับรู้เรื่องราวของเขาน้อยมาก แม้แต่ที่คุณพ่อเขาส่งหนังสือไทยไปให้อ่านเพื่อไม่ ให้ลืมภาษาไทยเขาก็ไม่เคยเล่าให้เธอฟัง เธอตัดพ้อนิดๆว่า

"ห้าปีที่ลอนดอน รุจไม่เคยบอกเสาวรสสักคำว่าต้องทำอะไรๆอย่างที่ว่านี่"

"ก็นี่ไง กลับมาบอกที่กรุงเทพฯแล้วไง ยังดีกว่าไม่บอกที่ไหนเลย ไม่ว่าเป็นลอนดอนหรือกรุงเทพฯ"

เสาวรสฉะอ้อนถามว่ายังมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกอีกไหม เขาตอบเรียบๆว่ามีและสำคัญมากด้วย แต่ต้องรอตอนไปส่งที่บ้านเธอก่อนแล้วจะบอกเมื่อกลับถึงบ้าน เสาวรสแนะนำรุจแก่พระศัลยแพทย์ พิสุทธิ์ผู้เป็นบิดาว่า

"หมอรุจค่ะคุณพ่อ กลับจากลอนดอนมาพร้อมกับลูก"

หลังจากนั้นหนุ่มสาวแยกไปนั่งคุยกันที่สวนหน้าบ้าน เธอทวงว่าบอกได้หรือยัง รุจจึงพูดเป็นการเป็นงานว่า "อีก 6 เดือนผมจะขอหมั้นเสาวรสและการแต่งงานจะตามมา"

"ทำไมต้อง 6 เดือนคะรุจ" เสาวรสไม่ชอบใจ

รุจตอบนิ่งๆ ว่า ตนจะไม่อยู่ในพระนครเป็นเวลาเท่านั้น เพราะจะไปอยู่ต่างจังหวัด เสาวรสถามอย่างรับไม่ได้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ก็ยังคงได้รับคำตอบนิ่งๆ เรียบๆ ว่าเพราะอยากให้เป็นอย่างนั้น เธออ้อนว่า

"แต่เสาวรสอยากให้เป็นอีกอย่าง เราแต่งงานกันก่อน จัดงานให้หรูหรา ให้ชาวพระนครตะลึงประทับใจกับงานแต่งงานแบบตะวันตกแท้ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วต่อจากนั้น..."

"เสาวรส" รุจขัดขึ้น "ฟังผมนะ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมคิดและไตร่ตรองเหตุผลทุกอย่างแล้ว...ขอบคุณ..." เขาเอ่ย เมื่อเห็นเธอตั้งใจฟัง "ผมเพิ่งเรียนจบในวิชาการแพทย์ที่แทบไม่มีใครเรียนในประเทศไทย ผมอยากทำงานในวิชาที่ผมเรียนมาอย่างเต็มที่ก่อนที่จะต้องแบ่งเวลาให้กับครอบครัว เพราะ..."

เสาวรสทำท่าจะพูด รุจรีบห้าม

"เดี๋ยว กรุณาฟังผมก่อน เพราะถ้าผมมีครอบครัว ผมนิยมความเป็นแฟมิลี่แมน จนใจที่ไม่ทราบคำในภาษาไทย แต่ผมจะเป็นผู้ชายของครอบครัว ผมจะเห็นครอบครัวสำคัญที่สุด ผมจะรักภรรยา ซื่อสัตย์ต่อภรรยา ผมจะรักลูกและเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ฉะนั้น ผมขอเวลา 6 เดือน ที่จะทำตัวผมให้มั่นคงกับงานอาชีพก่อน ผมจึงจะเป็นอิสระในเวลาดังกล่าว"

เสาวรสทนฟังจนจบ เธอแค่นหัวเราะถามว่า "พูดจา เป็นภาษาหนังสือมากเลยท่องมาเหรอ" เมื่อเขายอมรับว่าใช่ เขียนและท่องมา เธอถามงงๆ ว่าต้องขนาดนั้นเชียวหรือ ตั้งใจอะไรขนาดนั้นเชียว

"นั่นแสดงว่าผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ผมถือเป็นเรื่องจริงจังและผมตั้งใจบอกคุณ เพราะผมถือว่าคุณเป็นคนสำคัญ" แม้จะพูดด้วยสีหน้านิ่ง น้ำเสียงเรียบ แต่มีความจริงจังในที

เสาวรสไม่พอใจลุกขึ้นหันหลังให้ ถามว่าเขารักตนมากแค่ไหน เขาตอบทันทีมิพักต้องคิดว่ารักมาก เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ตนรักและหวังจะเป็นคนสุดท้ายด้วย

เสาวรสหันกลับโผเข้าซุกไซ้เขาหมายใช้ไฟอารมณ์ หลอมใจเขาให้อ่อนลง แม้รุจจะกอดตอบมองด้วยความรักใคร่ แต่เมื่อเธอขอให้แต่งงานกันก่อนแล้วอยู่ในพระนครสักพักค่อยว่ากัน เขากลับดันตัวเธอออก สีหน้าแววตากลับขรึมนิ่งเหมือนเดิม บอกเธอว่า

"ทุกอย่างที่ผมพูดกับคุณ ผมคิดแล้วและไม่ขอเปลี่ยนแปลง"

เสาวรสกรี๊ดออกมาอย่างทนไม่ได้ พอดีพระศัลยแพทย์ พิสุทธิ์โผล่มาเห็นตกใจรีบผลุบหายไป

"คุณเป็นคนแปลกประหลาดที่สุด คุณบอกรักฉัน รักมากเสียด้วย แต่คุณปัดข้อเสนอของฉันไม่ไยดี คุณไม่อยากได้ฉันเหรอ ไม่ต้องการฉันเหรอ ฉันพร้อมที่จะเป็นเมียคุณ" เสาวรสเสียงดังขึ้นทุกที

"เสาวรส ผมต้องการคุณยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนในโลก" รุจย้ำ เธอถามว่าแล้วยังไง เขาตอบเรียบๆ หนักแน่นตามเคยว่า "ผมหวังว่าคุณจะเป็นภรรยาของผมในอีก 6 เดือนข้างหน้า"

ooooooo

ในการไปดื่มน้ำชาด้วยกันที่โรงแรมราชธานี ขุนประจญคดีถามรุจว่ามีเหตุผลอะไรถึงไม่กลับบ้านหรือไม่มีเหตุผล เขาตอบสั้นๆว่า "มีครับ" แล้วความคิดเขาก็หวนกลับไปสู่อดีตที่แอบเห็นอัมพาไปพบกับนายชิดชายโฉดที่รมยาจนคนทั้งบ้านหลับแล้วข่มขืนเธอ เวลานั้นรุจเห็นนายชิดท่าทางเร่งร้อน ก็ได้แต่สงสัย

"ตอนคุณพ่อสิ้น คุณหนูก็ไม่ยอมกลับมาดูใจท่าน ท่านคอย ท่านคิดถึงคุณหนู ท่านเพ้อถึงคุณหนูจนสิ้นใจ" เสียงขุนประจญคดียังคงเล่าต่อ รุจนิ่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนยากจะอ่านความรู้สึกได้

สุดท้ายขุนประจญคดีขอร้องให้เขากลับบ้าน กลับได้รับคำตอบที่ทำให้อึ้งสนิทว่า

"ผมพร้อมจะไปทุกแห่งในโลก นอกจากรุจิโรจน์ เพราะรุจิโรจน์มีคนที่ผมไม่ประสงค์จะอยู่ด้วย"

เป็นเวลาเดียวกับที่อัมพาเข้าไปจุดธูปในห้องพระ ภาวนาด้วยความรุ่มร้อนใจว่า

"ขอคุณพระดลใจให้คุณรุจกลับมา ให้ลูกได้พูดกับเธอ บอกเธอถึง..." อัมพาพูดไม่ออกมีแต่สีหน้าที่บ่งบอกถึงความ เจ็บปวดใจ เว้นไว้แล้วจึงพูดต่อ "บาปกรรมจะได้หมดสิ้นเสียที ลูกจะได้ตายตาหลับ"

ooooooo

ณ สถานที่ท่องเที่ยวทางเหนือ วันนี้ภาคินัยเจ้าของไร่รวงผึ้ง พี่ชายคนโต มีน้องสาวคนรองคือภคินีและน้องสาวฝาแฝดอีกคู่หนึ่งคือ ดาริกากับกุมารี ทั้งหมดมีน้าสังวาลย์เป็นคนคอยดูแลอย่างดี ทุกคนพากันไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวทางเหนือ

หลังจากไหว้พระแล้ว ก็พากันไปเล่นน้ำตก ขี่ช้างเล่น ระหว่างนั้นภคินีรู้สึกเวียนหัวจึงพากันลงจากหลังช้าง ภคินีหน้ามืดเป็นลมจนต้องพาไปนอนพักที่ผ้าปูซึ่งน้าสังวาลย์รีบไปปูไว้ ภาคินัยถามหายาลม น้าสังวาลย์ไม่ได้เอามา จึงเรียกดาริกา กับกุมารีมานั่งจับมือภคินีนวดคนละข้าง

มีนักท่องเที่ยวผู้มีน้ำใจมาเจออาสาจะไปหายาลมมาให้ รุจมาเจอพอดี เขาบอกว่าตนเป็นหมอแล้วรีบลงมือปฐมพยาบาล

คืนนี้ รุจจึงได้ไปทานขันโตกที่ไร่รวงผึ้งร่วมโตกเดียวกับภาคินัยและภคินีรวมทั้งเพื่อนชาวเหนืออีกสองสามคน ได้ชมฟ้อนสะล้อซอซึง และเต้นรำกันสบายๆในหมู่คนกันเอง รุจออกไปเต้นรำกับภคินี เด็กสาววัยใสที่ไร้มารยา

เสร็จจากทานขันโตก พากันไปนั่งคุยที่ห้องนั่งเล่นบ้านรวงผึ้ง จนครู่ใหญ่รุจจึงขอตัวกลับเพราะพรุ่งนี้ต้องเข้าเวรแต่เช้า

"อยู่อีกครึ่งชั่วโมงเถอะนะคะ เดี๋ยวจะปล่อยโคมลอยแล้ว" ภคินีชวนยิ้มใสซื่อ รุจจึงนั่งลง

ooooooo

ที่เคหาสน์สีแดง อารยาเล่นซอเพลงหวานเศร้าให้แม่ฟัง เธอเล่นอย่างสุดฝีมือเพื่อแม่ แต่อัมพาก็อ่อนแรงลงไปทุกทีค่อยๆหลับตาลง อารยาตกใจวิ่งลงไปร้องเรียกแม่ทั้งสามให้ช่วยแม่ตนด้วย

แม่ละม่อมแม่บ้านใหญ่ไปถึงก่อนเพื่อน ตามด้วยแม่พินคนดูแลความเรียบร้อยของเสื้อผ้าเครื่องเรือน และสุดท้ายคือแม่พร้อมที่ดูแลเรื่องอาหารของรุจกับอารยาตลอดมา ทุกคนรีบเข้าไปดูอัมพา พูดให้กำลังใจ แม่พร้อมบอกให้อารยาหรือน้อยปิดหน้าต่างสักบานเพราะลมแรง แต่อัมพาขอให้เปิดไว้อย่างนั้นเพราะเย็นสบาย ตนอยากหลับ บอกกับอารยาว่า "น้อยอยู่กับแม่ก็ได้ลูก"

ระหว่างนั้นสามแม่ออกไปคุยกันเองอย่างหนักใจว่า อัมพาอยากพบคุณหนูเหลือเกิน แม่ละม่อมพึมพำว่าคุณหนูเธอไม่อยากพบ ไม่รู้อัมพาอยากพบเรื่องอะไรเห็นพูดเป็นร้อยครั้งแล้วว่าอยากพบก่อนตาย

"คุณหนูไม่ให้พบหรอกฉันรู้...ใจแข็งเป็นหินขนาดนั้น" แม่พร้อมเชื่ออย่างนั้น

"เก็บความโกรธความแค้นฝังใจตั้งแต่เด็ก ดูทีรึ บ้านของเธอแท้ๆอยู่มาแต่เล็กแต่น้อยยังไม่ยอมกลับ" แม่พินบ่นงึมงำ

ooooooo

อารยาอยู่กับแม่ในห้อง อัมพาบอกลูกว่าอยากฟังเสียงซอ อารยาหันไปหยิบซอ อัมพาบอกว่า

"ไปเล่นที่ห้องน้อย ให้เสียงลอยตามลมมาหาแม่" อารยา ถามว่าทำไมหรือ "แม่อยากฟังเสียงซอที่แว่วมาจากห้องน้อย จะได้หลับ"

เมื่ออารยาไปเล่นซอที่ห้อง อัมพาฟังเสียงซอน้ำตาไหล พึมพำอย่างปวดร้าวใจ...

"แม่ทำบาปกับลูกเหลือเกิน...ตายไปยังทิ้งให้ลูกรับกรรม... น้อย...น้อยยกโทษให้แม่ด้วย..." อัมพามือไขว่คว้าในความว่างเปล่า จนแม่ละม่อมเปิดประตูเข้ามารีบปราดเข้าหาอย่างตกใจ

อัมพาพร่ำพูดกับลูกในขณะที่เสียงซอยังแว่วอยู่ไม่ ขาดสาย

"น้อย...ยกโทษให้แม่ด้วย..." แม่ละม่อมจะพาไปหาหมอ อัมพาบอกว่าไม่ต้อง พยายามลืมตามองแม่ละม่อมพูดเสียงขาดเป็นห้วง "ฉันกำลังจะหมดลม หายใจไม่ได้...น้อยจะทุกข์หนักถ้าเห็น...ฝาก...ขอโทษคุณรุจ..."

เสียงอัมพาขาดหายไป พร้อมกับลมหายใจสุดท้าย...

เป็นเวลาที่รุจกำลังปล่อยโคมลอย...แสงโคมลอยลิบๆและดับไปท่ามกลางความมืดของรัตติกาล...

อัมพาสิ้นใจอย่างสงบ อารยาเปิดประตูเข้ามาผวาเข้าหาแม่ เห็นสภาพของแม่ก็เข้าใจทันทีว่า แม่ได้จากไปแล้ว เธอเหมือนหัวใจแตกสลายจะโถมเข้ากอดแม่ แม่ละม่อมยึดไว้บอกว่าอย่ารบกวนท่านเลย ท่านไปอย่างสงบแล้ว เธอตัดพ้อแม่ละม่อมว่าทำไมไม่ตามตนมา

"คุณแม่อยากฟังคุณน้อยเล่นซอ" แม่ละม่อมบอก จากนั้นให้อารยาห่มผ้าให้คุณแม่ เธอห่มผ้าและกอดซบร่างแม่ ร้องไห้สะอึกสะอื้น แม่ละม่อมก้มหน้าซับน้ำตาก่อนเดินห่างออกไปมองอารยาน้ำตาริน

"แม่จ๋า...ทำไมแม่ทิ้งน้อย..." อารยาคร่ำครวญเหมือนแม่ฟังตนอยู่ "น้อยจะอยู่กับใคร เราไม่เคยจากกันแม้แต่วันเดียว ตอนนี้แม่ไม่อยู่ น้อยจะอยู่ได้ยังไง น้อยจะอยู่กับ...

กับใครก็ไม่รู้ เขาจะทำให้น้อยเป็นทุกข์แค่ไหนก็ไม่รู้ แล้วน้อยจะบอกกับใคร ใครจะปลอบน้อยได้เหมือนแม่...น้อย

อยากตายตามแม่ จะตายได้ยังไง...น้อยจะตายตามแม่ได้ยังไง..."

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น อารยาในชุดดำมาที่ท่าน้ำบ้าน

รุจิโรจน์ มีแม่ทั้งสามตามมาหว่านล้อมด้วยความห่วงใย แม่ละม่อมบอกว่าถ้าเธอตายตามคุณแม่ไป คุณแม่จะนอนตายตาไม่หลับ เป็นบาปเป็นกรรมยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

แม่พินย้ำเตือนว่า คุณแม่ไปอย่างสงบเพราะสอนทุกอย่างน้อยไว้หมดแล้ว ความดีทั้งหลายทั้งปวงเธอกล่อมเกลา ไว้จนถึงวันต้องจากไปเธอก็ไปอย่างสบายใจ

ส่วนแม่พร้อมอ้อนว่า "คุณน้อยทิ้งป้าสามคนไปได้ ลงคอ ดีล่ะ ป้าโกรธคุณน้อยไปจนตายเลย"

อารยามองแม่ทั้งสามน้ำตาปริ่ม ก้าวลงเรือพายออกจากท่าน้ำท่ามกลางสายตาที่มองตามอย่างเป็นห่วงของแม่ทั้งสาม...

ooooooo

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น